บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 24 : คงแป๊ะผู้พลั้งมือ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

คงแป๊ะยืนท้าวสะเอว แหงนหน้ามองศิษย์จีนคนโปรด อย่างเอน็จอนาถ

บนนั่งร้าน ฮุนนั่งจ้องผนังเป็นเบื้อใบ้ เหมือนคนที่วิญญาณออกจากร่างไปร่อนเร่ที่อื่น สีในจานของมัน ดูเหมือนจะแห้งสนิท เช่นเดียวกับสีที่ปลายแปรงซึ่งค้างคาในมืออยู่กลางอากาศ

“ เป็นอันใด เจ้าฮุน เมื่อไม่มีแก่จิตแก่ใจ ก็ลงมา

ฮุนอึ้ง มองดูครู  แล้วปีนลงมาอย่างอ่อนแรง ดวงตาเลื่อนลอย ยังไม่ตระหนักว่าตัวเองดูแปลกประหลาดเปลี่ยนแปลงไปเพียงไร

“เหลืออีกเพียงเล็กน้อย แต่กลับทำไม่ได้ แทนที่จะเสร็จเร็วๆ ข้านี่คิดถูกรือคิดผิด  ที่ไว้วางใจให้เจ้าเขียนหน้าภาพ ”

คงแป๊ะบ่น ผิดหวังจริงจัง ปีนนั่งร้านสลับขึ้นไปเขียนเอง

มีเสียงหัวเราะเบาๆ มาจากหลังม่านผ้าขาว

คงแป๊ะ และฮุนได้ยิน หันไปพร้อมกัน

ที่หลังผ้าซึ่งขึงกั้นบังตาไว้นั้น ครูทองอยู่กำลังเขียนหน้าตัวภาพพระเนมิราชกลางบุษบกอย่างงดงามอยู่ลำพัง ยิ้มคนเดียวอย่างเบิกบาน

“ จิตที่วุ่นวาย หาความสงบมิได้ สติปัญญาก็วิ่งหนี ไม่มีทางที่จะสร้างสิ่งดีงามได้ดอก ”

คงแป๊ะถึงกับนิ่งไปนาน

“ คุณหลวงวิจิตรฯพูดถูก ”

“ ก่อนจะจับพู่กัน หยุดใจ ให้ปราศจากความคิดใด เหลือแต่ความว่างเปล่า หากทำไม่ได้ ก็ไล่กลับบ้านไป ”

ครูทองอยู่ชี้แนะ จากนั้นก็มุ่งมั่นทำงานของตนต่อไป สมาธิแน่วแน่ ไม่สนใจทางอีกฟากของผ้าม่านที่กั้นกลางอีก

คงแป๊ะหันมามองหน้าฮุน เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าได้ยินแล้วหรือไม่

ฮุนสบตาครู แล้วก้มหน้า คอตก  สำนึกผิด พนมมือ กล่าวกระซิบเบาอยู่เพียงในลำคอ

“ กระผมเป็นทุกข์ใจจริง..”

คงแป๊ะมอง งงงัน ด้วยไม่เคยเห็นชายหนุ่มมีอาการทำนองนี้มาก่อน

พระบุญลือเข้ามาพอดี ท่านเดินผ่านทุกคนดุ่มๆเข้าไปข้างใน สู่ผนังด้านที่เขียนมหาชาติเวสสันดร

ฮุนมองตามท่าน นิ่งชั่งใจอยู่ไม่นานก็ก้าวตามเข้าไป

คงแป๊ะมองตามแล้วส่ายหัว ขี้เกียจสนใจ หันมาตั้งใจวาดรูปต่อไป

พระบุญลือยืนดูงานที่เขียนค้างไว้ ลำดับแผนการที่จะทำงานในวันนี้ แล้วหันมาจะจัดเตรียมสี แปรง ยางไม้ ภาชนะที่จะใช้

ฮุนยืนไหว้อยู่ หน้าตาหมองคล้ำ หม่นไหม้

“ หลวงพี่ขอรับ ”

เสียงแหบพร่านั้น ขมปร่า

“ คุณลำจวนเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ”

พระบุญลือมิรู้ว่าจะตอบว่ากระไรจึงจะสมควร

“ อย่าโกรธเคืองกระผมเลย กระผมเพียง..อยากทราบความเป็นอยู่ของเธอ ”

ฮุนหน้าตาซูบเซียวไปจนเห็นได้ในเวลาไม่กี่วัน

“ ลำจวนสุขสบายดี เจ้ามิต้องเป็นห่วงเธอดอก ควรห่วงตนเองให้มาก ”

พระบุญลือตัดรอนอย่างเยือกเย็น

“ ลำจวนนั้นให้ความสนิทสนมเมตตากับเจ้าอยู่บ้าง แต่เจ้าอย่าได้คิดฝันไปให้ไกลเกินความจริงนักลำจวนเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแลซุกซนจนไม่รู้ขอบเขต แม้เพลานี้เจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่ลำจวนก็ยังเห็นเจ้าเป็นเด็กผมเปียที่แปลกกว่าผู้ใดน่าสนใจใคร่รู้อย่างเดิม เห็นแล้วก็มีแต่อยากชวนไปเล่นแผลงๆ สนุกคะนองก็เท่านั้น หาได้มีความปฏิพัทธ์เสน่หาอันใดไม่ ข้อนี้ขอให้เจ้ากระจ่างใจเสีย ”

ดวงตาดำเรียวรีเฉียงคมคู่นั้น ฉายแววรวดร้าว

“ กระผมไม่ได้คิดจะทำสิ่งไม่ดีงามกับเธอ ขอให้ได้รู้ว่าเธอไม่เจ็บไข้ทุกข์ร้อนอันใดก็พอขอรับ ”

พระบุญลือพยายามควบคุมท่าทีให้เรียบเฉย

“ลำจวนไม่เจ็บไข้ดอก เธอกำลังจะออกเรือนไปในอีกไม่นาน จะไปอยู่คลองอื่นแล้ว คงไม่ได้มาที่วัดทองบ่อยๆอีก เจ้าก็ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลาอีกเลย”

“ ออกเรือน..ไปอยู่คลองไหนรือ? ”

