บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 17 : พระรอด

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

การผ่าตัดแขนที่ยับเยินของพระรูปนั้น เป็นการผ่าตัดสด ปราศจากยาสลบ

หมอแดน บีช แบรดลีย์ตั้งใจผ่าอย่างประณีต สุดฝีมือ ด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดเท่าที่มี เพื่อช่วยชีวิตและเพื่อพิสูจน์ให้คนสยามได้เห็นความน่าศรัทธาของการแพทย์สมัยใหม่จากตะวันตก

ก่อนหน้านี้ หมอแดนได้ผ่าก้อนเนื้องอกที่หน้าผากชายชาวจีนคนหนึ่งได้สำเร็จ ปลอดภัย ทำให้ตัวเขามีความมั่นใจในการผ่าตัดฝีมือตัวเองมากขึ้น แต่การช่วยพระรูปนี้เป็นเรื่องเสี่ยงมากสำหรับตัวหมอเองด้วย เพราะหากไม่สำเร็จ ความเชื่อมั่นที่คนสยามมีน้อยอยู่แล้วกับการแพทย์สมัยใหม่ก็จะลดลงไปอีก แล้วจะทำให้ปิดใจต่อการรักษาโรคด้วยวิทยาศาสตร์ และล้มตายกันต่อไปเพราะเอาแต่เชื่อเรื่องคาถาอาคมทรงเจ้าเข้าผีเสกเป่ารดน้ำมนต์ต่างๆ

ฮุนต้มน้ำเดือดจำนวนมาก เพื่อเอาไปใช้ลวกเครื่องมือผ่าตัดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิสซิสเอมิลี่ และมิสเตอร์โรบินสัน ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยหมอแดน

ฮุนไม่รู้เลย ว่าจากหน้าต่างประตูห้องที่โอสถศาลาที่ใช้เป็นห้องผ่าตัดชั่วคราว มีลำจวนเป็นหนึ่งในบรรดาชาวบ้านที่มาชะเง้อชะแง้เบียดเสียด มุงกันแน่น

ฮุนกลับมาเล่าด้วยการวาดรูปลายเส้นอย่างสรีรศาสตร์ให้ชาวคณะช่างเขียนสำนักคงแป๊ะเห็นภาพ

“ขั้นต้น คุณหมอตัดแขนแลเศษเนื้อที่ฉีกขาดออก”

ทุกคนฮือฮากับภาพคือหน้าตัดของแขน หลังจากถูกตัดออก เห็นกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นเลือด

“จากนั้น จึงห้ามเลือด ด้วยการกดรัดแน่นช่วงไหล่แลต้นแขน”

ฮุนจำได้ดี ว่าเวลาที่เขาและโรบินสันช่วยกันใช้ผ้าผูกรัดช่วงไหล่และแขนของพระผู้รอดชีวิตจนแน่น ท่านตัวสั่นระริกอย่างเจ็บปวด แต่ท่านกลับตะโกนสวดมนต์รัวเร็วซ้ำๆ ดังก้อง

“อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ วิชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสสธัมมาสารถิ สถา

เทวามนุสสานังพุทโธภควาติ”

คุณนายเอมิลี่ส่งเข็มที่ร้อยด้ายแบบเข็มเย็บผ้านี่เอง

“พี่ๆ รู้ไหม เส้นเลือดใหญ่ที่แขนของคนเรา ก็เหมือนท่อเลือดที่ลำคอของเป็ดของไก่นี่แหล เมื่อตัดขวางแล้ว ก็เย็บปิดแน่นลงได้”

พี่หนวด พี่สักขาลาย และคนอื่นๆ ต่างทำหน้าตาสยดสยองพองขนไปตามๆ กัน

“หมอแดนเย็บปิดหนังที่ต้นแขนของพระรูปนั้น ด้วยฝีเข็มเล็กๆ ถี่ๆ อย่างบรรจงที่สุด แล้วจึงทายา

