บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 16 : เกิดเหตุ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ห่างจากวัดประยุรวงศาวาสไปไม่ถึงสามร้อยวา หมอแดน บีช แบรดลีย์ มิชชันนารีอเมริกันที่ย้ายมาจากบ้านพักของครอบครัวของศาสนาจารย์สตีเฟน จอห์นสัน ที่ย่านสัมพันธวงศ์ สามเพ็ง มาเช่าที่ของเจ้าพระยาพระคลัง ดิศ เปิดสถานพยาบาล เรียกว่าโอสถศาลา ที่ริมคลองบางกอกใหญ่มาได้กว่า 1 ปีแล้ว ชาวบ้านทั่วไปเรียกท่านว่า หมอบรัดเลย์ หรือหมอปลัดเลย์

ในแสงตะเกียงสว่าง มีเสียงมหรสพจากวัดดังมาตลอดเวลา หมอแดนกำลังทำแผลที่เท้าที่เหวอะหวะ ให้คนงานจีนผมเปียจากอู่ต่อเรือสำเภา ที่ร้องไอหยาๆ เพราะความเจ็บแสบเวลาที่หมอแดนใส่ยาสีเหลืองๆ ให้ เอมิลี่ ภรรยาหมอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย จับขาคนงานผู้นั้นไว้ไม่ให้ชักเท้าหนี

อากงกิมเส่งกับคนงานหนุ่มอีกคนยืนดูให้กำลังใจ

เอมิลี่เอาผ้าปิดแผลแล้วใช้ผ้าก๊อซผูกรอบเท้าเพื่อยึดไว้

“ต้องหยุดพักนะ อย่าเพิ่งกลับไปทำงาน ให้แผลหายก่อน ห้ามเดินลงน้ำหนักที่ขานี้สักสี่ห้าวัน”

หมอพูดภาษาไทย มองสื่อสารกับอากง ที่คุ้นเคยและเข้าใจถ้อยคำของเขาได้ดีกว่าเพื่อน

“ขอลับ อาคุงหมอปาหลักเล”

กงรับคำจริงจัง แล้วหันมาแปลเป็นจีนให้คนงานหนุ่มฟัง

“เวลาอาบน้ำ ก็ยกขานี้ไว้ อย่าเอาลงน้ำ อย่าให้เปียก” หมอสั่งต่อ

“พรุ่งนี้ เย็นๆ พาคนเจ็บมาให้ฉันล้างแผลอีกครั้ง จะได้ไหม”

เอมิลี่ถามกง

“ได้ขอลับๆ”

เอมิลี่เดินไปจัดยาที่โต๊ะ วางในห่อกระดาษ แล้วพยักหน้าเรียกกงมาฟัง

“กินยานี้เวลาปวดนะ ถ้าไม่ปวด ไม่ต้องกิน แล้วก็นอนพักผ่อนมากๆ ไม่ช้าก็หาย”

“ขอลับ กำเสี่ยๆๆ คุงหมอปาหลักเลและคุงหมอหญิงมากๆๆ”

กงและคนงานจีนทั้งสองโค้งแล้วโค้งอีก คารวะคุณหมอและภรรยา

หน้าโอสถศาลา อาคารสองชั้นที่ข้างบนเป็นระเบียงลูกกรงยาว อากงเดินนำคนงานอีกคนที่แบกชายหนุ่มขาเจ็บบนหลังลงบันไดมาช้าๆ หมอแดนและเอมิลี่เดินตามลงมาส่ง

พอดี โรบินสัน นักแพร่ศาสนาหนุ่มอเมริกันอีกคน เดินดุ่มรวดเร็วจากท่าน้ำ หยุดรอที่ตีนบันได

“อาฮุนเอาตู้มาส่งแล้วครับ หมอ”

“เอ้า อาฮุนมาพอดี”

