จุดสวรรค์สุดหฤหรรษ์ของ สุเชาว์ ศิษย์คเณศ 

จุดสวรรค์สุดหฤหรรษ์ของ สุเชาว์ ศิษย์คเณศ 

โดย : ตัวแน่น

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘หลงเลนส์’ บทความแสดงมุมมองผ่านภาพถ่ายที่ได้รับการบันทึกเรื่องราวของงานศิลปะทั้งไทยและเทศ โดย ตัวแน่น อีกหนึ่งคอลัมน์ที่ อ่านเอา อยากแนะนำให้คุณได้ อ่านออนไลน์

เป็นที่รู้กันดีว่า สุเชาว์ ศิษย์คเณศ คือศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานจากชีวิตจริงอย่างตรงไปตรงมา ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่ค่อนข้างลำบากยากแค้น พลัดพรากจากพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว ผ่านห้วงเวลาที่ต้องอดมื้อกินมื้อ ในบั้นปลายชีวิตอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ราคาถูก ป่วยไข้จนกลายเป็นอัมพาต และจากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ระทม ภาพวาดฝีมือสุเชาว์แทบทั้งสิ้นจึงสื่อถึงความเศร้าเหงาหงอย ความขาดแคลน และการดิ้นรน เช่นภาพเด็กกำพร้า ก้างปลา บ้านร้าง ปาดป้ายด้วยทีแปรงที่มีอารมณ์ในเฉดสีหนักๆ ดูถมึงทึง ถ่ายทอดอารมณ์ได้รุนแรงถึงขนาดที่สุเชาว์แจกภาพวาดไปฟรีๆ แต่คนได้รับเอากลับมาคืนเพราะเด็กที่บ้านเห็นแล้วร้องไห้

แล้วภาพวาดของสุเชาว์แบบที่ดูแล้วไม่เศร้าไม่มีบ้างเลยหรือ ในความเป็นจริงมนุษย์เราไม่ว่าเป็นใครหน้าไหนคงไม่ทุกข์วันละ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วันหรอก ขืนขื่นขมตลอดเวลาอย่างนั้นมีหวังคงจะบ้าตายกันพอดี ดังเช่นผลงานอันหาชมได้ยากยิ่งชิ้นหนึ่งซึ่งใช้เป็นตัวอย่างได้ดีถึงโมเมนต์แสนแฮปปี้ที่มีไม่มากของสุเชาว์ ผลงานจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบชิ้นนี้ถูกเรียกว่า ‘ทุ่งฝัน’ เป็นภาพทิวทัศน์ชนบทในอุดมคติ ท่ามกลางท้องนาอันกว้างสุดลูกหูลูกตามีบ้านชาวนาหลังคามุงจากถูกปลูกเอาไว้ รอบๆ มีกองฟางกองใหญ่กว่าบ้านแสดงถึงผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ผลิใบใหม่ขึ้นอยู่ตามคันนา และจุดโฟกัสของภาพคือควายตัวอ้วนกลมแสยะยิ้มอ่อนๆ ที่มุมปาก โทนสีที่สุเชาว์สรรหามาใช้ยังสว่างไสวแพรวพราว มีทั้งชมพู แดง เหลือง เขียว ฟ้า แตกต่างจากผลงานเวอร์ชันอมทุกข์ที่ใช้สีมืดๆ อย่างดำ เทา ม่วง น้ำเงิน แบบคนละขั้ว

ทุ่งฝัน’ พ.ศ. 2527-2528 เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 50 x 60 เซนติเมตร ศิลปิน สุเชาว์ ศิษย์คเณศ

ความพิเศษของภาพ ทุ่งฝัน ไม่ได้มีแค่เนื้อหาและโทนสีที่เปี่ยมสุข ในภาพนี้สุเชาว์ยังได้ใช้เทคนิคการวาดภาพที่มีความแปลกใหม่ ผลงานสีน้ำมันของสุเชาว์ในยุคแรกเริ่มนั้นได้รับอิทธิพลแบบอิมเพรสชันนิสม์มาอย่างเข้มข้น ภาพมักถูกวาดจากสถานที่ หรือแบบจริงๆ ที่เห็นอยู่ตรงหน้า โดยการปาดป้ายด้วยสีหนาๆ อย่างฉับไวสะท้อนถึงแสงและสีที่เห็นในธรรมชาติ หลังจากนั้นสุเชาว์หันมาวาดภาพสไตล์เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ ที่มุ่งแสดงอารมณ์ความรู้สึกภายในไม่ยึดโยงกับความสมจริง อีกทั้งสุเชาว์พัฒนาวิธีการระบายสีอันมีเอกลักษณ์ด้วยการปาดเกรียงให้ปื้นสีหนาๆ เรียงกันเป็นแถวเป็นแนวจนเต็มพื้นที่เกิดเป็นภาพสะท้อนจากจินตนาการ ในผลงาน ทุ่งฝัน สุเชาว์ลดทอนแต่ละจังหวะในการป้ายสีจากทีเกรียงกว้างๆ ให้เหลือเพียงจุดเล็กๆ เรียกว่าการ ‘ผสานจุดสี’ หรือ ‘Pointillism’ ผลงานสไตล์นี้ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อราว 150 ปีที่แล้วในยุโรป เป็นการวาดด้วยจุดสีต่างๆประกอบเป็นภาพที่ไม่ปะติดปะต่อกันหากซูมดูใกล้ๆ แต่ถ้าหากถอยห่างออกมาให้มีระยะมอง สายตาของเราจะสามารถผสมจุดเล็กจุดน้อยต่างๆ เกิดเป็นภาพสมบูรณ์ที่มีรายละเอียด และสีที่กลมกลืนกันได้เองอย่างน่าอัศจรรย์