ฮุนถามอย่างเลื่อนลอย

“ เจ้ามิต้องรู้ดอก ฮุน เจ้าก็เป็นผู้ใหญ่มากแล้วมิใช่เด็กรุ่นๆ เจ้าควรหาเมียที่สมฐานะคู่ควรกันได้แล้ว คนขยันขันแข็งมีดีหลายสิ่งเช่นเจ้า ไม่ช้าก็จักร่ำรวยเป็นเจ้าสัว มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง จะได้มีความสุขร่มเย็นไปตามอัตภาพ อย่าเป็นทุกข์ใจกับเรื่องไม่เป็นสาระแก่ชีพเลย ”

พระบุญลือสอน วางอุเบกขาสมแก่ฐานานุรูป

พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเหนือลำน้ำ

ที่ท่าเรือวัดแจ้ง คงแป๊ะและเหล่าศิษย์ช่วยกันล้างอุปกรณ์เขียนภาพให้สะอาด เสร็จแล้วก็พากันล้างมือ ล้างหน้าล้างตาให้สะอาดสดชื่น

มีเรือของโยมอุปัฏฐากมาจอดเทียบรอรับท่านพระครูและพระบุญลือกลับวัดทอง คลองบางกอกน้อย

คงแป๊ะกับศิษย์รวมทั้งฮุน นั่งลงต่ำ พากันพนมมือไหว้ ส่งพระลงเรืออย่างนอบน้อม

ฮุนก้มหน้าต่ำ ไม่มองหน้าหลวงพี่อีก ทำให้พระบุญลืออดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ แต่ท่านก็ไม่พูดอะไร

เรือพระแล่นลับไปในแสงสะท้อนจากสายน้ำที่วาบวับบาดตาจนฮุนต้องพระพริบตาถี่ๆ ก้มลงวักน้ำล้างหน้าจนเปียกชุ่มให้ฉ่ำชื่นใจขึ้นบ้าง แล้วหันมาเก็บข้าวของที่ล้างสะอาดดีแล้วลงเข่งเพื่อจะเอาไปเรียงเก็บไว้ที่เพิงพักช่างเขียนกลุ่มของพวกเขา

“เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม        ดนตรี
อักขระห้าวันหนี               เนิ่นช้า
สามวันจากนารี               เป็นอื่น
วันหนึ่งเว้นล้างหน้า         อับเศร้า ศรีหมอง ”

คงแป๊ะรำพึง

ฮุนก้มหน้าก้มตา ตั้งใจเก็บของเรียงลงในลังให้เป็นระเบียบ

“  อืม..ผมก็ได้ไปเห็นที่กรมขุนเดชอดิศร ทรงจารึกไว้ที่วัดโพธิ์  เห็นแล้วทำให้คิดหนัก ”

ครูพุดชวนเจรจา

“ คิดอะไร..หนัก? ”

คงแป๊ะถามขำๆ

“ คิดว่าเมื่อไหร่ ครูจะพาพวกเราไปรับจ้างเขียนรูปฝากฝีมือไว้ในแผ่นดินกับเขาบ้าง  เพลานี้เห็นมีพวกพระขรัวตา จากวัดหัวเมืองต่างๆเข้ามาวาดประชันฝีมือกันใหญ่ ”

ครูพุดหมายถึงวัดโพธิ์ ที่เวลานี้มีการระดมจ้างช่างเขียนและช่างฝีมืออย่างอื่นทั้งสิบหมู่ เข้าไปทำงานหลายประเภท เพื่อรังสรรค์ให้เป็นคลังความรู้ เป็นตัวอย่าง เป็นสถานศึกษาหาความรู้ทางวิทยาการทุกสาขา เป็นสถานที่ที่สวยงามไว้ให้เที่ยวชมเพื่อหย่อนใจแก่ราษฎรทั้งหลาย

คงแป๊ะตบหัวครูพุดแบบแกล้งๆไม่ให้ถึงแก่เจ็บปวดอันใด

“ ไอ้นี่ก็ชักใบให้เรือเสีย อยากไปเขียนก็ไปกันเองซี เขาว่าค่าจ้างไม่ใช่เบา จะได้มีเงินมีทองใช้กัน ”

คงแป๊ะเหลือบตาไปที่ฮุน อยากรู้ว่ามันฟังอยู่หรือไม่

“ ข้าหมายถึงโคลงโลกนิติบทนี้ อ่านแล้วได้ความคิดอันใดบ้าง ”

“ กระผมได้ความคิดว่า..ล้างหน้านั้น เป็นเรื่องสำคัญที่สุด อย่างอื่นนั้น เว้นว่างได้หลายวัน แต่ทว่าล้างหน้า ต้องล้างทุกวัน ”

พี่คนหนวดเคราครึ้มวิเคราะห์

“ เออ..ไอ้นี่ฉลาดคม ”

คงแป๊ะชมเชย

“ เช่นนั้น นารี..ก็เป็นสิ่งสำคัญอันดับรองจากล้างหน้า คือห้ามเว้นเกินสามวัน ”

พี่ผู้สักขาลายออกความเห็นบ้าง

“ เว้นอะไร หา เอ็งหมายว่า..เว้นอันใด เกี่ยวแก่นารี? ”

ครูพุดเอะอะออกมา

“ แหมๆ..ครูขอรับ  ครูคิดว่าเว้นอันใดเล่าขอรับ ”

นายสักขาลายหัวร่อ

นายหนวดเคราครึ้มช่วยเพื่อนอธิบาย

“ ดักลอบ ต้องหมั่นกู้ เป็นเจ้าชู้ ต้องหมั่นเกี้ยว อย่างไรเล่าครู เกี้ยวหญิงใดไว้ ก็ต้องคอยแวะไปเกี้ยวซ้ำ อย่าให้ขาด หากขาดเกินสามวัน ก็อาจจะมีชายอื่นมาแวะมาแทนที่ได้ ”

นายสักขาลายพร้อยมองไป เห็นต้นพุทราป่าที่ขึ้นอยู่แถวนั้นสองสามต้น นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ วิ่งไปเด็ดใบพุทรามาหนึ่งใบ  กลับมายื่นให้ทุกคนดู

“  นี่ ดูเสีย ”

คงแป๊ะฉงน

“ ใบพุดซา? ”

นายหนวดเคราเกาเคราแกรก

“ เพื่อ? ”

พี่สักขาพลิกใบไม้ไปมา เอาไปจ่อที่หน้าทุกคนในคณะ

“ เล็ก หรือใหญ่? ”

“ เล็ก ”