กงดีอกดีใจ

ที่ท่าเรือใต้ต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่ง ฮุนกับเพื่อนกุลีที่ทำงานแบกหามขนส่ง เทียบเรือที่มีชิ้นส่วนของตู้ฝรั่งใบใหญ่ที่ยังไม่ได้ประกอบ วางมาเป็นแผ่นๆ ชิ้นๆ ซ้อนๆ เป็นระเบียบอยู่ในลำเรือ

กงเดินมาถึงพอดี ให้ได้ทักทายกัน

“อาฮุนๆ”

“อ้าว กง”

ฮุนก็ยินดีที่ได้เจอกงโดยบังเอิญ แต่ครั้นเห็นว่ามีผู้แบกคนเจ็บตามมา ก็ออกจะตกใจ

“เฮ้ย อาเฟย! เป็นอะไร”

“โดนของตกทับเท้า แต่คุณหมอรักษาเสร็จแล้ว”

กงรีบบอก

“อาเฟย ทำอะไรระวังตัวหน่อยซี”

ฮุนบ่นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

“ฮ่อๆๆๆ”

อาเฟยรับคำ หน้าตายังเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย

“อั๊วะพาพวกมันกลับก่อนนา ลื้อก็ดูแลประกอบตู้ให้คุงหมอดีๆ ล่ะ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”

อากงสั่ง

“ไม่ต้องห่วงๆ อาเฟย เสร็จแล้วเดี๋ยวอั๊วะไปเยี่ยมนะ”

กงกับคนงานที่แบกอาเฟยพากันลงเรืออีกลำที่จอดอยู่ รีบพายเข้าคลองซอยไปยังชุมชนคนงานจีนข้างๆ วัดกัลยาฯ ที่มีแสงตะเกียงน้ำมันดวงเล็กๆ ส่องวับแวมๆ ริบหรี่ๆ มาจากบ้านหลังเล็กหลังน้อยเรียงรายหลังคาเกย

ส่วนฮุนและคณะแบกหามอีกสามคน ช่วยกันยกของขึ้นจากเรือบันทุกขึ้นไปบนโอสถศาลา

เสียงเพลงจากงานฉลองวัด เวทีนั้น เวทีนี้ ดังลอยลมมาไม่ขาดสาย ขณะที่ฮุนและพวกช่วยกันต่อตู้ใบงามอยู่ในห้องทำงานของคณะมิชชันนารี ในแสงตะเกียงสว่างไสวเจิดจ้า

“ตู้งามมากจริง มิสเตอร์ฮุน”

เอมิลี แบรดลีย์ออกปาก

ฮุนยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจ

“ขอรับ จีนเหลี่ยมแกทำงานเครื่องเรือนอย่างฝรั่งที่หนึ่งเลยขอรับ พวกฝรั่งพวกแขกจ้างแกต่อ

เครื่องเรือนทั้งนั้น”

เอมิลี่ยิ้มชื่นชม

“มิสเตอร์ฮุนช่วยเป็นธุระทุกอย่าง แม้กระทั่งต่อราคา ต้องขอบคุณมาก”

“ช่วยต่อราคาให้ได้ถูกมากด้วย”

คุณหมอแดนเสริม ทำให้ทุกคนหัวเราะกัน

“อากงสั่งนักหนา ให้กระผมดูแลคุณหมอให้ดี เพราะคุณหมอรักษาคนงานต่อเรือสำเภาทุกคนอย่างดีขอรับ”

ฮุนพูดไทยกับหมอ แล้วหันไปพูดภาษาฮกเกี้ยนกับเพื่อน

“รีบเอาชั้นวางของมาใส่กันเลยเถอะ เร็ว”

ฮุนกระตือรือร้นช่วยกันกับพวก สวมใส่ชั้นไม้วางของในตู้จนเรียกร้อย จึงทำการติดตั้งบานพับประตูตู้อย่างรวดเร็วจนสำเร็จเสร็จสิ้นเรียบร้อย

“ฉันขอเลี้ยงน้ำชานะ ชาจีนเราก็มี”

มิสซิสเอมิลี่บอก

“แท็งคิ้วขอรับ”

