บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 33 : ก้าวไปไม่กลับหลัง

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ท่านสมภารวัดและช่างปูนคนสนิท ช่วยกันเปิดหน้าต่างและประตูพระอุโบสถออกไปทุกบาน แสงสว่างส่องเข้ามาเต็มโบสถ์ใหม่เอี่ยม ผนังขาวโล่ง

ครูทองอยู่ และคงแป๊ะ กับบรรดาลูกศิษย์ยืนกันเต็ม มองประเมินดูรอบๆอย่างพิจารณา

“ โบสถ์เก่าบูรณะแล้วบูรณะอีกจากโบสถ์เดิมแต่ครั้งกรุงเก่าจนกอบกู้ไม่ไหวแล้ว ท่านเจ้าคุณถึงให้ทุบเสีย แล้วสร้างใหม่เสียโอ่อ่าสมบารมีท่าน ”

ครูทองอยู่กล่าวเรียบๆ อย่างยอมรับ แต่ติดวี่แววอาลัยอดีตอยู่บางๆ

“ งานช่างแผ่นดินนี้หนักแน่น บึกบึน ไม่ชดช้อย อรชร อ้อนแอ้น อย่างงานจากครั้งกรุงเก่าอีกแล้ว

“ อรชรอ้อนแอ้น มันไม่มีน้ำอดน้ำทน บ้านเมืองดี มีฐานะเป็นปึกแผ่นทั้งที ก็ต้องสร้างถาวรวัตถุให้อยู่คงทนไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ”

คงแป๊ะขัดคอตามความเคยชิน ทำให้พวกศิษย์ของท่านแอบสบตากันอย่างขำๆ

ท่านสมภารรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ ท่านเจ้าคุณนครบาลท่านตั้งใจถวายเป็นพระราชกุศลใหญ่  ท่านจึงทำอย่างพระราชนิยมให้ทุกอย่างถาวรแข็งแรง นายไกรช่างปูนตั้งใจฉาบปูนสำหรับเขียนภาพอย่างเต็มฝีมือ ”

ช่างปูนรีบโอ่

“ ไม่ได้ดอกขอรับ แม้เป็นเพียงช่างปูน ก็อยากฝากฝีมือ ให้ร่ำลือไปชั่วลูกหลานเช่นกัน ”

ทุกคนรั้งรอ เดินดูกันไปรอบๆคนละหลายรอบ แต่แล้ว ครูทองอยู่กลับเป็นผู้ไม่อดทน

“ ท่านเจ้าคุณอินทรายังไม่มาอีกรือ ออกจะสายเกินเวลาไปมากแล้ว ”

ท่านสมภารจึงเพิ่งเฉลยออกมา

“ ท่านเจ้าคุณให้คนมาบอกแล้ว..ว่าวันนี้ติดงานศพเป็นการกระทันหันเสียแล้ว ขอให้อาตมาเจรจากับคุณโยมทั้งสองเอง”

คงแป๊ะอดห่วงเจ้าภาพไม่ได้

“ อ้าว.. ญาติท่านเสียรือ? ”

“ มิได้ งานศพแม่ลำจวนลูกสาวคนเล็กนายสุ่นนายโรงละครที่โดดน้ำตาย เขาพบศพแล้วเมื่อเช้า ..เห็นว่าจะรีบปลงศพให้เสร็จในวันนี้ ท่านเจ้าคุณท่านต้องไปเป็นธุระให้ลุล่วงทั้งหมด ”

ฮุนที่กำลังเหม่อมองดูองค์พระประธานโบราณครั้งกรุงเก่าที่ถูกคลุมผ้ามิดชิด มีเพียงพระพักตร์ที่สีทองโผล่มา สะดุ้งเฮือกเหมือนถูกดาบเสียบแทงกลางหัวใจเมื่อได้ยิน  หันมองหน้ากับครูพุด  แววตาแตกตื่น