ครูพุดตอบ

พี่สักขา  ยื่นใบพุดทรามาที่หน้าฮุน แทบทิ่มเข้าไปในลูกตา

“ แต่แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุดซาเว้ย..โลกนี้มันไม่ได้เล็กๆแคบๆแค่นี้เสียเมื่อไหร่ ”

“ นารีเป็นอื่น ก็ยังมีนารีอื่นเป็นฝูงเว้ย เจ้าฮุน ”

พี่ๆมารุมกันตบหัวฮุนปลอบโยน

ริมคลองที่ตัดเลียบย่านสามเพ็ง เรือโคมเขียวจอดเรียงรายเรืองรองสวยงามมลังเมลืองเต็มบริเวณฝั่งคลอง เสียงซอเอ้อหูเครื่องสี คลอเสียงพิณผีพาเครื่องดีด อ้อยสร้อยประสานในทำนองเศร้าบาดใจ เสียงขับร้องหวานโศกซึ้ง เอื้อนโหยหวนแหลมสูงในภาษาจีนฮกเกี้ยนเป็นเพลงคร่ำครวญถึงรักที่จำพราก

ชายจีนนักเที่ยวทั้งแก่ กลางคนและหนุ่ม พากันลงไปเจรจาพาทีกับคนในเรือโคมเขียว

เสียงเกี้ยวพาหยอกล้อกันของลูกค้ากับสาวโคมเขียวหน้าขาวปากแดงฟังชวนคึกคักสนุกคะนองยิ่ง

ร้านอาหารเหลาเรือนไม้สองชั้น มีเฉลียงยื่นไปจรดคลอง อยู่ใต้เงาร่มรื่นของไม้ใหญ่ ไทร โศก ลำพู ที่ขึ้นอยู่เป็นดงครึ้มดังอุทยาน ประดับโคมกระดาษขาวแดง ให้แสงสว่างสดใส

บนยกพื้นกลาง  ‘ เหลา ’ แห่งนี้เอง ที่มีคนสีซอเป็นชายชรากับหญิงสาวสวยเล่นพิณผีพา และขับร้องคลอไปด้วย ขับกล่อมผู้คนที่เข้ามานั่งอุดหนุน สนทนา ดื่มสุรา กินกับแกล้มกันแน่น

โต๊ะที่กลุ่มช่างเขียนคงแป๊ะนั่งล้อมวงกันอยู่ เป็นโต๊ะกลมใหญ่ริมระเบียง บนโต๊ะมีเหล้าจีนในป้านสุรากระเบื้องทรงผอมสูง จอกที่ใช้ดื่มก็เป็นกระเบื้องเนื้อดี กับของกินเล่นสิ่งละอันพันละน้อย ทั้งของดอง ของเค็ม ของคั่วถั่วมัน อยู่ในถ้วยเล็กถ้วยน้อย

ครูๆและพี่ๆดื่มกินสรวลเสเฮฮา มีเพียงฮุนที่ยกถ้วยขึ้นจิบถี่ๆ เงียบขรึมอยู่ในอารมณ์ส่วนตัว

ท่วงทำนองเพลงเปลี่ยนจากเศร้าเป็นสนุกสนาน สาวนักดีดผีพา ร้องเพลงด้วยเสียงหวานแหลมราวนางนกผิวปากบนกิ่งพฤกษา ร้องพลาง ดีดพิณพลาง แล้วยังสามารถเล่นตาให้คนนั้นคนนี้ไปรอบๆโถงนั้น

ชายจีนพ่อค้าฐานะดีระดับคุณชายหรือเจ้าสัวบางท่าน ลุกจากโต๊ะด้วยตัวเอง หาใช้บ่าวไพร่ไม่ เดินเอาเงินพดด้วงมาใส่ที่ภาชนะดินเผาตรงหน้าวงดนตรี เพื่อจะได้ต่อตาและยิ้มกับสาวเสียงนกการะเวกตัวงาม

ชายหนุ่มสามคน ลักษณะเป็นขุนนาง ผู้ดี มีเชื้อสาย แต่งกายภูมิฐาน นั่งชมเพลงที่โต๊ะมุมระเบียงข้างๆกัน สังเกตเห็นคงแป๊ะ จึงสะกิดกันดูอย่างมีมรรยาท ระวังอาการ

เมื่อคนรับใช้ในร้าน ยกป้านสุรามาวางที่โต๊ะของพวกเขา ชายขุนนางหนุ่มกระซิบเบา สั่งให้เอาไปมอบที่โต๊ะของคงแป๊ะ คนรับใช้โค้งตัว ก้มศีรษะรับคำสั่ง รีบยกสุรานั้น นำมาวางให้

บรรดาศิษย์คงแป๊ะทั้งหลาย พากันปฏิเสธว่าไม่ได้สั่ง คนรับใช้จึงต้องอธิบาย และผายมือมาทางบรรดาคุณชายชาวสยามโต๊ะนั้น

เมื่อคงแป๊ะมองไป หนึ่งในชายกลุ่มนั้นก็รีบลุกขึ้น พนมมือไหว้คงแป๊ะ ค้อมเนื้อค้อมตัวต่อผู้ใหญ่ที่นับถือ

“ ท่านครูคงแป๊ะ กระผมชื่นชอบฝีมือเขียนภาพของท่านเหลือเกินขอรับ อยากจะขอ..บูชาครูแด่ท่านสักเล็กน้อย กรุณารับไว้เป็นสินน้ำใจด้วยนะขอรับ ”

“ เป็นความเมตตาเหลือเกินขอรับ  เอ้า  ทุกคน ไหว้รับไมตรีท่าน.. ”

เมื่อครูแสดงความขอบคุณเสียงดัง พวกศิษย์ทั้งหลายจึงพากันหันไปไหว้คุณชายในโต๊ะนั้นทั้งหมด

หนุ่มๆข้าราชการเหล่านั้น ก็ไหว้ตอบ ยิ้มแย้ม

ครูพุดรินเหล้าบรรณาการนั้น เติมให้ในจอกน้อยหน้าคงแป๊ะ

“ ดื่มเลยขอรับ ครู ”

คงแป๊ะยกสุราขึ้นจิบ แล้วทำหน้าปลื้ม

“ บ๊ะ นี่เหล้าไทยของโรงเหล้าบางยี่ขันเลยหนา รสดีๆ ”

ครูพุดรินสุรานั้นแจกกันในโต๊ะ เมื่อตัวเองได้ชิมแล้ว ก็หันไป ชูจอกและก้มศีรษะ สบตาเป็นนัยยะยกย่องรสของเหล้านั้นกับข้าราชการทั้งสามท่านนั้น