ฮุนโค้งพลางพูดฝรั่ง ทำให้ทุกคนหัวเราะขำ

เอมิลี่หันมาบอกสามีและจอห์นสันเป็นภาษาอเมริกันอิงลิช ก่อนจะเดินออกไป

“นายฮุนนี่เป็นเฟโนมีน่อลนะ พูดภาษาสยามชัดผิดจากคนจีนทั่วไป แลยังพูดจีน พูดอังกฤษได้ด้วย

แล้วยังทำงานอื่นๆ เป็นทุกอย่าง”

เสียงจากเวทีงิ้ว ตุ้งแช่ๆ ดังมาพอดี

“มีการแสดงไชนี้สอั๊พพร่าด้วย งานฉลองวัดของท่านเจ้าคุณพระคลัง เดี๋ยวเสร็จแล้วเดินไปดูกันซี จอดเรือไว้ที่นี่ก็ได้”

คุณหมอแดนแนะพวกหนุ่มๆ

 

ที่วัด ท่ามกลางชาวบ้านชาวเมืองที่มาเที่ยวเล่นชมงาน นพที่ดื่มมาพอกรึ่มๆ ตาเยิ้มฉ่ำ เดินตามตื๊อนวล น้องสาวที่แต่งตัวสวยงามหรูหราสมฐานะเมียเจ้าคุณนครบาล มีนางปุก ข้าเก่าเต่าเลี้ยง อุ้มลูกสาวตัวน้อยของนวลมาด้วย และบ่าวของนพคู่หนึ่งก็ทำหน้าที่ติดสอยห้อยตามนายไม่ห่าง

“ท่านเจ้าคุณจะรับพี่เข้าทำราชการประจำที่นครบาลหรือไม่รับ นวลถามท่านไม่ได้รือ”

นวลทำหน้าละเหี่ยสุดขีด

“โอย พี่นพ น้องขอร้องเสียทีเถิดเรื่องนี้ ทุกวันนี้ น้องจะได้พูดกับท่านวันละสักคำก็ยังยาก ท่านมี

นางเล็กๆ ล้อมรอบเป็นสองวงสามวง ไหนจะคุณเอื้อยคนงาม กว่าจะถึงตาแม่ลูกอ่อนอย่างน้อง”

เธอเปลี่ยนเรื่อง โดยหันมาเร่งบริวาร

“ไป อีปุก ข้าอยากดูยี่เก”

หญิงสาวเร่งฝีเท้าหนี

นางปุกรีบอุ้มกระเตงคุณหนูตัวน้อยที่ตัวหนักอึ้ง เดินเซตามไป

“เจ้าค่ะๆๆ”

นพคว้าง เมื่อถูกน้องสาวทอดทิ้งไปไม่ไยดี หมุนไปหมุนมาอย่างอับจนหนทาง แต่แล้วดวงตาชายหนุ่มกลับเบิกกว้าง ฟื้นคืนชีพขึ้น เมื่อเห็นลำจวนเดินลากนางทิม ที่พยายามขัดขืนไม่ยอมตามใจมาแต่ไกล

“ไปดูขับเสภาเถิด ฉันอยากฟังกลอน พวกครูเสภาปรบไก่เหล่านี้ ไหวพริบคมกริบ คำกลอนบาดใจ

เลือดไหลซิบๆ ทีเดียวนะทิม…”

ลำจวนทำเสียงออดอ้อนงอแงเหมือนเด็ก ขัดกับความงามที่ฉายโฉมโดดเด่นออกมาจากหมู่ผู้คน ราวกับเธอมีแสงสว่างส่องประกายจากในตัวเอง

นพเกิดความคิดใหม่กระฉูดซู่ซ่าเต็มสมองอันย้อมไว้ด้วยสุรา รีบปรี่เข้าหาน้องสาวต่างมารดา ยิ้มประจบเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ออลำจวน แม่มหาจำเริญ แม่จะไปดูอะไรที่ไหน ให้พี่ไปด้วยได้รือไม่ขา”