เหล่าศิษย์คงแป๊ะ หันมองหน้าฮุนเป็นตาเดียว

“ อ้อๆ..เข้าใจล่ะ ”

คงแป๊ะเข้าไปโอบฮุน พาเดินไกลออกมาจากคนอื่น

“ เจ้าฮุน ..เป็นอย่างไร..ทำใจดีๆไว้หนา ”

“ กระผมไม่เป็นอะไรดอกขอรับครู.. ”

ฮุนค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง ภาพเด็กหนุ่มที่หน้าเหมือนลำจวนชัดแจ่มเต็มตา จนอยากจะเชื่อว่าใช่ลำจวน ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าปลอมแปลงตนไปหลบภัยอยู่กับผู้ใดที่ไหนหรือไม่

แต่ข่าวใหม่ที่ได้รับนี้  กลับทำให้ชวนสับสนยิ่ง

 

ในแสงขมุกขมัวของยามค่ำ เปลวไฟ บนกองฟอนที่ลุกโชนบนเชิงตะกอนซึ่งก่อขึ้นในป่าช้าวัดทอง มีสัปเหร่อถือแท่งเหล็กสำหรับเขี่ยไฟ ยืนควบคุมอยู่

พระบุญลือยืนห่างออกมา หน้าตาดูเหมือนปลงอนิจจังได้แล้ว

นางจำปายืนมองเปลวไฟที่ท่วมร่างในห่อผ้าขาวที่ค่อยๆยุบหดลงกลางถ่านฟืนแดง ดวงตาเลื่อนลอยแห้งผาก ต่างจากทิม ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ ไหนว่าจะให้ทิมตามไปรับใช้ ไหนว่าจะไม่ตาย  ฮือๆๆ แล้วทำไมเป็นเช่นนี้ คุณหนู..คุณหนูตายจริงๆทำไม คุณหนู..ฮือๆๆ คุณหนูผิดสัญญาๆ ”

จำปาได้ยิน ตงิดใจ มองหน้าทิมเขม็ง

ทิมเงยมา เห็นจำปามองมา รีบหลบตาต่ำ กดอาการสะอึกสะอื้นให้เบาลง

นายสุ่นตาแดงก่ำ ยืนโงนเงน มีนพ เนตรคอยประกบระวัง

คุณนายนอบ แม่นวล หม่อมน้อย ร้องไห้กันเสียงโหยหวนชวนขนลุก

ชาวคณะละครนายสุ่น ยืนเศร้าสลดรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม

แสงไฟจับหน้าท่านเจ้าคุณอินทรา ที่ระทมทุกข์ จนบัดนี้ ยังพิศวงไม่วาย ว่ามีจริงหรือ สตรีที่เลือกความตาย แทนที่จะยอมเป็นเมียท่าน ขณะที่นางทัด ที่อยู่ด้านหลัง ซับน้ำตา ทำเสียงกระซิกๆ

หมื่นโชค หมื่นรวย หมื่นเดช และบรรดาคนของนครบาลอื่นๆ ถือตะเกียงสว่าง ยืนคุมห่างๆ รายรอบ

ในเงามืด ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไกลออกมา ฮุนซ่อนตัวอยู่ดุจดวงวิญญาณในป่าช้า ตาจ้องที่กองฟอน ที่ไฟลุกโพลงแรงขึ้นๆเรื่อยๆ เพราะมีสัปเหร่อคอยเขี่ยพลิกไฟให้เผาไหม้อย่างสมบูรณ์แบบ

จนแล้วจนรอด ฮุนยังข้องใจนัก  ว่านั่นคือร่างลำจวนจริงๆหรือ

 