ชายหนุ่มหนึ่งในสามคงครึ้มอกครึ้มใจ จึงร่ายกลอนบทโปรดปรานอันกำลังอยู่ในความนิยมออกมา

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง    มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา

ฮุน ที่ก้มหน้าก้มตาดื่มกิน ทำทุกอย่างตามๆพี่ๆเขาไปให้กลมกลืน ไม่ให้แปลกแตกต่าง ทว่าจิตใจเลื่อนลอยอยู่ในภวังค์ พลันสะดุ้งเหมือนคนนอนหลับ ที่มีใครเขย่าปลุก  เขาเงยหน้าขึ้น หันไปทางโต๊ะที่พวกขุนนางหนุ่มกำลังว่ากลอนกัน

โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา  ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

เพื่อนอีกคนในโต๊ะ ต่อกลอนให้

ชายหนุ่มคนที่สามตบเข่าฉาดๆ

“  นิราศภูเขาทอง ของท่านภู่ ”

เขาเอ่ยเสียงดังเป็นเชิงอวด ภาคภูมิใจ ที่รู้จักนามกวีคนสำคัญ

“ ว่าอีกๆ ”

“ ได้เท่านี้ขอรับ ”

ชายหนุ่มคนแรกที่กล่าวกลอนร้องสารภาพ พลางยกมือทั้งสองขึ้นว่ายอมแพ้ ทำให้ทั้งสามหัวเราะครืนขึ้นมา เพราะขำกันเอง

ฮุนก้มหน้าลง จิบเหล้าในจอก ความเศร้าโศกท่วมท้นขึ้นมา

คงแป๊ะฟังพวกหนุ่มๆกลุ่มนั้นคุยกันอยู่ หันไป แล้วเอ่ยต่อให้ช้าๆ ชัดๆ

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ                 สรรเพ็ชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย            ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

สามหนุ่ม หันมา ต่างก้มหัวให้คงแป๊ะอย่างที่คนจีนเรียกว่า ยอมซูฮก

ครูพุดไม่ยอมแพ้ รีบร่ายออกมาบ้าง

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก      สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป      แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ

ฮุนสะอึกอยู่ในอก ทุกถ้อยทุกคำ บาดจิต แทงใจ จนอยากกระอักออกมาเป็นโลหิต

สมาชิกทั้งสองโต๊ะใกล้กันนี้ ต่างฮือฮา ชอบใจ ข้าราชการหนุ่มคนหนึ่งถึงกับผิวปากหวือ

“ นิราศท่านภู่นี่บาดจิตแท้ เพลานี้ท่านอยู่ไหนหนา ”

เขาเอ่ยอย่างเศร้าเสียดาย

“  ไม่มีผู้ใดตอบได้ดอก สิ้นพระองค์เจ้าลักขณานุคุณไป ท่านก็สึก..ก็คงลงเรือเร่ไปอยู่หัวเมืองใดสักแห่งแหล ”

เพื่อนหนุ่มอีกคนบอก

ฮุนยิ่งรู้สึกเศร้าและเมามายกว่าเดิม เขาก้มหน้าต่ำ ราวกับจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

ครูพุดมองดู แล้วหันมาส่ายหัวกับทุกคนในโต๊ะ

“ เจ้าฮุนนี้ อาการหนักเพียบแปล้เต็มที ”

 ขณะนั้นอาแปะร้านข้าวต้มเจ้าเก่าถือถาดใส่ถ้วยข้าวต้มสองสามที่  มีอาหง ลูกสาวคนสวย ช่วยถือถาดใส่กับข้าวตามมา ยืนชะเง้อคู่กันอยู่ที่หน้าร้าน

คนรับใช้ในร้านเหล้าเดินออกมาเห็น ดีใจมาก ร้องเรียกเสียงดัง พลางกวักมือ

“ เฮียใช้ มาที่โต๊ะนี้เลย เฮีย เข้ามาๆๆ ”

คนขายข้าวต้มก้มหัว แสดงความขอบใจ แล้วเดินขึ้นมาวางชามข้าวต้มตรงหน้าสามข้าราชการหนุ่ม อาหงลูกสาวตามมา วางชามกับข้าวสามสี่อย่างลงกลางโต๊ะ

หนุ่มๆ มองอาหงกัน ดวงตาเป็นประกายมีชีวิตชีวาขึ้นมา

“ อาหง วันนี้ทำไมไม่ยิ้มเลย ”

คุณชายสยามคนแรกเอ่ยอย่างสุภาพ

อาหงหันไปยิ้มให้ตามมารยาท

“ ค่อยยังชั่วหน่อย เห็นหงยิ้ม แล้วเรียมค่อยหายเหนื่อย ”

เพื่อนของเขากล่าวบ้าง

หงทำหน้าที่บริการลูกค้าโต๊ะนั้นเสร็จ กวาดตามองดูในร้านไปทั่วๆ เผื่อจะมีผู้ใดอยากจะสั่งข้าวต้มอีกบ้าง เธอตาโตตื่นเต้น เมื่อเห็นฮุนอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆนั่นเอง

หงดีใจจนลืมตัว ตรงปรี่ไปหาฮุนทันที อย่างไม่เกรงใจผู้ใด

“ เฮียฮุน หายไปนานเลย ลืมสามเพ็งไปแล้วรือ ”

สาวน้อยตีเผี่ยะ ที่แขนฮุน ซึ่งก้มหน้าเกือบจะถึงพื้นโต๊ะอยู่แล้ว

ฮุนสะดุ้งโหยง แหงะหน้ามอง แล้วเจอหน้าหญิงสาวจีนที่คุ้นเคย ยิ้มแต้อยู่

ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ชี้หน้าด้วยนิ้วชี้ที่ส่ายไปมา ยิ้มหยาดเยิ้ม แล้วเอ่ยวาจาหวานจัด

“  อาหง ยิ่งโต..ยิ่งงาม ”

อาหงส่ายหัว ตระหนักว่าเฮียคนโปรดผู้นี้พูดจาไร้ความหมายใด ด้วยเมามายมิใช่น้อย

เธอค้อนขวับๆและบ่นอย่างห่วงใย

“ อั๊วะก็งามทุกวันแล เฮียน่ะซี หน้าตาเศร้าหมอง ”

“ ก็..คิดถึงหงนั่นแหล ”