ลำจวน ทิม ผงะ งง มองหน้ากัน

แม้แต่พวกทาสก็เลิ่กลั่ก ก้มหน้าหลบตา ด้วยไม่อยากร่วมทางกับนายหนุ่มจอมพาลคนนี้

“แหม ข้าทาสบริวารห้อมล้อมพร้อมหน้า ดูราวกับนางใน ดูๆ ไป ออลำจวนจักเป็นผู้มีวาสนาบารมี

ให้พี่ได้พึ่งพาเป็นแม่นมั่น ไม่สมควรจะมาเที่ยวเล่นในงานวัดเช่นนี้เลย มีแต่พวกชนชั้นต่ำ ไพร่ทาส เจ๊กจีน แขกฝรั่ง เบียดเสียด น้องควรถนอมนวลสาวอย่าให้เสียศรีเสียเปล่าๆ ไม่เข้าการนะน้อง”

นพพร่ำรำพัน

ลำจวนมองทรงนพ ยิ้มสมเพชกับความเมาไม่เลือกเวลาสถานที่

“เชิญพี่นพเถิดค่ะ ฉันอยู่ไม่ดึกดอก ดูดอกไม้กล ตะไลพะเนียงแล้ว ก็จะกลับ”

เสียงคนเรียกกัน และความเคลื่อนไหวอื้ออึงมาจากริมน้ำด้านนึง

“เอ้า เร็วเข้าเร้ว…ไปดูเขาเล่นดอกไม้กลกัน”

“พระท่านจะจุดพะเนียงแล้ว”

“พระท่านเอาปืนใหญ่เปรียมมาทำพะเนียงกับมือเลยหนา”

“ไปดูกันๆ”

ทิมดีใจ ได้จังหวะปลีกตัว

“นั่นไง เขาเล่นไฟกันแล้วค่ะ ไปกันเถิด คุณลำจวน”

“ไปๆๆ”

ลำจวนได้โอกาส ดึงมือทิม แล้วหันมาพยักพเยิดกับเหล่าทาส ชักชวนกันวิ่งหนีพี่นพไปซึ่งๆ หน้า

“เอ๊ะ อีนี่…”

นพตาขวาง มองตามไปอย่างเคืองแค้น

 

บนพูนดินที่ทำขึ้นแทนแท่น ปืนเปรียมชนิดกระสุนห้านิ้ว หูพะเนียงหัก วางตั้งปากกระบอกขึ้นเบื้องบน มีเชือกชนวนโผล่ออกมาด้านท้ายกระบอก โดดเด่นกลางวงในแสงไฟ ที่ผู้คนเริ่มตีวงเข้ามาล้อมดู

“นั่นๆ ปืนกระสุนห้านิ้ว ที่เอามาทำพะเนียง”

ชายคนหนึ่งชี้ชวนเพื่อนฝูง เข้าไปดูจนใกล้ชิด

ภิกษุหนุ่มหน้าตากระตือรือร้นรุ่มร้อน ถือไต้เดินนำภิกษุวัยกลางคนที่ถือประทัดจีนมาเป็นแผง

มีขุนชัย นายอำเภอ กับศิษย์วัดอีกสองคนตามมาด้วย

ขณะนั้นที่ท่าน้ำ แม่ครัววัดคนนึงกับหญิงลาวเกล้าผม นุ่งซิ่น กำลังช่วยกันตักน้ำที่ท่า สำหรับจะหาบไปใช้ล้างถ้วยล้างชามที่โรงครัว หยุดงาน หันมาดูด้วยความสนใจ

ผู้คนตีวง เบียดเสียดกันเข้าไปมุง

ลำจวนนำพวกทาสตามติดมาเป็นแถว มีนางทิมรั้งท้าย

“คุณหนู…อย่าเข้าไปใกล้ดีกว่า”

นางทิมไม่ยอมเดินต่อ

“เพราะเหตุใด ทิมกลัวรือ”

ลำจวนระอิดระอา

“ดูอยู่ตรงนี้ก็เห็นนี่คะ”

“ฉันอยากเห็นชัดๆ ใกล้ๆ”