เวลาผ่านไป กองไฟค่อยๆมอดโทรมลง สัปเหร่อเขี่ยสิ่งที่เหลือ ให้รวมกันเป็นกองย่อมๆ

พระบุญลือเข้าไปดูใกล้ จนแน่ใจ ว่าศพเผาไหม้หมด เหลือเพียงเถ้ากระดูก

เวลานี้ แม่จำปานั่งกอดเข่าบนพื้นดิน ดวงตาเธอเคว้งคว้างเลื่อนลอย ไม่มีความรู้สึกนึกคิดอันใดหลงเหลืออีกต่อไป  ขณะที่นางทิม ยังไม่อาจหยุดสายธารน้ำตาลงได้

ชาวคณะละครจับกลุ่มพูดจากระซิบกระซาบกัน พลางทยอยเดินกลับออกไปทางสวนด้านหลังวัด

นายสุ่น คุณนายนอบ หม่อมน้อย เนตร นพ  กำลังส่งเจ้าคุณนครบาลกับแม่นวลและนางทัด  ลงเรือที่ท่าน้ำหน้าวัด

นายสุ่นดูซึมเซามึนงง เหมือนคนเมามาย จมอยู่ใต้ภวังค์อันมืดมน

แม่นวลเข้ามาไหว้ บีบมือ จับแขนพ่อเขย่าปลุกเบาๆ

“ พ่อจ๋า ฉันกลับก่อนนะ แล้วจะพาหลานมาเล่นด้วยนะจ๊ะ ”

“ นายโรงสุ่น..โปรดอย่าได้เห็นฉันเป็นคนอื่นไกล ถึงไม่มีแม่ลำจวนแล้ว ฉันก็ยังเป็นเขยของนายโรงสุ่นอยู่วันยังค่ำ แม่นวลก็ยังเป็นเมีย เป็นแม่ของลูกฉัน ฉันจักสนับสนุนอุ้มชูคณะละครของนายสุ่น ให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูกว่าคณะอื่นๆ ส่งเสริมพ่อนพให้เจริญๆต่อไป ในหน้าที่ราชการ ไม่ทอดทิ้ง..”

เจ้าคุณอินทราเปี่ยมไปด้วยสำนึกบาป ว่าตนคือผู้รับผิดชอบเรื่องวิปโยคของครอบครัวนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ เป็นพระคุณขอรับ ”

นายสุ่นพึมพำเหมือนกำลังเพ้อ

 

ฮุนเฝ้ารอจนผู้คนไปกันหมด เหลือเพียงสัปเหร่อที่ดับไฟแล้ว รวบรวมชิ้นส่วนกระดูกแล้วทิ้งให้เย็นลง เขาต้องการจะเข้าไปเขี่ยดูเถ้ากระดูกนั้นให้เห็นกับตา

หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย กับคนนครบาล  ยืนจับกลุ่ม เคี้ยวหมาก สูบยา คุยกัน

ฮุนขยับใกล้เข้าไปเพื่อฟังความ

“ เอ็งไปตามบ่อน ตามโรงโป  ข้าจะไปดูพวกรับซื้อเครื่องเพชรเครื่องทอง ”

เสียงหมื่นโชคแจกงานแว่วๆมา

ทำให้ฮุนอดไม่ได้ ต้องย่องเข้าไปฟัง

“ ต้องสืบตามบ้านผู้ดีมีเงินด้วยไหม ว่ามีใครเอาของมาจำนองจำนำ ”

หมื่นเดชหารือ

“ มันเป็นเจ๊กจีน..จะรู้จักเอาของไปขายบ้านผู้ดีที่ไหน ”

หมื่นรวยแย้ง

“ ก็ไม่แน่ พวกนี้มันมีช่องทาง แลพวกผู้ดี ที่มีอาชีพออกดอกออกผล ก็มักจากใช้บ่าวไพร่เป็นนายหน้านั่นแล ”

โชคออกความเห็น

คำเจ๊กจีนนั้น  ทำให้ฮุนตาลุกโพลง

“ แน่ใจรือ ว่าจีนผู้นั้นเป็นคนเอาไป ”