ชายหนุ่มแก้ตัวเรื่อยเปื่อย หัวเราะหัวใคร่คิกคัก เพื่อกลบคำกล่าวหาว่าเศร้าหมอง

คงแป๊ะและบรรดาศิษย์พากันผงะ มองฮุนกับหมวยสาวแล้วหันมาสบตากันอย่างนึกไม่ถึง ค่าที่ไม่เคยเห็นยามหนุ่มจีนผู้นี้คบหาพาทีกับสตรีสาวสวย เคยเห็นกันแต่ยามทำงานและคลุกคลีกับเพื่อนฝูงพี่น้อง

“ วันนี้มีต้มเกาเหลาเครื่องในงัว เฮียเอาไหม? ”

หงแตะมือฮุน แสดงความอาทรลึกซึ้ง

“ น้องสาวคนงาม อยู่นั่งพูดจาปราศรัยกับพวกเราก่อนเป็นไร ”

พี่สักขาลายเอ่ยเชิญชวน ด้วยชักครึ้มๆขึ้นมาบ้าง

หงหันมามองดูแต่ละคนในโต๊ะ สำรวมกริยา ถอยออกไปเล็กน้อย

ฮุนเพิ่งได้สติว่ามิได้อยู่ลำพังหรืออยู่กับเพื่อนคนงานหรือจับกังที่สนิทกันมาแต่เล็กๆทั้งหลาย แต่เป็นพี่ๆและครูในสำนักช่างเขียน

“ เอ้อ อาหง นี่..เหล่าชือคง และนี่ เหล่าซือพุด นี่พี่ใหญ่ นี่พี่รอง ”

เขาหมายถึงพี่หนวดเฟิ้ม กับพี่สักขาลายพร้อย

หงไหว้ทุกคนแบบไทยๆอย่างว่าง่าย พร้อมกับยิ้มสดใส เปี่ยมชีวิตชีวา

“ เหล่าชือคง  เหล่าชือพุด พี่ใหญ่ พี่รอง ฉันชื่อหงค่ะ ”

หมวยน้อยคนงามเอ่ยเรียกทุกคน เสียงร่าเริง

ทุกคนในโต๊ะชยิ้มรับหง เอ็นดูเป็นที่สุด

หงกวาดตา มองจอกเหล้าทุกคน

“ ฉันเติมให้นะคะ เหล่าซือคง ”

เธอรินสุราจากป้านให้คงแป๊ะคนแรก ทำให้ชายทุกคนในโต๊ะนั้นยิ้มแย้ม โดยเฉพาะคงแป๊ะ ที่ยิ้มกริ่มถูกใจ

ทันใด กลิ่นหอมกรุ่นจากเครื่องหอมราคาสูงหลายสิ่งระคนกัน มีทั้งกลิ่นกระดังงา ไม้จันทร์หอม ติงเซียง(กานพลู) โร่วกุ้ย(อบเชย) และปิงเพี่ยน(พิมเสน)รวมเป็นกลิ่นทั้งหวาน ทั้งชื่น ทั้งรุ่มร้อนอย่างประหลาด โชยฟุ้งตรลบไปทั้งบริเวณ ทำให้ทุกคนต้องเหลียวมองหาที่มาของความหอมฟุ้งนั้น

ที่มาของกลิ่นอันเร้ารุมใจ โบตั๋น หญิงงามเมืองเลื่องชื่อ เดินขึ้นมาจากบันไดหน้าร้านพร้อมด้วยบ่าวชายไม่ใช่หญิงไม่เชิง ที่คอยประคับประคองเธอ

หญิงสาวเคลื่อนไหวเนิบช้าสง่างาม ดวงหน้าเล็กๆเชิดหยิ่ง เมินมองอากาศธาตุ ไม่เหลียวแลผู้คน

โบตั๋นมีเรือนร่างบอบบางดุจต้นหลิว ใบหน้าขาวผ่องเรืองรองด้วยแป้งผสมไข่มุกพอกหนา เขียนตาเฉียงดำสนิท คิ้วเรียวเล็กเป็นเส้นโค้งงาม พวงแก้มเป็นวงชมพูระเรื่อดุจกลีบโบตั๋นและปากแดงลิ้นจี่ ผมยาวดำเกล้าประดับช้องดอกไม้ไหวทำด้วยทองคำ ทิ้งชายผมด้านหลังยาวเป็นหางม้า เสื้อผ้าไหมเนื้องามสูงค่า สวมใส่เครื่องประดับไข่มุก เพชร และทองคำ มือที่เรียวเล็ก ขาวผ่องดุจงาช้าง วางเกาะบนแขนบ่าว มีแหวนอัญมณีหลากสีประดับทุกนิ้ว

ข้าราชการหนุ่มทั้งสามต่างอ้าปากค้าง มองดูร่างงามที่เลื่อนลอยผ่านประตูด้านหน้าเข้ามาช้าๆราวเทพธิดา

ผู้คนล้วนชายตามโต๊ะอื่นๆ ต่างหันมามองดูโบตั๋นกันเป็นตาเดียว

คนรับใช้ร้านเหล้ารีบออกมาต้อนรับหญิงสาว กล่าวแก่กันด้วยภาษาจีน

“  โบตั๋น  เชิญที่ห้องด้านใน ”

“ ค่ะ เฮีย กำเสี่ยๆ ”

เสียงของเธอกลับทุ้มนุ่มอยู่ในลำคอ

“  อาเฮียฮุนจ๋า ดื่มหน่อยจ้ะ ”

เสียงใสๆเหมือนเด็กของอาหงดังมาจากโต๊ะคงแป๊ะ ขณะที่โบตั๋นกำลังเดินผ่าน ทำให้เธอหยุดกึก

หญิงสาวผู้สง่างามมองดูอาหมวยน้อยหง ที่ร่าเริงแจ่มใส รินสุราดูแลคนในโต๊ะนั้น

คงแป๊ะและเหล่าศิษย์ต่างตกตะลึง มองโบตั๋นที่มาหยุดอยู่หน้าโต๊ะ

โบตั๋นเห็นฮุน ดวงตาที่หรี่ปรือเหมือนไม่แยแสมนุษย์โลกของหญิงสาวกลับเบิกกลมโตขึ้น เป็นประกายมีชีวิตชีวาผิดไปจากเดิม  พลันมองกวาดตาดูทั่วทุกคนในโต๊ะ แล้วเดินแช่มช้าเข้ามาหยุดตรงหน้าฮุน