สีเหลืองๆ ลงไปจนผิวหนังส่วนนั้น เป็นสีเหลืองๆ ช้ำๆ ซีดๆ

คงแป๊ะ ครูพุด ต่างตั้งใจฟังอย่างทึ่ง

“น่าเวทนานัก ป่านฉะนี้ หลวงพี่ท่านคงไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เสียแล้ว”

คงแป๊ะขัดขึ้น

“โธ่ ครูขอรับ เหตุใดจึงว่าเช่นนั้น”

ฮุนร้องโวย

“ไม่มีใครโดนตัดแขนตัดขาสดๆ แล้วมีชีวิตรอดต่อไปได้ดอก เจ้าฮุน”

ครูพุดแกล้งว่ายิ้มๆ

ทำให้ฮุนขัดใจยิ่งนัก

 

ขณะที่ทางบ้านนายสุ่น ลำจวนก็กำลังแถลงอย่างจริงจังอยู่ท่ามกลางลุงๆ อาๆ ในคณะละครนายสุ่น

“แต่ก่อนที่ฉันจะกลับมา ฉันดูแล้ว ดูอีก หลวงพี่ท่านก็ยังหายใจนา”

“หายใจแรงๆ หรือหายใจรวยริน”

ลุงแดง นางเอกประจำคณะซักไซ้

ลำจวนชะงัก เสียงลังเลเล็กน้อย

“รวยรินจ้ะลุงแดง”

“นั่นปะไร…เพลานี้คงจากไปสู่สุคติเสียแล้ว…”

ลุงมั่น คนฉิ่งรับลูก

เล่นเอาลำจวนหน้าเสีย

“ไม่ดอก…”

“แล้วพ่อนพเล่า อาการหนักเบามากน้อยประการใดบ้าง”

นพก็เป็นคนไข้อีกคน ที่ต้องพักนอนที่โอสถศาลา

นอกจากหางคิ้วแตกที่ลำจวนเห็น ยังมีแผลใหญ่บนศีรษะอีกด้วย ที่โดนก้อนของแข็งบางอย่างพุ่งมากระแทกแตก ที่ทำให้เสียโลหิตไปไม่น้อย  ผมด้านหน้าของนพส่วนนึงถูกโกนออก เห็นแผลที่ถูกเย็บไว้ ทายาเหลืองอ๋อย นอนหน้าซีดบวม

เมื่อมิสซิสเอมิลี่ทำความสะอาดแผลให้ ชายหนุ่มก็ดีดตัวทุรนทุราย

“ปวดหัว ปวด เอาอันใดมาใส่หัวกู แสบๆๆ”

เมียบ่าวสามคน คือแม่เหว่า แม่เยื้อนที่ท้องโตค้ำ ยืนกระหนาบซ้ายคน ขวาคน และมีนางอุ่นอยู่ปลายเท้าช่วยกันจับตัวนพไม่ให้ดิ้น

“คุณนพต้องไม่ตาย”

แม่เหว่าสะอื้น

“ถ้าตาย ลูกของเราก็จะเป็นกำพร้านะ คุณนพ คุณนพตายไม่ได้นะเจ้าคะ”

แม่เยื้อนครวญ

นางนอบ ลำจวน และทิม ยืนดูห่างออกมา

“พอแล้วๆ อย่ามาโดนแผลกู”

หมอแดนเป็นคนเอายาสีเหลืองใส่ให้

“โอ๊ย ปวดหัวๆ เหมือนหัวจะแตก”

นางอุ่นถดถอย เพราะโดนฝ่าเท้าเข้าไปหลายดอก

“คุณนพไม่ตายดอก เพียงแต่เสียจริตไปแล้ว”

“เสียจริตอย่างไรขอรับ”

หมอแดนสงสัย

“จริงๆ หนา ฉันเคยเห็นอ้ายมี ตกเรือนหัวกระแทกดิน สมองกระเทือน ฟื้นมา เป็นบ้า เก็บขี้หมาใส่ปาก”

นางอุ่นตอบจริงจัง

“อีอุ่น! เดี๋ยวกูถีบกระเด็น แช่งผัวมึงรือ”