คนทำหน้าที่ชัณสูตรศพไม่ปักใจ

โชคจึงอธิบายอย่างคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางดี

“ แม่ลำจวนอาจจะนัดแนะกับมันแลทำเป็นโดดน้ำตาย แต่แอบไปกับมันอย่างไรเล่า พ่อเนตรเขาสงสัยหนักหนา เป็นไปได้ว่ามันเห็นเพชรเห็นทอง..ของสวยๆงามๆแล้วอยากได้ เลยฆ่าชิงทรัพย์เสียเลย เพราะไหนๆผู้คนก็นึกว่าแม่ลำจวนจมน้ำตายไปแล้ว ”

“ ไอ้คนพวกนี้มันเหลือเดน ชีวิตหามีราคามูลค่าใดไม่ มันทำทุกอย่างได้ทั้งนั้นแล ”

ฮุนยังยืนนิ่ง  ความเจ็บแค้นชิงชังอาบไปทั่วกายใจ

 

ดึกดื่นค่อนคืน แต่นายโรงสุ่นยังเดินวนเวียนไปมาบนเรือนท่ามกลางความมืดมิดของคืนแรม

ทุกแผ่นกระดาน ทุกต้นเสา ล้วนมีร่องรอยของลำจวนน้อย ที่วิ่งเล่นซุกซนอยู่ทุกซอกมุม

ตรงเสาต้นนั้น พ่อเหน็บไม้เรียวไว้ตีลูก เพราะดื้อ แสร้งรำให้ผิดๆพลาดๆ ทำท่าแข็งทื่อดุจหุ่นไล่กา

ตรงโน้น ลูกเคยเลี้ยงลูกแมวแม่ทิ้งทั้งครอก ด้วยน้ำข้าว แล้วคลุกคลีตีโมงเล่นกับพวกมันจนตัวหลับกองปะปนไป ไม่รู้ไหนลูกคนลูกแมว

นายสุ่น เอาผ้าซับน้ำหมาก เช็ดน้ำตาที่ไหลริน ขณะเดินไปรับลมที่ชานเรือน

ฉันไม่ได้แก่แดดแก่ลม  ฉันอยากบอกบทเป็นเช่นคุณพ่อท่านบ้าง

บอกบท!  ผู้หญิงที่ไหนเป็นคนบอกบท

 ทำไมผู้หญิงจักบอกบทมิได้  คนหากอ่านหนังสือได้ ก็ต้องบอกได้ทั้งนั้น

โอ้ ลูกพ่อ

ในบรรดาลูกทุกคน ไม่มีใครเลย ที่เคยมานั่งพิงไหล่พ่อ ยามซ้อมละครกัน ตั้งแต่ยังต้องป้อนข้าว ยังพูดไม่ชัด ไม่มีลูกคนไหน ที่จะมาเกาะข้างเวทีกับพ่อ ป่ายปีนตามร่างกายลุงๆอาๆ ที่กำลังซ้อมบทกัน พลางว่าตามเสียงแจ๋วๆ

น้ำตามากมาย ไหลปะทุเหมือนไม่มีวันหมด ยิ่งเช็ด ก็ยิ่งไหลหลั่งออกมาใหม่

นายสุ่นระทมทุกข์อย่างไม่เคยเป็น หมดเรี่ยวแรง นั่งลงพิงเสา ร้องไห้ออกมาฮือๆดังเหมือนเด็กๆ

ที่หน้าห้องนอน นางนอบโผล่หน้ามาแอบมอง เช็ดน้ำตาตนเอง ที่ไหลเพราะเวทนาผัว

หม่อมน้อยกอดแขนแม่ สงสัยเหลือเกิน

“ พ่อไม่เคยเป็นเช่นนี้เลยหนา เมื่อครั้งคุณปู่ คุณย่าเสีย พ่อก็ยังนิ่งๆ ไม่ฟูมฟายอันใด ”

