บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 6 : น้อยกับนวล

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

วังเจ้านายแห่งนั้นเป็นตึกใหญ่โอ่อ่า ตกแต่งรายละเอียดอย่างจีนด้วยเครื่องกระเบื้องเคลือบสี หน้าจั่ว ราวระเบียง อาคารปูนบึกบึนแน่นหนา เสาปูนแต่ละต้นเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มั่นคง แข็งแรง อย่างการก่อสร้างแบบทันสมัยที่สุดในรัชกาลนั้น

บนลานกลางแจ้งที่ปูด้วยอิฐมอญเรียงแน่นเรียบด้านหน้า กำลังมีการแสดงการร่ายรำของเด็กสาวสองคน

ผู้ชมคือท่านเจ้าของวัง เสด็จพระองค์ชายพระชนม์กลางคน กับบรรดาสตรีแวดล้อมที่เป็นหม่อมล้วนงดงาม และข้าราชบริพารที่คอยถวายงานพัด งานหมากพลู น้ำร้อนน้ำชา รับใช้แวดล้อมประจำวังนั้น

มีนางละครในวัยดรุณ แต่งเครื่องเป็นตัวพระบ้าง ตัวนางบ้าง ต่างรอแสดงกัน ล้วนอรชรแฉล้มแช่มช้อย นั่งรวมกลุ่มดูอยู่ทางด้านข้าง

วงมโหรีที่กำลังบรรเลงก็เป็นสตรีล้วน

เสียงร้องแหลมเข้มเป็นของแม่ครูร่างน้อย ที่ฝึกเด็กสาวที่กำลังร่ายรำมากับมือ นั่งพับเพียบ หลังตรงสง่า เปล่งเสียงทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์อยู่หน้าวงดนตรี บทร้องก็คือบทละครอิเหนา ตอนพรรณนาถึงอุณากรรณ เช่นที่ซ้อมกันมาตลอด

นวลและน้อย ลูกสาวนายโรงสุ่นกับนางนอบภรรยาเอก สวยงามน่าเอ็นดูในเครื่องละครตัวพระ

รำประชันกันอย่างสุดฝีมือ ตาคอยมองไปทางแม่ครูอย่างระวังตัวกลัวผิด

นายสุ่นและลำจวนลูกสาวคนสุดท้อง นั่งเอาใจช่วยกันอยู่ติดขอบพื้นที่การแสดง ทั้งสองพ่อลูกแต่งกายอย่างเข้าเฝ้าเต็มยศ ลำจวนนุ่งห่มสวยงามด้วยผ้าไหมอย่างเลิศสมเป็นลูกสาวแม่ค้าผ้าไหม สวมเครื่องประดับแพรวพราวเต็มตัว ผัดหน้านวลลออ

นายสุ่นคอยมองสังเกตสีพระพักตร์เสด็จพระองค์ชายและแววตาบรรดาหม่อม สลับกับหันไปมองนวลกับน้อยที่รำกันสวยงามเต็มความสามารถ เขาพยายามอ่านว่าเสด็จฯ กับเหล่าหม่อม พอใจฝีมือลูกสาวทั้งสองของตนหรือไม่ อย่างไร

ทว่าเสด็จฯ ทอดพระเนตรดูการแสดงนั้นอย่างเฉยเนือย แล้วกลับทรงเหลือบมาที่เด็กหญิงลำจวนบ่อยๆ

ภาพเด็กหญิงที่นั่งเคียงข้างบิดา มองดูการรำไป ผงกหน้าและเคาะมือให้จังหวะไป ราวกับตนเป็นผู้ควบคุมการรำเสียเอง ยามที่แม่ครูร้อง เธอก็อ้าปากร้องพร้อมไปด้วยแบบไร้เสียง ด้วยสีหน้าเอาใจช่วยอย่างสุดจิตสุดใจ

เสด็จฯ ทรงสนุก ขำ ต้องพระทัยกับปฏิกิริยาของคนดูน้อยๆ  ผู้นี้ ยิ่งกว่าสองนางรำพี่สาวเสียอีก

ดวงตากลมโต คิ้วเข้ม คมคายของเด็กหญิงลำจวน ฉายส่องอารมณ์ภายในที่แสนจะมีเรื่องราว มีรสชาติ มีชีวิตชีวา น่าดูชมนัก

นายสุ่นมองไป ได้เห็นสายพระเนตรเสด็จที่มีประกายพราวระยับนั้นกับตา

เขาร้อนรุ่มดุจมีไฟสุมทั้งกายใจ ด้วยสายพระเนตรนั้นมิได้ทอดไปยังการแสดง แต่จ้องมาที่ลำจวน ที่นั่งเคียงข้างเขาอยู่ตรงนี้นี่เอง จึงเห็นได้ชัดจนมิอาจปฏิเสธว่าเป็นอื่น