’ผลงานจิตรกรรมของ สุเชาว์ ศิษย์คเณศ‘ เทคนิคภาพถ่าย ขนาด 9 x 14 เซนติเมตร

ศิลปินในลัทธิผสานจุดสีที่มีชื่อเสียงนั้นมีอยู่หลายท่านเช่น ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา (Georges-Pierre Seurat) ปอล ซีญัก (Paul Signac) รวมถึงศิลปินที่สาธารณชนรู้จักดีจากผลงานในสไตล์อื่นอย่าง วินเซนต์ แวนโก๊ะ  (Vincent van Gogh) และ ปาโบล  ปิกัสโซ  (Pablo Picasso) ก็เคยใช้เทคนิคแบบผสานจุดสีในการวาดภาพด้วยเช่นกัน

มีนักสะสมศิลปะท่านสำคัญเล่าให้ฟังว่า สุเชาว์มีห้วงเวลาแห่งความสุขในการบรรจงใช้ปลายแหลมของเกรียง สลับกับด้ามพู่กัน ค่อยๆ จุดๆๆ เนื้อสีลงบนผืนผ้าใบ และถึงกับเรียกวิธีการนี้ว่า ‘จุดสวรรค์’

ด้วยความเรียบง่ายขององค์ประกอบในผลงานของสุเชาว์ สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยหากมองผ่านๆ อาจคิดว่าภาพเหล่านี้วาดไม่ยาก แต่หากพิจารณาลึกลงไปจะรับรู้ได้ความสามารถอันเก่งกาจของสุเชาว์ในการเล่นสี เพราะแต่ละปื้นของเนื้อสีที่ปาดป้ายไปบนผลงานชิ้นต่างๆ นั้นล้วนมีเฉดสีที่สลับซับซ้อนซ่อนอยู่จนยากจะเลียนแบบ ส่วนในภาพ ทุ่งฝัน สุเชาว์ได้ออกแบบชุดสี และจัดกลุ่มไว้อย่างเชี่ยวชาญ แต่แทนที่จะนำสีมาผสมกันในจานก่อนเหมือนขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นอื่นๆ สุเชาว์ระบายสีหลักที่เลือกไว้ลงไปเลย แล้วปล่อยให้จุดสีต่างๆ ผสานกันไปเองบนผ้าใบก่อให้เกิดปรากฏการณ์ของสีที่ดูระยิบระยับ แม้แต่การตัดเส้นรอบรูปทรงต่างๆทั้งควาย ทั้งบ้าน ทั้งต้นไม้ สุเชาว์ยังใช้เส้นประแบบขาดๆ เพื่อให้กลมกลืนกับพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นจุด และไม่ไปเบรกความวิบวับของภาพ

สุเชาว์เชื่อมั่นว่างานศิลปะที่มีคุณค่านั้นต้องเกิดจากการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงโดยไม่เสแสร้ง แล้ววันใดวันหนึ่งผู้ที่ได้สัมผัสจะเข้าใจ และรับรู้ได้เอง ดังที่สุเชาว์เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ฟ้าเมืองทอง ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2528 ไว้ว่า

“ไอ้ศิลปะนี่ ของดีมันเปล่งตัวของมันเอง… ต้องรู้สึกจริงๆ ถ้าไม่รู้สึกงานมันแหย มันลดระดับลงทันที เป็นภาพประกอบ เป็นโปสเตอร์ไป เราต้องไม่หลอกตัวเอง…”

เหมือนกับผลงานแบบผสานจุดสี ที่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนชื่อ Pointillism ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นโดยศิลปินผู้คิดค้น แต่ถูกใช้เรียกโดยนักวิจารณ์ศิลปะในบริบทที่ดูถูกดูแคลนศิลปะสไตล์จุดๆ นี้ซึ่งถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ศิลปินในสมัยนั้นกลับยังมุ่งสร้างสรรค์ผลงานออกมาด้วยความซื่อสัตย์จริงใจไม่ไขว้เขวด้วยคำครหา จนในที่สุดก็ถึงวันที่ผู้คนทั้งโลกเห็นค่า มิหนำซ้ำยังพากันแห่แหนไปต่อคิวรอชมความงามของภาพวาดโดยเซอรา หรือซีญัก ศาสดาแห่งลัทธิ Pointillism ในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำกันยาวเหยียด

เรื่องราวไม่ต่างอะไรกันเลยกับผลงานของสุเชาว์ ที่ตอนมีชีวิตอยู่ถูกครหาว่ามีฝีมือเหมือนเด็ก สุเชาว์เล่าว่าพอส่งภาพไปฝากขายตามแกลเลอรีก็ถูกเอาไปวางพิงซ้อนๆ กันไว้กับพื้นเพราะเจ้าของสถานที่มองว่าขายยากแม้จะตั้งราคาแค่หลักร้อยหลักพัน แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับปัจจุบันที่ภาพวาดฝีมือสุเชาว์นั้นคือเพชรยอดมงกุฎที่เปล่งประกาย ดุจสีสันอันพร่างพรายของจุดสวรรค์ในทุ่งฝัน ไม่ว่าจะอยู่ในคอลเลกชันศิลปะแห่งหนใดก็ตาม

 

Don`t copy text!