นพตามมาจนทัน โดยมีพวกบ่าวที่ท่าทางอึดอัด สบตาลำจวนด้วยความเกรงใจ

“ลำจวนน้องพี่ อยากเห็นใกล้ๆ รือ มาๆๆ พี่พาไป”

นพเข้ามาคว้ามือน้องสาวหมับ

ซึ่งทำให้ทิมตาลุก มองมือนพที่จับข้อมือลำจวนเขม็ง เช่นเดียวกับพวกทาสที่หันมองสบตากันอย่างไม่ชอบใจ

ทิมปรี่เข้ามา จับมือนพกระชากออกอย่างหมดความยำเกรง เอาตัวเองบังลำจวนไว้

“คุณนพอยากจะเข้าไปก็ไปเองผู้เดียว อย่ามาแตะต้องคุณหนู”

นพเกรี้ยวกราด

“เอ๊ะ อีนี่ แส่นัก มา…ลำจวน ไปกับพี่”

ชายหนุ่มเดินวนจะมาไขว่คว้าลำจวน แต่ทิมเข้าขวางสุดฤทธิ์ ลำจวนเองก็หนีไปรอบๆ ให้ทิมเป็นเครื่องกำบัง

ที่ปืนใหญ่ พระภิกษุรูปนั้นเอาไต้ที่ถือมาจ่อจุดหางชนวน ซึ่งชนวนก็ติดไฟทันที

เปลวไฟค่อยๆ ลามไป ใกล้ขึ้นๆ สู่กระสุนดินปืน

ผู้ชมเงียบกริบ รอคอย จ้องตาเป๋งตามเปลวไฟที่วิ่งไป

หลายคนขยับเบียดกันเข้าไปเพื่อเห็นใกล้ที่สุด

ขุนชัย นายอำเภอ ถูกเบียดเข้ามาจนใกล้ปืน จึงเอาแผ่นหลังพยายามดัน ยันคนข้างหลังสุดแรง

“ยอๆๆ ถอยออกไปหน่อย”

แต่แล้ว ชนวนที่สั้นลงๆ หดหายเข้าไปข้างใน ส่งเสียงดับฟุ่บ ตามด้วยความเงียบกริบ

เสียงร้อง…อ้าว…ของคนแถวหน้า ดังหึ่งขึ้นพร้อมๆ กัน

“สงสัยด้านแล้วขอรับ หลวงพี่”

“ด้านได้อย่างไร ดินปืนดีๆ ทั้งนั้น ทำเองกับมือ”

ภิกษุรูปนั้นขัดใจยิ่ง รีบก้มลงไปดูในรูปากกระบอก

ผู้คนที่มุง บ้างเขย่ง ชะเง้อ เบียดดันกันเข้าไปอีก

ขณะนั้น ลำจวน นพ และนางทิม ยังแย่งยื้อกันติดพันต่อเนื่องมาไม่เลิก

นพยิ่งโมโห ยิ่งพยายามจะบุกเข้ามา ส่วนพวกทาสก็เริ่มมาช่วยขวาง กลายเป็นขบวนแม่งู หรือรีรีข้าวสารก็ไม่ปาน

ทันใด ประกายไฟวาบสว่างจ้า สาดแสงมาอาบหน้าลำจวน นพ ทิม และกลุ่มทาสบ้านนายสุ่นนายโรงละคร พร้อมเสียงระเบิดตูมตามสนั่น

ทุกคนหันไปตามเสียง พร้อมๆ กับถูกแรงอัดกระแทกจนกระเด็นไปเหมือนถูกแรงกระชาก นพลอยไปทางหนึ่ง ทิมพุ่งเข้ากอดลำจวนพากันล้มกลิ้งไปอีกทาง ส่วนสองบ่าวชายของนพและพวกทาส ก็ฉุดรั้งกันเซซวน เสียหลักลงทับกันเป็นกอง