นายสุ่นหันกลับมามองเด็กหญิง จึงเห็นว่าลำจวนกำลังเพลินกับพี่ๆ  จริงๆ  นอกจากเคาะนิ้ว โยกตัว

ร้องพยัก ลอยหน้าลอยตาไปกับลีลาเพลง

เด็กหญิงยังกระดิกเท้าเคาะตามจังหวะฉิ่งฉับอีกด้วย

นายสุ่นต้องแตะแรงๆ  เตือนที่ขาลูกสาวแทนการตี ลำจวนหันมาทำหน้าสงสัย เขาก็ทำหน้าเคร่งดุใส่ ส่งสัญญาณให้เธอระมัดระวังตัวให้อยู่ในระเบียบเรียบร้อย อย่างที่เคยกำราบกันเสมอมา

 

ในวังเสด็จฯ พระองค์นั้น มีมุมโปรดของเด็กๆ  รวมทั้งสาวๆ  คือสวนบอนไซแบบจีนในกระถางกระเบื้องเขียนลายคราม มีอ่างปลาทองขนาดใหญ่อยู่กลาง

นวล น้อย ลำจวน สามพี่น้องกำลังนั่งเล่น ชี้ชวนดูปลาทอง หัวเราะต่อกระซิกกันตามประสา ตอนที่เสด็จฯ กับนายสุ่นและแม่ครูเดินคุยกันเบาๆ เข้ามา

“เจ้าลำจวนเล่า ไม่เห็นให้รำให้ดูบ้าง”

ทรงยังไม่เลิกสนพระทัยเพียงเด็กหญิง

นายสุ่นรีบส่ายหัว ทำเสียงเบื่อหน่ายหนักใจ

“ลำจวนไม่ชอบรำเลยพ่ะย่ะค่ะ หัดลิงให้รำละครลิง ยังง่ายกว่า”

ผู้เป็นบิดาหวังว่าข้อตำหนิจะทำให้ทรงเสื่อมความสนใจในตัวลูกสาวคนเล็ก ทว่ากลับได้ผลตรงข้าม เสด็จฯ ทรงสรวลออกมาอย่างเอ็นดูมากมาย

“หรือชอบร้องไหม”

“ร้องเล่นๆ พอได้ แต่ไม่ถึงขนาดจะเป็นนักร้องกระหม่อม”

นายสุ่นตีวงกั้น

“ดนตรีใดๆ ก็ไม่เล่นงั้นหรือ”

แม่ครูชิงแทรกขึ้นมาเรียบๆ

“ไม่เอาดีเลย กระหม่อม เป็นเด็กที่ไม่เอาเรื่องเอาราวอันใดทั้งนั้น”

“เสียแรง เป็นลูกสาวนายโรงสุ่น…”

เสียงสรวลเบา แกล้งทำให้เหมือนรับสั่งทีเล่น

“ยกให้ฉันเอามาหัดไหมเล่า ฉันจะหัดให้เก่งเทียว”

ลูกกูคนเล็กยังเด็กอยู่หนักหนา…นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจพ่อ แต่นายสุ่นกุมมือ ก้มหลัง กราบทูลสุภาพ

“ยังไม่ได้โกนจุกเลยกระหม่อม ยังติดแม่อยู่มาก”

ลำจวนเอามือลงไปกวนไล่จับปลา เกือบได้ตัวเป็นหลายครา แต่พี่น้อยเข้ามาจับมือดึงขึ้น พลางปรามดุๆ

“อย่าไปจับมันซี ลำจวน เดี๋ยวปลาท่านตาย จะว่าไร”

“ปลามันไม่ตายง่ายๆ ดอก พี่น้อย”

พี่สาวแรกรุ่นในเครื่องละครตัวพระ ดูท่าทางเจ้าระเบียบ บ่นดุน้องสาวที่เกล้าจุก เห็นหน้าผากโหนก และจมูกรั้น ที่เถียงคำไม่ตกฟาก

เสด็จฯ ทรงพินิจดูแม่น้อย ยังมีความสดใส มีความคิดอ่านเป็นของตน ท่าทางขี้บ่นน่าขันนัก ส่วนแม่นวลนั้นนั่งเหม่อลอย ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ไป มองไม่เห็นความหมายหรือความใส่ใจอันใดในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเอาเสียเลย

แม่ครูลดเสียงเบาลง กระซิบทูลจริงจัง

“แม่น้อยสิเพคะ น่าเอ็นดู๊ ว่านอนสอนง่าย อรชรอ้อนแอ้น มืออ่อนแขนอ่อน ใบหน้าก็งามอ่อนหวาน