“  อาฮุน  ”

เธอทักฮุนด้วยเสียงนุ่มนวล แล้วหันมาทำความเคารพทุกคนในโต๊ะ

“ ท่านพี่ชายที่เคารพและท่านผู้ใหญ่ที่นับถือ ขอโบตั๋นนั่งด้วย ได้ไหมคะ ”

คงแป๊ะถึงกับลุกขึ้นยืนต้อนรับอย่างมารยาทฝรั่ง

“ เชิญขอรับๆ คุณโบตั๋น ”

ฮุนไม่รีรอ รีบคว้าม้านั่งว่างจากมุมห้อง มาจัดที่ให้หญิงสาวนั่งใกล้คงแป๊ะ

“ โบตั๋น นี่เหล่าซือของกระผม ท่านเป็นช่างเขียน คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์ ใครๆเรียนท่านว่า

ช่างเขียนคงแป๊ะ ”

โบตั๋นแย้มกลีบปากแดง เห็นฟันขาวสีงาช้าง

“ เหล่าซือคง..โบตั๋นได้ยืนชื่อท่านจากฮุนมานานแล้วค่ะ ”

โบตั๋นเอียงหน้า ปรายตาให้ฮุน

อาหงยืนทื่อ มองโบตั๋น แล้วหันไปทางห้องส่วนตัวสำหรับลูกค้าพิเศษด้านใน รู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

โบตั๋นคุยจ้ออย่างกันเองกับคงแป๊ะ

“ อาฮุนชอบเป็นช่างเขียน เมื่อก่อนตอนเด็กๆเคยเขียนภาพฉันไว้ให้ภาพหนึ่ง ฉันยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่เคยมีผู้ใดเขียนภาพให้ฉันมาก่อน แม้ว่าบัดนี้อาฮุนจะไม่ค่อยได้มาสามเพ็งอีกแล้ว เพราะอาฮุนได้ทำอาชีพเป็นช่างเขียนที่มีงานมาก ทั้งนี้ก็เพราะพวกเล่าชือ ที่เมตตากรุณาต่ออาฮุนอย่างสูง ฉันต้องขอแสดงความกตัญญูและเคารพท่านอย่างสูงด้วยค่ะ ”

หญิงสาวมองสบตาครูพุด และสองศิษย์พี่ของฮุนอย่างเคารพนบนอบ

ลูกค้าในร้านต่างมองมาที่โต๊ะนี้กันเป็นตาเดียว ทำให้บรรดาช่างเขียนหน้าบานเป็นจานเชิง

คงแป๊ะยิ้มนุ่มนวล เจรจาอย่างสุภาพ ราวกับกำลังพูดจากับญาติผู้ใหญ่ผู้ปกครองของฮุนกระนั้น

“ พวกฉันไม่ได้ลำบากทำสิ่งใดเลยคุณโบตั๋น เจ้าฮุนเป็นช่างเขียนที่มีฝีมือ ขยันขันแข็ง ว่าง่ายใช้ง่าย เขาย่อมมีความสุขความเจริญอยู่แล้ว

พอดี ประตูห้องรับรองลูกค้าพิเศษด้านในเปิดออก  คนรับใช้ของผู้ยิ่งใหญ่สักคน ก้าวอาดๆออกมามองหา

หงที่เฝ้าดูอยู่แล้ว หันไปเห็น เธอสุดระงับความหวั่นวิตกไว้ได้

“ เอ่อ พี่โบตั๋นคะ มีใครรอพี่อยู่หรือเปล่าคะ ”

โบตั๋นยิ้มให้หง หาได้เดือดเนื้อร้อนใจไม่

“ ขอพี่ดื่ม..ให้เหล่าซือ และพี่ชายเหล่านี้ก่อน ”

“ ค่ะพี่ ”

หงหันไปบอกคนรับใช้ของร้าน

“ ขอจอกให้พี่โบตั๋นด้วย ”

“ ขอสุราบางยี่ขัน ที่ดีที่สุด เพิ่มอีกขวดจ้ะ ”

โบตั๋นสั่งเองทั้งที ทางร้านมีหรือจะช้า จอกและป้านสุราที่ใหม่ ถูกนำมาวางเพิ่มรวดเร็ว

โบตั๋นรินเหล้าให้ทุกคนในโต๊ะด้วยตนเอง ยิ้มหวานให้ทุกคนอย่างเต็มอกเต็มใจ

ฮุนมองโบตั๋น รู้สึกเกรงใจ แต่ก็ไม่อยากให้เธอเสียน้ำใจ

ขณะที่หงยังยืนเหลียวหน้า เหลียวหลัง พะวงระวัง อึดอัดใจยิ่ง

พลัน เกิดความเคลื่อนไหวจากห้องด้านในนั้น

ประตูบานพับเปิดผางออก เจ้าสัวหนุ่มใหญ่ท่าทางองอาจผึ่งผาย แต่งกายด้วยไหมด้วยแพรจีน  ทว่าตัดผมสั้นอย่างทันสมัย ไว้หนวดเคราที่ตัดเล็มเป็นรูปทรงอย่างฝรั่ง  ก้าวออกมายืนผงาดกร่าง พร้อมสมุนผมเปียร่างใหญ่อีกสองนาย

“ โบตั๋น!! ”

เจ้าสัวหนุ่มเปล่งเสียงดังก้อง

ทำให้ทุกคนในร้านต้องหันขวับไป แตกตื่น

“ มาถึงแล้ว ก็เข้ามาดื่มกินด้วยกันซี  มัวแต่พูดคุยกับผู้ใด ”

เจ้าสัวมองมา เห็นคงแป๊ะ ฮุน และพวก ก็ยิ้มแสยะ แล้วเดินอาดๆเข้ามาทันที

เขาก้มหัวให้คงแป๊ะ ผู้มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเกรงขามที่สุดในโต๊ะนั้น ด้วยมารยาทอย่างฝรั่ง

“ ขออภัยขอรับ ท่านผู้สูงส่ง แต่โบตั๋นผู้นี้กระผมซื้อไว้แล้ว คงมิอาจรับรองพวกท่านได้ ”

พูดจบ เขาก็คว้าแขนโบตั๋น ดึงขึ้นจะให้ลุกยืน

โบตั๋นบิดแขนออกมาจากการจับยึด หันมองแววตากร้าว ถามเสียงขุ่นข้อง

“ ซื้อไว้แล้ว คืออย่างไร?”