ผู้คนทั้งปวงต่างล้มระเนระนาดไปอย่างไม่เป็นท่า

เมื่อเสียงระเบิดดังตูมใหญ่ ตู้ใหม่ที่พวกฮุนเพิ่งต่อเสร็จไปไหวเยือก บานประตูตู้บานนึงหลุดลงมากระแทกพื้นปัง ตะเกียงโคมแกว่งไกว อาคารทั้งหลังสั่นเหมือนถูกเขย่า กระจกหลายบานส่งเสียงกราวๆ ชุดน้ำชาที่วางบนโต๊ะสั่นๆ กระทบกันกริ๊กๆ

สามชาวอเมริกันและจีนหนุ่มสี่คน พากันมองรอบๆ อย่างตกใจ

เอมิลี แบรดลีย์หวีดร้องเบาๆ จับมือสามีอย่างเสียขวัญ

“วัทส’แฮ็พเพ่น?”

 

ที่วัดประยุรฯ ผู้คนวิ่งกันแตกตื่นกระจัดกระจาย เสียงร้องครวญคราง เสียงเอะอะหวีดร้องบอกกล่าวตะโกนเรียกเอ็ดอึง

“ปืนใหญ่ระเบิดๆ”

“มีคนตายๆ”

“ช่วยด้วยๆ”

“ไอ้แดง ไปไหนลูก ไอ้แดง…”

ลำจวนค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีเสียงเหมือนจิ้งหรีดกรีดแหลม…เซ็งแซ่อยู่ในหัวจากอาการหูดับชั่วคราว

หญิงสาวพบว่าตนนอนกอดซบหน้ากับหมอนอ่อนนุ่ม อบอุ่น เมื่อหยัดศีรษะขึ้นมองดู ก็พบว่าที่แท้เธอซบหนุนอยู่กับอกนางทิม

ทิมกอดลำจวนไว้ ทั้งๆ ที่ตนเองนอนแน่นิ่ง

ทั้งควันกลิ่นเหม็นไหม้และฝุ่นยังฟุ้งกระจายไปทั่วบรรยากาศ ขณะที่ลำจวนค่อยๆ ลุกนั่ง ประคองทิมไว้ มองไปรอบๆ หาใครที่จะพอช่วยได้ แต่ผู้คนหายไปหมด วงมหรสพต่างๆ เหลือแต่เวทีร้าง เงียบงัน

พวกบ่าว ทาส บริวารทั้งหลายหนีหายไปไหนหมด เหลือแต่นพที่ล้มคว่ำ กำลังตะเกียกตะกายลุกอยู่ ห่างออกไป

“ทิม…ทิม…”

ลำจวนลองเรียก ใจคอไม่ดี

พลัน ทิมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

“พระอรหังๆ นี่ฉันตายแล้วหรือยัง…”

 

ที่โอสถศาลา ฮุนเก็บบานประตูตู้ที่ตกกระแทกพื้นขึ้นมาพิจารณาว่าเสียหายไหม ขณะบอกพวกฝรั่ง

“น่าจะเล่นไฟพะเนียงกันนะขอรับ”

“อะไรนะ”

หมอแดน แบรดลีย์ไม่เข้าใจ

“อิสส’ไฟร์เวิร์ค”

มิสเตอร์โรบินสันแปล

“แล้วไปที ตกใจหมด”

เอมิลีสีหน้าโล่งอก

ทว่าทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าผู้คนวิ่งตุ้บตั้บๆ เข้ามาด้านหน้าโอสถศาลา

เสียงคนตะโกนเรียกเอะอะ

“คุณหมอฝรั่งขอรับ คุณหมอ”

“คุณหมอปลัดเลๆ”

หมอแดน แบรดลีย์ รีบวิ่งออกไป

ที่หน้าอาคาร ชาย 2 คนยืนหอบ หน้าตาตื่นกลัว

“เกิดปืนใหญ่ระเบิดที่วัดขอรับ คุณหมอ มีคนเจ็บคนตายมากขอรับ หมอช่วยไปดูหน่อยขอรับ”

 

           ลำจวนลูบคลำ สำรวจดูตัวนางทิมทั่วตัว

“ทิม…เจ็บตรงไหนหรือไม่”

“ไม่เจ้าค่ะ”