“พ่อแม่ตาย กับลูกตาย มันต่างกันนัก น้อยเอ๋ย นี่ลูกสาวสุดท้องของเขาด้วย เขาคงยังเห็นแม่ลำจวนเป็นเด็กเล็กๆอยู่ร่ำไปแล ”

“แม่อยากให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนอีกไหม ฉันจะได้ไปกราบทูลเสด็จท่าน..ขออยู่กับพ่อแม่ต่ออีกสักพัก ”

“ อย่าเลย  เจ้าก็ต้องหมั่นฟ้อนหมั่นรำ ถวายปรนนิบัติเสด็จท่าน อย่าทิ้งให้คนอื่นได้หน้าได้ตามากกว่าเรา ยิ่งเป็นคนเก่า ไม่ใหม่อีกต่อไปแล้ว ก็ยิ่งต้องทำความดีความชอบไว้ให้สม่ำเสมอ ”

หม่อมน้อยถอนใจเบาบาง

“ท่านอาจไม่ทรงสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าฉันหายไป คนรำใหม่ๆ ก็เด็กๆสาวๆสวยๆทั้งนั้น บางที..ฉันยังคิด ว่านางลำจวนมันทำถูกแล้ว ที่ยอมตายพ้นชะตากรรมไป อยู่ในวัง คนเยอะ เรื่องแยะ ยิ่งถ้าตกเสียแล้ว บางที ตายเสียยังดีกว่า ”

คุณนายนอบหันมามองหน้าลูกสาวคนเล็ก ที่ผอมซูบซีด หน้าตาไร้สุขอย่างสิ้นเชิง

ใจของแม่แห้งผากห่อเหี่ยวลงไปอีก ได้แต่ลูบผมน้อยเบาๆ พูดอะไรไม่ออก

 

ดึกแล้ว แต่แสงตะเกียงสว่างจ้า ในแพคุณพุ่ม เพราะเด็กหนุ่มตัวเล็กบาง หน้าตาเคร่งเครียดจริงจัง กำลังนั่งคัดปั้นลายมืออย่างสุดความสามารถ

เด็กหนุ่มผู้นั้น คัดลายมือจากต้นฉบับสมุดไทยลงในกระดานชนวน ด้วยลายมือตัวโตพอควร บรรจง เหมือนลายมือเด็ก แต่มีความสวย เส้นตรงก็ตรง เส้นโค้งก็โค้ง หัวกลมชัด

ต้นแบบที่เจ้าหนุ่มเฉก กำลังคัดลายมือนั้น คือหนังสือ เสือโคก.กา ซึ่งเป็นแบบเรียนภาษาไทยที่นายมีมหาดเล็ก สมีมี หรือนายมีบ้านบุ ได้แต่งขึ้นถวายพระเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้สอนพระราชโอรสองค์เล็กๆ

ก่อนนี้นายมีก็ได้เรียบเรียงพระสุบินก.กา ซึ่งเป็นแบบเรียนสำหรับกุลบุตรไทยตั้งแต่สมัยอยุธยามาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นเรียบเรียงเพื่อถวายรัชกาลที่สอง สำหรับพระราชโอรสเช่นกัน ซึ่งกลายเป็นตำราภาษาไทยใช้เรียนกันในหมู่สามเณรที่บวชเรียนกันทั่วไป

บ้างร้องแปร๋นแปร่นแปร้น

บ้างแหงนแง้นแง่นไม้บง

บ้างชูงวงง่วงงง

บ้างลงงาง่าแทงกัน

 ลางช้างบ้างตามพัง

เดินล้าหลังกำลังมัน

คว้าไขว่ไล่พัลวัน

ดื้อดึงดันดั้นดงตาม

เมื่อเขียนผิด เจ้าหนุ่มเฉกก็รีบเอานิ้วแตะลิ้น เอาน้ำลายมาถูลบคำผิด แล้วเขียนใหม่  คุณพุ่ม ผู้จริงจัง เข้มงวด มองไป ส่ายหัวระอาไป เพราะมันผิดพลาดบ่อยมาก  นางเต็ม ที่นั่งปัดยุงให้คุณพุ่มด้วยแส้หางม้า พลอยหน้าเครียดเขม็ง ด้วยเอาใจช่วยไปตลอดเวลา   ส่วนเจ้าหนุ่มเฉก หรือลำจวนในคราบชาย กัดฟัน มุ่งมั่น ฮึบ ฮึด บึกบึน หาได้ยอมแพ้ง่ายๆ