นพง้างเท้า

เมียอื่นๆ ต้องเข้ามาช่วยกันจับ

“โธ่เอ๋ย ลูกนพ สงบสำรวมบ้างเถิด อายคนอื่นเขาบ้าง”

นางนอบดุ ทำให้นพเพลาอาการลง

นางทิมจับมือกับลำจวน สบตากันด้วยสีหน้าขำปนเอือม

ที่ระเบียงทางเดินด้านข้างโอสถศาลา ปูที่นอนสำหรับผู้บาดเจ็บที่ต้องพักค้างให้หมอดูอาการในวาระผิดปกตินี้เป็นการชั่วคราว ซึ่งขณะนี้มีเหลืออยู่สี่ห้าคน ที่แขนขาหักหรือมีแผลเหวอะหวะ ทว่าไม่มีผู้ใดอาการถึงขั้นสาหัส

บางคนหลับอยู่คนเดียวลำพัง บ้างมีญาติมาเฝ้า ทุกคนต่างหันมาดูนพอย่างสนุกสนานเหมือนชมดูการแสดง

“คุณไม่เป็นอันใดมากดอก”

หมอแดนปลอบนพ แล้วหันมาอธิบายกับนางนอบ

“อย่าวิตกนะจ๊ะ คุณนายแม่ คนเจ็บแผลแห้งดี ไม่อักเสบ เพียงแต่มีไข้ต่ำๆ อยู่ ต้องให้นอนที่นี่ต่อ ไข้สร่างเมื่อใด จึงจะให้กลับบ้าน”

พูดจบ หมอแดนก็ไปดูแลคนไข้อื่นต่อ มีมิสซิสเอมิลี่ตามไปเป็นผู้ช่วย

คนงานจีนชายชราคนนึงประคองกะละมังใส่น้ำ มีผ้าสะอาดพาดแขนเข้ามา มิสเตอร์โรบินสันยกกาน้ำร้อน และขวดน้ำส้มสายชูเข้ามาหานพ

“ญาติหลีกทางหน่อยขอรับ น้ำร้อนขอรับ”

ลำจวน ทิม และนางนอบ ขยับเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา บรรดาเมียๆ ของนพขยับทางหลบ คนงานจีนตั้งกะละมังน้ำลง โรบินสันรินน้ำร้อนจากกาลงไปผสมกับน้ำในกะละมัง เอามือวัดอุณหภูมิ แล้วเทน้ำส้มลงไป

“นั่นอะไรทิม เหล้ารือ” ลำจวนสงสัย

โรบินสันเอามือหยิบผ้าสะอาดมา ชุบน้ำนั้น

“เดี๋ยวใครช่วยเช็ดตัวให้คนเจ็บด้วยน้ำส้มสายชูเถิด ไข้จะทุเลาได้”

ชายฝรั่งหน้าตายิ้มแย้มใจดีบอกกับเมียทั้งสาม

ลำจวนมองหน้ากับทิม แปลกใจ

“น้ำส้มสายชู?”

พวกเมียนพมองหน้า ว่าใครจะเป็นคนเอาลูกกระพรวนไปผูกคอเสือ

“ไม่เอาๆ อย่ามาเช็ดกู กูไม่เช็ดๆ”

นพงอแง

นางนอบจึงต้องแทรกตัวเข้าไป แย่งผ้าจากโรบินสัน

“ฉันเช็ดเอง พ่อนพ หยุดอาละวาดเสียที ไม่เช่นนั้นแม่จักตีซ้ำ”

ลำจวนมองหาพระที่ถูกตัดแขนแต่ไม่พบว่าอยู่ในพวกคนไข้ที่ระเบียง

“พระรูปนั้นอยู่ที่ใด ไม่เห็นเลย”

“ตายไปแล้วกระมังคะ”