ทิมค่อยๆ ลุกนั่ง

ลำจวนค่อยเบาใจ หันมองไปทางจุดเกิดเหตุ เริ่มมีคนเข้ามามุง ฝุ่นควันจางลง พอมองเห็นคนนอนกันเป็นกองๆ รอบๆ หลุมดินที่เกิดจากแรงระเบิด ตรงแท่นวางปืน ที่บัดนี้แตกออกไม่เป็นรูป มีเสียงคนร้องโอยดอยครวญครางดังมา น่าขนลุก

ลำจวนยืนขึ้น ทำท่าจะเดินไปดู

“คุณหนู อย่าเข้าไป!”

ทิมดึงหญิงสาวไว้

มีคนที่ไม่บาดเจ็บหลายคน เข้าไปช่วยกันค้นหาคนเจ็บ จากกองคนตาย

ที่แบกหามผ่านลำจวนไป มีคนแก่ เด็ก ผู้หญิงสาว นับได้เจ็ดคน มีทั้งที่โดนสะเก็ดระเบิดเหวอะหวะ เป็นแผลที่หน้า ที่ตัว

พวกที่ล้ม เหยียบกัน หัวร้างข้างแตก ถลอกปอกเปิกนั้นไม่นับ

ภิกษุอาวุโสสองสามรูป กำลังเข้าไปดูศพพระรูปที่เป็นคนจุดชนวน

ลำจวนปลิดมือทิมออก เข้าไปผสมโรงกับเหล่าไทยมุง คือคนที่ไม่บาดเจ็บ แต่อยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด โดยเฉพาะสิ่งที่น่ากลัวน่าสยองแปลกประหลาด

หญิงสาวได้เห็นร่างมนุษย์ที่มีผ้าเหลืองห่อพัน กลายเป็นกองเศษเนื้อและกระดูกเละเทะ มีเลือดไหลนอง

ขุนชัย นายอำเภอ ศิษย์วัดสองคน นอนตายรอบๆ

มีเสียงร้องไห้โฮที่ท่าน้ำ ลูกแม่ครัววิ่งมาตามแม่ เห็นแม่และลาวตักน้ำโดนสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ นอนตายกันคาที่ที่ท่าน้ำนั่นเอง

ลำจวนเดินวนไปรอบๆ หน้ามืด พะอืดพะอม เข่าอ่อน พยายามกัดฟัน หันกลับไปทางทิม ที่ลงนั่งยองๆรออยู่ เพราะไม่มีแรงเดิน อยู่ที่เดิม

พลันได้ยินเสียงร้องครางแหบเครือของบุรุษดังมาไม่ไกล

“โอย โอย…แม่จ๋า…แม่จ๋า…”

ลำจวนหันไปเห็น แล้วผงะ

ภิกษุรูปหนึ่ง นอนตาลอยไร้จุดหมาย ส่งเสียงคร่อกๆ ผสมครางจากลำคอ แขนข้างนึงรุ่งริ่ง ขาดวิ่นเช่นเดียวกับผ้าเหลืองที่พันร่าง

ลำจวนพลันหน้าถอดสี ตัวแข็งทื่อ

นี่หรืออาการของมนุษย์ที่กำลังจะขาดใจตายลงตรงหน้า

พลัน ลำจวนก็ผวา เพราะถูกกระชากแขนรุนแรงจากบุรุษ

“ออลำจวน กลับบ้านเถอะ ไป เร็ว”

ลำจวนหันมา แล้วก็ต้องสยดสยองอีกครา

นพนั่นเอง หางคิ้วแตก เลือดออกพลั่กๆ ลงมาอาบหน้า แต่เจ้าตัวหาได้รู้สึกไม่

“พี่นพ…”

พระนั้น จู่ๆ หันหน้ามาทางลำจวน ทั้งๆ ที่ตากลับลอยคว้าง มองเห็นอันใดไม่รู้ได้ ทว่าโบกกวัดแกว่งแขนข้างที่เหลือมาหา

“แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย”