ปากนิดจมูกหน่อย”

คำติชมนั้น ตรงพระทัยพอดี

นายสุ่นมองแม่ครูอย่างสำนึกบุญคุณ

จังหวะเหมาะที่ลำจวนเอ่ยแหย่เย้าอะไรบางอย่างกับพี่สาว ทำให้น้อยหัวเราะงอหาย น่ารักน่าเอ็นดูไปอีกแบบ

เสด็จฯ แย้มสรวลกับแม่ครู ทรงคล้อยตามทันที

 

บ่ายๆ ที่เรือนริมคลองบางกอกน้อย ทิศทางแดดเปลี่ยนมาสาดลงที่หน้าเรือน ขณะที่ลมชวยรวยพัดผ่าน ชาวคณะละครนายสุ่นจึงรีบเอาผ้าผ่อนท่อนสไบ เสื้อ ผ้านุ่งเครื่องละคร ทั้งหลาย ออกมาวางผึ่งที่ชานกว้าง

จำปา นางทิม และบ่าวหญิงที่ถนัดเย็บปัก ก็พากันนั่งเย็บ ปักชุน แก้ไขเครื่องละครกัน มีนางนอบคอยกำกับ

คนดูแลฉาก ม่าน ช่วยทำความสะอาดและซ่อมแซมกันในแสงสว่างไสวให้ทันก่อนตะวันจะหมดแสง

ที่เฉลียงต่ำลงไปด้านข้างตัวเรือน พวกทาสที่มีหน้าที่ทำสวน ทยอยช่วยกันแบกหามเข่งทุเรียนและมังคุดที่พร้อมขายมาวางเรียงรายกัน ให้ลูกค้ามารับไปขายในวันพรุ่ง ทำให้นางนอบได้เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกมาตรวจตราคุณภาพสินค้าของนาง

ทันใด เสียงผู้หญิงร้องไห้โฮๆ ดังนำมา แล้วน้อยจึงวิ่งตึงๆ ขึ้นเรือน ผ่านทุกคนเข้าไปที่ห้องด้านใน

นางนอบตกใจ รีบทิ้งทุกสิ่ง วิ่งตามลูกสาวไป

“น้อย…ออน้อยลูกแม่…”

น้อยปิดประตูบานใหญ่โครมใส่หน้าแม่ นางนอบขวัญหาย เกรงน้อยจะผูกคอคอตาย พยายามเขย่าประตูสุดแรง

“ออน้อยๆ เปิดประตู…ลูก…”

นายสุ่นเพิ่งขึ้นเรือนตามมากับนวลและลำจวน มีบ่าวชาย 2 นายที่ตามไปเข้าวังและนางปุก ช่วยกันถือหีบเครื่องแต่งตัวละครและตะกร้าของใช้ส่วนตัวของนวลและน้อยรั้งท้าย

ลำจวนเดินไปหาแม่ตน นั่งแปะลงอย่างอ่อนแรง จำปามองมาเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

นวลที่หน้าเสียคล้ายจะร้องไห้อีกคน เดินเข้ามาทรุดลงตาม แถลงไขให้ทุกคนแจ้งใจ

“เสด็จโปรดแม่น้อย แม่น้อยต้องมาเก็บของ พรุ่งนี้บ่ายต้องเข้าไปถวายตัว และต้องไปอาศัยอยู่ในวังเสด็จตลอดไป ไม่กลับมาอีกแล้ว”

นวล ลำจวน ต่างจับมือกัน น้ำตาคลอๆ

นายสุ่นก็เข้ามาหาจำปาเช่นกัน แย้งขึ้นเบาๆ

“ไม่ดอกน่า ถ้าอยากจะมาเยี่ยมบ้านก็มาได้ หรือหากพ่อแม่คิดถึง ก็ไปเยี่ยมได้”

น้อยคงตั้งสติได้แล้ว เปิดประตูออกมา ครั้นเห็นหน้าแม่นอบ ก็เอะอะโวยวายเคล้าสะอื้นจนไม่เป็นถ้อยคำ

“แม่…ฉันไม่อยากไป ฉันกลัว ในวังมีแต่คนดุๆ  ฉันอยู่ไม่ได้ดอก ตกค่ำ พอประตูวังปิด ฉันก็คงเหมือนคนติดคุก”

นางนอบค่อยคลายใจ ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก กลายเป็นความตื่นเต้นปลาบปลื้มขึ้นมาพลัน

“ออน้อย…เจ้าไปได้ดีมีสุขแล้ว ติดคุกที่ไหนกัน หมั่นทำความดีให้เสด็จโปรดมากๆ  ตั้งใจถวายรับ

ใช้ ลูกจะได้มีวาสนาสูงๆ  ต่อไปหนาลูกหนา”