นางทิมกระซิบ

ขณะนั้นเอง มีชายหนุ่มชาวสยามที่แต่งกายฝรั่งสากลสวมเสื้อชั้นนอกชั้นในกับกางเกงขายาว รองเท้าหนัง ท่าทางคล่องแคล่ว ผึ่งผาย ดูคมคายสะดุดตา เดินขึ้นบันไดด้านหน้ามากับชายหนุ่มที่แต่งชุดทหารมหาดเล็ก เสื้อแขนยาวติดดุมสีเงินตลอดด้านหน้า คาดเข็มขัดทับเสื้อตัวยาวทับเอวผ้าม่วง ใส่ถุงน่องรองเท้าเต็มอัตรา

โรบินสันรีบไปต้อนรับ พูดจานอบน้อมและใช้ภาษาฝรั่งกัน หมอแดนเห็นเข้าก็ปลีกตัวจากการดูแลคนไข้ ให้เอมิลี่ดูแทน และรีบมาพูดจาอธิบายอะไรมากมายอย่างเป็นการเป็นงาน จากนั้นพากันเดินเข้าข้างในอาคารไปกันอย่างรีบเร่ง

ลำจวนเสียดายเป็นที่สุดที่ฟังภาษาฝรั่งไม่เข้าใจ แต่สีหน้าตื่นเต้นเป็นกังวลบางอย่างของคุณหมอ ทำให้เด็กสาวไม่สบายใจ

ความอยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นคุณสมบัติเด่นอีกประการหนึ่งของลำจวน

เธอไม่เคยรอรีที่จะยอมสงสัยอยู่นิ่งๆ จึงเดินตามเขาเข้าไปสังเกตการณ์ถึงด้านในของโอสถศาลา เที่ยวโผล่หน้าเข้าไปมองหาตามประตูห้องที่เปิด

ลำจวนได้ยินเสียงเร่งเร้าขึงขังมาจากในห้องที่ประตูเปิดอ้ากว้าง

เธอค่อยๆ ย่องไปสืบ

ทันใด เสียงฝีเท้าของบุรุษหลายๆ คนที่สวมรองเท้าหนังส้นแข็งๆ ดังปังๆ ออกมา ทำให้ลำจวนต้องกระโดดถอยออกมา ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อหมอแดนที่สวมหมวกและถือกระเป๋าหนังทำงานใบใหญ่ออกมา โดยมีชายทั้งสองประกบซ้ายขวา พาเดินลงบันไดไปอย่างรีบร้อน สวนกับนางทิมที่เดินตามหาลำจวนเข้ามาพอดี

นางทิมผวาเข้ามาหานายสาว พลางตบอกผาง

“คุณพระช่วย รือว่า…นครบาลมาจับตัวหมอปลัดเลย์ไปเสียแล้ว”

ลำจวนงง

“นครบาลจับ…จับด้วยเหตุไรรือ ทิม”

“ก็…ฆ่าพระตายน่ะสิคะ”

นางทิมเสียงแห้ง

โรบินสันเดินออกมาพอดี เขาจัดแจงปิดประตูห้องนั้นลง

“คุณคะ คุณหมอปลัดเลย์ถูกใครมาจับไปรือคะ”

ลำจวนอดรนทนไม่ได้ เข้าไปถาม

“ออ…นั่นทนายพด คนของหลวงสิทธิ์นายเวร ลูกชายท่านเจ้าคุณพระคลัง มารับคุณหมอแดนไป

เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวน่ะขอรับ มิส…”

ทิมตาเหลือก

“เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว…จะถูกประหารไหมคะ”

“ประหาร…คืออะไรขอรับ”

โรบินสันงงกับคำศัพท์แปลกใหม่

“ก็…เฆี่ยน หรือตัดคอ”

 

นางทิมเสียงกระเส่า

“ทิม…”

ลำจวนสะกิดให้หยุด

พอดี ที่ประตูห้องด้านในสุด มีพระภิกษุเดินผ่านเข้าออก เห็นจีวรเหลืองๆ

ทันทีที่ลำจวนหันไปเห็น เธอก็วิ่งแผล็วเข้าไปโดยพลัน

ในห้องนั้น มีภิกษุยืนกันอยู่สองรูป จีวรอร่าม เฝ้าดูคนป่วยศีรษะโล้นที่นุ่งเพียงสบงท่อนล่าง ที่นอนอยู่บนเตียงแคบๆ