ลำจวนสั่นเทาไปทั้งร่าง หันมา คว้ามือนพเป็นที่พึ่ง

“พี่นพ ช่วยหลวงพี่รูปนี้หน่อยค่ะ”

นพหันไป แล้วสะดุ้งเฮือก

ภิกษุนั้น พยายามกอบกุมแขนตน ข้างที่ไม่เหลือเค้าเป็นแขน บิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด

“เอิ๊ก…”

นพตากลับ เข่าอ่อน ร่วงเป็นลมลงกับพื้น หมดสติไปในทันที

ลำจวนงงงัน หันรีหันขวาง แล้วตัดสินใจร้องตะโกนสุดเสียง

“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่า มีพระแขนขาดตรงนี้!”

พระสองรูปที่กำลังจัดการเอาผ้าสบงมาห่อเศษร่างศพตรงจุดระเบิด วางมือลงก่อนจากรูปที่ตายแล้ว เดินเข้ามาดูรูปที่ยังรอด แต่อาการเข้าขั้นตรีทูตแล้ว

“แม่…แม่…ช่วยลูกด้วย”

“โอ้…แขน…แขนข้างนั้น ไม่เหลือดีแล้ว”

“เลือดไหลราวกับน้ำ ไม่รอดแน่คุณ…”

ทั้งสองกระซิบหารือกัน

พลันมีเสียงบุรุษห้าวใหญ่ เป็นภาษาไทยที่แปร่งแปลกดังมา

“รอดครับ แต่ต้องตัด”

ลำจวนและสองภิกษุหันไป

หมอแดน บีช แบรดลีย์ และคณะ มีมิสเตอร์จอห์นสัน และจีนหนุ่มผมเปีย ล้วนร่างกำยำล่ำสันอย่างพวกกุลีแบกหามสี่คนยืนอยู่

“อะไรนะ ตัดอะไร”

พระภิกษุรูปหนึ่งถามเสียงเครือสั่น

“ตัดแขนขอรับ”

หมอแดนตอบเสียงหนักแน่น

ลำจวนมองหน้าหมอแดนตกตะลึงพรึงเพริด

บุรุษชาติฝรั่ง ร่างสูง หน้าผากกว้าง คิ้วหนาต่ำและเคราดำตัดเป็นระเบียบสะอาดรอบกรอบหน้า มีดวงตาที่อ่อนโยน ทว่ามุ่งมั่นแน่วแน่

ฮุนเข้ามาดูสภาพพระแขนขาด แล้วเงยมาทางลำจวนพอดี

ชายหนุ่มชะงัก รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา

ลำจวนกำลังจ้องหมอแดนสลับกับมองดูสภาพพระบาดเจ็บ ไม่ได้สังเกตเห็นฮุน เพราะรู้สึกว่าจีนผมเปียทานแบกหามนั้นก็ดูเหมือนกันไปหมด

มีผู้คนที่ได้ยินเริ่มโจษจันกันไป ว่าหมอฝรั่งจะตัดแขนพระ บ้างฮือฮา ไม่เห็นด้วย

“รีบพาไปเดี๋ยวนี้ เร็ว!”

หมอแดนไม่มีเวลาฟังความเห็นผู้ใดทั้งนั้น

ฮุนตัดสินใจเข้าอุ้มพระ ที่แขนข้างหนึ่งแหลกเหลวรูปนั้นขึ้นมาในอ้อมแขนทันที แล้ววิ่งพาไปดังที่หมอสั่ง มุ่งสู่ประตูด้านข้างวัด ชาวคณะของหมอคือหมอกับฝรั่งอีกคน และคณะชายฉกรรจ์จีนผมเปียยาว ทั้งหมดล้วนร่างกายสูงใหญ่น่าเกรงขาม เข้าห้อมล้อมเคลื่อนที่เร็วไปด้วยกัน

ลำจวน พวกพระ และผู้คนที่ตื่นตระหนกได้แต่แหวกทางให้ ไม่กล้าขัดขวาง และมองตามไปอย่างขวัญกระเจิงทั้งสิ้น

 



Don`t copy text!