“ อั๊วะซื้อลื้อจากอาใช้แล้ว ซื้อขาด ไม่ให้ลื้อทำมาหากินอีกแล้ว ”

หนุ่มจีนผู้ร่ำรวยกล่าวอย่างโอหัง

“  อาใช้ขายมิได้ถามอั๊วะ อั๊วะไม่ขายขาดให้ผู้ใด ”

โบตั๋นประกาศ

เจ้าสัวหนุ่มลดท่าทีเป็นออดอ้อนเอาใจ

“ อั๊วะจะเลี้ยงลื้ออย่างสุขสบาย ไม่ต้องมาปรนนิบัติคนอื่นอีก ไม่ดีดอกรือ ”

ชายกลางคนร่างผอมเสี้ยม โหนกแก้มสูง ดวงตาเล็กเป็นขีดเดียว สีหน้าโหดเยือกเย็นดุจอสรพิษ

เดินส่ายออกมาจากห้องด้านในนั้น

บรรยากาศในเหลาแปรเปลี่ยนไปดุจมีพลังเลวร้ายขุมหนึ่งแผ่ออกมาปกคลุม

คงแป๊ะมองดูหน้าฮุน เหมือนวัดใจกัน ขณะที่หงหน้าซีดเผือด  หันมองโบตั๋นอย่างอกสั่นขวัญแขวนแทน

เขาคืออาใช้ ผู้ยึดอาชีพเป็นเจ้าของโสเภณีสองสามคนที่โด่งดัง เขาซื้อเด็กผู้หญิงหน้าตาดีมาเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน ฝึกหัดให้เชี่ยวชาญการร่วมประเวณีและปรนนิบัติผู้ชายให้มีความสุข

อาใช้ เดินเซด้วยดื่มเข้าไปมาก เข้ามายืนตัวเอียงกระเท่เร่ ชูถุงเงินหนักอึ้งขึ้นแกว่งไปมาตรงหน้าโบตั๋น

“ ลื้อเป็นสมบัติของคุณชายจ่างแล้ว นางเหมยฮัว เอ้อ โบตั๋น ต่อไปนี้ ลื้อคือคนของคุณชาย ไม่ต้องไปลงเรือโคมเขียว เร่ขายตัวอีกต่อไป”

“ ไอ้ใช้ ”

โบตั๋นเรียกเขาอย่างไร้ความนับถือยำเกรงแต่อย่างใด วัยเด็กที่เคยสยบยอมไม่มีทางสู้ เลือนหายไปในกาลเวลา ในเมื่อยามนี้ หญิงสาวเติบโตขึ้นมาปีกกล้าขาแข็ง แกร่งพอตัวแล้ว

หญิงสาวยืนขึ้นเผชิญหน้า เธอตัวเล็ก บอบบางกว่าอาใช้มาก แต่หาได้หวั่นกลัวไม่

“  ลื้อจะขายอั๊วะให้คนนั้นคนนี้ดุจงัวควายตามแต่ใจไม่ได้ ”

“ ทำไมจะไม่ได้ ลื้อเป็นเมียอั๊วะ เป็นสมบัติของอั๊วะ ใครจ่ายมากกว่า คนนั้นก็ได้ไป ”

อาใช้ประกาศดังก้อง

“ แต่คุณชายจ่าง..เป็นคนวิตถาร วิปริตทารุณ อั๊วะไม่ต้องการ ”

โบตั๋น ซึ่งเป็นฉายานามทางอาชีพนางบำเรอของอาเหมยฮัว ตะโกนตอบ

เจ้าสัวหนุ่มสะดุ้ง เขาเหลือบมองดูผู้คนมากมายในเหลานั้น สงสัยว่าใครได้ยินบ้าง

“ โบตั๋น ลื้อพูดอะไร! ”

ชายหนุ่มเข้ามาฉุดแขนหญิงสาว

“ ไป เข้าไปพูดจากันภายในห้อง อายผู้คนเขาบ้าง ”

โบตั๋นสะบัดตัวจากเงื้อมมือเจ้าสัวจ่าง หันไปหวีดใส่อาใช้

“ อั๊วะไม่ไป อาใช้ เอาเงินคืนเขาไป อั๊วะไม่ขอปรนนิบัติเจ้าสัวจ่าง ให้อั๊วะตายเสียยังดีกว่า ”

“ อ้าว อีนี่ ”

เจ้าสัวหนุ่มหน้าชาด้วยความโกรธและอับอาย เขาถลันเข้ามา เงื้อมือใหญ่โตแข็งแรง ฟาดตีที่ใบหน้าโบตั๋นเสียงดังฉาด ร่างบอบบางกระเด็นไปไกล แล้วเซล้มฟุบลงกับพื้นเหลา ราวนางนกต้องธนู ปีกลู่ ร่วง ศีรษะดิ่งลงกระทบดิน

“ โอ๊ย! ”

บุรุษช่างเขียนทั้งโต๊ะทะลึ่งขึ้นยืน

หงรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างโบตั๋นขึ้นมากอดไว้ เลือดจากจมูกเทพธิดาโสเภณีไหลพลั่กแดงฉานออกมาเลอะอกเสื้อหมวยน้อยร้านข้าวต้มข้างทาง

เจ้าสัวจ่างก้าวยาวๆเข้าไป  หวังจะกระชากร่างโบตั๋นขึ้นมา

ทว่าฮุนสืบเท้า เข้าขวางทางเขาไว้เสียก่อน

เวลานั้นฮุนมีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยมหายเมามายสิ้นเชิง หยัดกายสูงใหญ่แข็งแรงขึ้นเต็มตัว เห็นได้ชัดว่าเขาบึกบึนกว่าเจ้าสัวหนุ่มประมาณหนึ่ง

“ ขอทีเถิดขอรับ คุณชาย อย่าทำร้ายโบตั๋น ”

“ ลื้อเป็นใคร อย่ามายุ่ง! ”

เจ้าสัวหนุ่มตวาด

“ โบตั๋นก็เหมือนกับน้องสาวผม ผมเป็นพี่ชายโบตั๋น ”

ฮุนพยายามควบคุมอารมณ์

อาใช้ระเบิดหัวเราะเย้ยหยัน

“ อีเหมยฮัวไม่มีพี่ มีแต่ผัว คือกู กูซื้อมันมาจากพ่อแม่  มึงอย่ามากล่าวเท็จ มานี่ อีตัวดี ”