“พระเทพโมลีท่านให้บอกว่าขอให้คุณพักผ่อนให้เต็มที่ ขอให้หายเร็วๆ ขอให้พระคุ้มครอง”

ภิกษุรูปที่อาวุโสที่สุด หมายถึงท่านเจ้าอาวาสที่เป็นพระราชาคณะเพียงรูปเดียว ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานสร้อยนามให้เป็น ‘มหาธรรมกถึกคณฤศร’ ในเวลานั้น

“กราบเท้าพระเดชพระคุณท่าน ดูเถิด มือสองข้าง…จะกราบท่าน ผมก็ไม่มีเสียแล้ว”

พระคนไข้ผู้เหลือเพียงแขนเดียว เสียงอ่อนระโหยโรยแรง

พระที่มาเยี่ยมสบตากันสลด ด้วยเวทนาสงสาร

“เสียอวัยวะ หากรักษาชีวิตไว้ได้ ก็นับว่าบุญแล้วหนา”

พระภิกษุผู้อาวุโสน้อยกว่า พยายามปลอบ

“ผมคงต้องขอลาสิกขา ใช่หรือไม่ครับ”

ชายผู้กลายเป็นพระพิการ สีหน้าเศร้าโศก

“ต้องสึกเลยหรือขอรับ เพราะเหตุไรขอรับ”

เสียงห้าวต่ำที่ถาม สำเนียงไทยชัดเจน สุภาพเรียบร้อย เป็นของชายจีนคนงานอีกคนของโอสถศาลา ที่ทำหน้าที่ป้อนอาหารพระที่ป่วยอยู่

“คนพิการ…อยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้ดอกโยม”

พระแขนขาดหันมาบอก น้ำตาคลอ

ลำจวนและทิม ได้แค่เพียงแอบชะเง้อคอยาวกันอยู่หน้าประตู ไม่อาจเข้าไปในห้องที่คับแคบด้วยมีแต่พระภิกษุอยู่กัน

“ทำจิตทำใจให้เบิกบานดีกว่า คุณคงหายดีในไม่ช้า แล้วอย่างไร ค่อยไปปรึกษาว่ากล่าวกันภาย

หลังเถิด”

พระรูปที่หนุ่มที่สุดทำเสียงมีชีวิตชีวาให้กำลังใจ

แล้วทั้งสองรูปก็ลาไป

เมื่อท่านเดินผ่าน ลำจวน ทิมก็ถอยหลบไปจนชิดผนัง ยกมือไหว้

โรบินสันที่เดินตามหญิงทั้งสองเข้ามา ก้มหัวให้อย่างเคารพ

“พระคุณเจ้ายังไม่ตาย!”

ทิมตื่นเต้น

“นี่อย่างไร ที่เขาเรียกกันว่าพระรอด…”

ลำจวนกระซิบตอบดีใจ

หนุ่มจีนร่างสูงใหญ่ที่ดูแลพระบาดเจ็บรูปนั้น ยืนอยู่ในมุมสลัวที่แสงส่องไปไม่ถึง เขามองออกมาที่ผู้หญิงสาวสวยที่เยี่ยมหน้ามาชะโงกอยู่นอกห้องนั้นอย่างเพ่งพินิจ ไม่แน่ใจ

ลำจวนมองเข้าไป แต่แสงที่ส่องกระทบคนในมุมห้องนั้นไม่สว่างมากพอ

“ห้องนี้ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวเข้ามานะครับ ได้โปรดออกไปข้างนอกเถิดครับ

โรบินสันรีบต้อนลำจวนและทิมกลับออกไป

“ขอให้ได้เห็นกับตาว่าพระท่านยังมีชีวิตอยู่…อิฉันก็ดีใจแล้วค่ะ ใครๆ เขาก็ว่าตายแน่ๆ ไม่มีทาง

รอดได้”

ลำจวนแก้ตัวพัลวัน

“ไม่เคยมีการผ่าตัดเช่นนี้มาก่อนในสยาม ทุกคนก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา”