นางประคองลูกสาวคนสุดท้องของนางไปนั่งรับลม รินน้ำฝนจากคนโทดินที่ฉ่ำชื่นลงจอก ส่งให้น้อยดื่มเพื่อจะได้เย็นใจ

นายสุ่นค่อยๆ เข้าไปโอ้โลมลูกสาวอีกคน

“ออน้อย เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อแม่ก็แก่เฒ่าลงทุกวันเป็นไม้ใกล้ฝั่ง น้ำจะชะให้ตลิ่งพัง โค่นลงในสายน้ำ หลุดลอยไปเมื่อใดก็ไม่อาจคาดเดา เมื่อได้ปลูกฝังให้ลูกได้มีที่พึ่งพาถาวรแล้ว พ่อแม่ก็ตายตาหลับ”

“แล้วผู้ใดจะดูแลพ่อกับแม่” น้อยแย้ง

“ฉันเอง แม่น้อย”

นวลเข้ามาร่วมปลอบประโลม

“แม่นวลไม่คิดถึงฉันรือ เราเคยทำทุกสิ่งด้วยกัน กินนอนด้วยกัน บัดนี้ต้องมาพลัดพราก แม่นวล

กลับขับไสไล่ส่งให้ฉันไปรือ”

น้อยตัดพ้อ กระทืบเท้าแผลงฤทธิ์

“ไม่จริ๊ง!”

นวลกรีดเสียง แล้วสองพี่น้องก็ผวาเข้ากอดกัน ร้องไห้ราวจะตายจาก

 

เย็นนั้นแดดร่มลมตกแล้ว หลวงพี่บุญลือแห่งวัดทอง บางกอกน้อย กลับต้องมายืนหูชาด้วยเสียงบ่นฉอดๆ  ของแม่ลำจวนน้องสาว

“ฉันไม่อยากอยู่บ้าน ฉันอยากมาอยู่กับหลวงพี่ที่วัด ฉันไม่อยากเกิดเป็นผู้หญิง ผู้หญิงต้องถูกพ่อแม่จับไปยกให้เป็นเมียคนรวย เมียคนมีบุญญาวาสนา ฉันอยากเป็นผู้ชาย ฉันจะบวชเณร ฉันจะเรียนให้ได้เป็นสมภารไปเลย”

เด็กหญิงนั่งที่ตีนบันไดกุฏิ ทำท่าเหนื่อยหน่าย ดูแก่แดดแก่ลมเป็นที่สุด

“เอ็งก็ช่วยแม่ทำงานทำการให้เก่งๆ  เวลาแม่ไปค้าไปขาย ก็ติดตามไปเรียนไปรู้ อีกหน่อยก็จะได้เก่งๆ เหมือนแม่เรา ถึงร้องรำทำเพลงไม่เก่ง แต่ทำมาหากินเก่ง ก็หาผัวดีๆ  ได้เหมือนกัน”

หลวงพี่แนะทางสว่างให้

“แปลว่า สุดท้าย ต้องหาผัวดีๆ ให้ได้นั่นแล”

เด็กหญิงประท้วง ทำเอาหลวงพี่ได้แต่หัวเราะ

“ถ้าทำมาหากินเก่ง แล้วไม่ต้องหาผัวไม่ได้รือ”

เธองอแง ทำให้หลวงพี่ยิ่งขำ

“หลวงพี่หัวเราะอันใด มีสิ่งไรน่าขัน”

พอดี น้าๆ นักดนตรีจากวงที่เล่นให้คณะละครนายสุ่น เดินขนเครื่องดนตรีมาจากท่าเรือด้านสังฆาวาส ที่ใช้กันในหมู่คนในวัด เพื่อขนข้าวของต่างๆ ไม่ไปใช้ศาลาท่าใหญ่ ผ่านมาด้านข้างกุฎิเรือนแถว เพื่อจะลัดเลาะไปยังเมรุที่สร้างขึ้นใกล้ป่าช้า เห็นเด็กหญิงเข้าก็หยุดทักทาย

“อ้าว แม่ลำจวน มากวนอันใดหลวงพี่”

“อ้าว พวกน้านั่นแหล มาทำอันใดกัน”

ลำจวนลุกยืน เท้าสะเอวในลักษณะเจ้าถิ่น

“ประเดี๋ยวจะมีเผาศพมารดาของคนจากบ้านบุ มีแสดงขับเสภา เขามาหาไปเล่นหน่อย”

พวกน้าๆ บอก พากันรีบร้อนแบกหามเครื่องดนตรีไป

ทำให้ลำจวนตาโต ยืดคอมอง แล้วแล่นตามไปทันทีไม่รีรอ



Don`t copy text!