มันบุกเข้าไป กระชากโบตั๋นขึ้นมาและผลักหงกระเด็นไปในคราวเดียวกัน

สามขุนนางสยาม เข้าร่วมวงทันที

หนุ่มผู้ดีคนแรก ส่งเสียงเข้ม

“  ปล่อยแม่โบตั๋น ไอ้คนถ่อย! ”

อาใช้ถุยน้ำลายลงพื้นปรี๊ด

“ มึงอย่าเสือก! ”

จบคำ มันก็โดดชกหน้าข้าราชการหนุ่มผู้นั้นสุดแรง ชายหนุ่มชาติผู้ดีไม่ทันตั้งตัว เข่าทรุดลงไปกองกับพื้น

เพื่อนข้าราชการอีกสองนายพุ่งเข้าไป หวังจะช่วยกันล้มจีนร้ายนั้น แต่อาใช้ชักมีดพกออกมา ทั้งแหลม ทั้งคมปลาบ กวัดแกว่งว่องไว

สองหนุ่มผู้ดีไทย ต้องกระโดดถอย ระมัดระวัง จดจ้อง รอจังหวะ

ไอ้แมงดาใช้ หันไป จิกผมโบตั๋นด้วยมือหนึ่ง

“ อีเหมยฮัว มึงมาเลยมา มึงต้องไปอยู่กับคุณชายจ่าง มิเช่นนั้น มึงตาย ”

มันตบโบตั๋นไม่เลือกที่ ด้วยหลังมือข้างที่ถือมีด ดูน่าหวาดเสียวเป็นที่ยิ่ง

“ หยุดตีผู้หญิง อั๊วะบอกให้ลื้อหยุด! ”

ฮุนตะโกน แล้วเข้ากระชากเปียอาใช้จากด้านหลังจนมันหน้าหงาย  แล้วชกเข้าที่กกหู

ไอ้แมงดาเซไปด้านหนึ่ง ทำให้โบตั๋นหลุดมาได้

ฮุนตามหวังจะเข้าซ้ำ

พลันพวกสมุนเจ้าสัวสอง สาม สี่คน กรูกันเข้ามารุมฮุน

ศิษย์พี่คนหนวดเคราทะมึน  กับศิษย์พี่ผู้สักขาลาย  รีบเข้าขวาง เพื่อช่วยศิษย์น้อง เกิดเป็นการตะลุมบอนจนพวกลูกค้าอื่นต้องลุก หลีกห่าง โต๊ะเก้าอี้ที่ขวางทาง ล้มระเนระนาด

ขณะที่อาใช้ตั้งตัวได้ หันหลับมา เหลียวมองหา

“ อีโบตั๋น! ”

หญิงสาววิ่งหนีมาแอบหลังครูพุด

“ ช่วยด้วยๆ ”

อาใช้กวัดแกว่งมีด วิ่งเข้ามา ครูพุดปักหลักสู้ด้วยมวยไทย มันเงื้อมีดฟัน  ครูพุดยกแขนรับด้วยสัญชาตญาณ โดนคมมีดคมกริบฟันลงมา ทำเอาครูพุดทรุดฮวบ

“ กรี๊ดๆ ”

โบตั๋นร้องสุดเสียง วิ่งหนี

ไอ้ใช้ตามติด เงื้อง่ามีดร่า

คงแป๊ะอยู่ตรงนั้นพอดี ยื่นขามาขัด ไอ้ใช้สะดุดเสียหลัก

คงแป๊ะจดจ้อง จะเข้าซ้ำ

ไอ้ใช้หันมา พุ่งเข้าแทงครูช่างเขียนลือนาม แต่สายตาคงแป๊ะแม่นยำกว่า ท่านฉากหลบ แล้วคว้ากำข้อมือมันได้ กดเข้าที่ง่ามนิ้วหัวแม่มือของไอ้แมงดา ปลดแย่งมีดมันมาถือเสียเอง

ไอ้ใช้โกรธแค้น จนตาขวาง

“ เก่งนักหรือมึง ”

มันพุ่งโถมตัวเข้ามาเต็มแรง

คงแป๊ะเอามีดของมัน แทงสวนออกไปทันที

มีดเล่มนั้น ปักฉึกลงตรงอกเจ้าของมีดพอดี

ไอ้ใช้หารู้สึกตัวไม่ ด้วยจังหวะต่อเนื่อง มันใช้สองมือบีบคอคงแป๊ะพลางโถมทับร่างครูช่างเขียนหงายล้มลงไป

แต่แล้ว ขณะโหมแรงบีบคอคงแป๊ะ เลือดจากหัวใจของมัน ฉีดกลับเข้าไปตกใน ในร่างตัวเอง พลันดวงตาของอาใช้เหลือกกลับขึ้นบน เหลือแต่ตาขาว ฟุบคว่ำ แน่นิ่งลงทับบนตัวคงแป๊ะ

ฮุน พี่หนวด พี่สัก ที่กำจัดพวกคนรับใช้ของเจ้าสัวไปได้  รีบดาหน้าเข้ามา เพราะไม่ทราบชะตากรรมคงแป๊ะ

เป็นคงแป๊ะเอง ที่ดิ้นรน เอามือแกะมือทั้งสองของอาใช้ ที่ยังบีบคอท่าน หงิกเกร็งอยู่ พร้อมๆกับใช้เท้าถีบร่างมันทุลักทุเล จนร่างไอ้แมงดาร้าย กลิ้งพ้นออกไปจากอกท่านได้

อาใช้กลิ้งลงไปนอนหงาย แน่นิ่ง มือเกร็งหงิกในท่าบีบคอกลางอากาศ มีมีดปักอก ตายสนิท

คงแป๊ะค่อยๆทรงตัว พยุงร่างตัวเองลุกยืน มองดูศพอาใช้แทบเท้า ตะลึงงัน

โบตั๋นได้แต่กรีดร้องไม่หยุด เลือดยังไหลพลั่กๆจากจมูกหญิงสาวจนหงต้องเข้ามาดูแล

สามขุนนางหนุ่มสยาม ประคองกันขึ้นมา แล้วพากันตกตะลึง กับภาพสยองของศพอาใช้

ฮุนและเหล่าศิษย์พี่ยืนนิ่งงัน ซีดเผือดอยู่กับที่

เจ้าสัวจ่างกับพวกสมุน พากันถอยหนี และสลายตัวกันไปอย่างรวดเร็ว

 



Don`t copy text!