โรบินสันเข้าอกเข้าใจ

“พระท่านคงมีของดี สาธุ”

นางทิมไหว้ท่วมหัว

“ต้องหาทางถามมาให้จงได้ ว่าฝังตะกรุดของอาจารย์ผู้ใดไว้ที่ใด รือสวดคาถาอันใดรักษาตัว”

“ไม่ใช่ดอกทิม คุณหมอปลัดเลย์เก่งดังเทวดาต่างหากเล่า เช่นนี้ค่ารักษาคงไม่ใช่เบา ผู้ใดจะเป็น

คนจ่ายให้คุณหมอ ทางวัดรือคะ”

ลำจวนถามอย่างอ่อนหวาน

โรบินสันยิ้มกว้าง ได้โอกาสทันที

“เราไม่เก็บค่ารักษาดอกขอรับ โอสถศาลาเรารักษาให้คนทุกคน ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ เพศ วัย เชื้อ

ชาติใด เพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้า”

“พระผู้เป็นเจ้า คืออย่างไรคะ”

ลำจวนตาโตกระตือรือร้นสดใส

ทิมมองระแวง รีบดึงลำจวนห่างจากหนุ่มมิชชันนารี

“คุณหนู ระวัง…”

“อยากจะรับเรื่องราวของพระเจ้าไปลองอ่านดูไหมครับ หากไม่สนใจก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ลองอ่าน

ดูสนุกๆ เรามีใบปลิวเป็นภาษาสยาม นี่ครับ”

หนุ่มอเมริกันหยิบใบปลิวที่โต๊ะด้านหน้ามาส่งให้

ลำจวนรับไปพิจารณาอย่างตั้งใจ

“ใบปลิวรือคะ นี่เขียนว่ากระไร นี่ลายมือใคร งามนัก คัดได้เท่าๆ กันไปทั้งหมด”

“นี่ไม่ได้คัดลอกด้วยลายมือคนดอกครับ แต่ใช้เครื่องพิมพ์ ทำเอกสารได้ครั้งละมากๆ”

“เครื่องพิมพ์คืออย่างไร”

ลำจวนอยากรู้จริงจัง

“เครื่องที่อยู่ที่โรงพิมพ์ที่เมืองสิงคโปร์ ทำหนังสือพิมพ์ออกมาได้คราวละหลายๆ ฉบับ”

“โอ๊ย เอาทิ้งไปเถิดคุณหนู ขอบคุณนะคะ คุณหมอ แต่ไม่มีใครอ่านหนังสือออกดอกค่ะ”

นางทิมฉวยใบปลิวจากมือลำจวน โยนทิ้งพื้นไปอย่างเกลียดกลัว แถมยังรีบลากลำจวนไปต่อหน้า

“ต้องการจะเรียนหนังสือไหมล่ะครับ มิสซิสเอมิลี่เธอสอนภาษาอังกฤษให้กับบรรดาเด็กผู้หญิงทุกคน

แลมีครูชาวสยาม มาสอนหนังสือภาษาของพวกคุณด้วยนะขอรับ”

โรบินสันส่งเสียงตามไปอย่างไม่ยอมแพ้

เขาดูออกว่าลำจวนตื่นเต้นเพียงไร เธอขืนตัวไว้จากพี่เลี้ยง หันมา อยากสนทนากับเขาต่อ ด้วยความสนใจมากมายจนเห็นได้ชัด

แต่ทิมก็ไม่ลดราวาศอก เธอชี้หน้าโรบินสันอย่างดุร้าย

“คุณหมออย่ามาหลอกลวงเลย คุณหนูไม่ไปเข้ารีตด้วยดอก”

ทิมกระชากลำจวนหนีไปทางระเบียงที่เป็นที่นอนคนป่วย ทำเอาโรบินสันถอนใจใหญ่

ฮุนเดินออกมาจากในห้อง เขามองตามลำจวนไปด้วยความสงสัยคลางแคลงยิ่ง

 



Don`t copy text!