ยามสาย แดดแรงกล้า หน้าแพคุณพุ่ม เรือพายผ่านไปมาพลุกพล่าน หากเรือลำได้กรายไปใกล้ จะได้ยินเสียง..เหมือนเด็ก กำลังหัดอ่านหนังสือตะกุกตะกักเต็มที

ทั้ง ฝูง จาม จุ รี   เดินระ…ระ..หรี่

เสียงคุณพุ่มเข้มดุ

“ ระรี่..”

ในแสงสว่างที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างเพิงด้านข้าง  เจ้าเฉกน้อย นั่งหน้าแทบชิดติดสมุดไทยตรงหน้า

เดินระรี่..เล..เล..? ”

พ่อหนุ่มหน้าใสจนต่อรูปสระผสมซับซ้อน

“ เลี่ยง ”

คุณพุ่มบอก

เลี่ยง..”

ลำจวนเฉกรีบพูดตาม

คุณพุ่มยิ้มเย็น

“ เอาใหม่! ”

ลำจวนเฉก กลับไปทวนแต่แรก

ทั้งฝูงจามจุรี    เดินระรี่เลี่ยงหะ.. นี  หะนาม  เอ๊ย ไม่ใช่ๆ  หนี..หนาม..”

นางเต็มหัวเราะก๊าก

“ หะ นี หะ นาม..ฮ่ะๆๆๆ  หนีหนาม  อ่านยังไง เป็นหะ นี หะนาม ”

คุณพุ่มมองค้อน

“ หัวเราะเยาะเย้ยเขา แล้วเราอ่านออกรือ  เต็ม? ”

นางเต็มคอหด หน้าจ๋อยไป

ลำจวนอ่านต่ออย่างมุ่งมั่น

ทั้งฝูงจามจุรี เดินระรี่ เลี่ยงหนีหนาม    สง – วน   นวลขนงาม..”

คุณพุ่มสะดุ้ง ร้องลั่น

“ อะไร้? สง – วน  คือสิ่งไร? ”

ลำจวนตาโต รีบแก้ตัว

“ เอ๊ย..สงวนขอรับ  สงวนๆๆๆๆ ”

คุณพุ่มหัวเราะคิกๆ

ลำจวนอ่านต่อ ส่งเสียงดังขึ้นอีก เพื่อให้เหนือกว่าเสียหัวเราะนั้น

สงวน-นวล-ขน-งาม  ไม่สาม-ผะ ลาม  ให้หะ- นาม  พาน

คราวนี้คุณพุ่มเอาไม้เรียวเคาะพื้นถี่ยิบ

“  ผะ ลาม  หะ  นาม  อะไรกัน เจ้าเฉก  เดี๋ยวจะโดนหวด  ก็เคยอ่านไปแล้วนี่นา  หนาม หนาม ”

“ จริงด้วยขอรับ    ..สงวนนวลขนงาม ไม่สามผลาม ให้หนามพาน

หญิงสาวในคราบเด็กหนุ่มถอนใจเฮือก

“ อ่านทั้งหมดอีกที! ”

คุณพุ่มเสียงดุแล้ว คราวนี้

ทั้งฝูงจามจุรี   เดินระรี่เลี่ยงหนีหนาม สงวนนวลขนงาม  ไม่สามผลามให้หนามพาน

ลำจวนอ่านรวดเดียวทั้งบท แล้วก็เกิดความสงสัย

“ สามผลาม  คืออันใด? ”

“ ผลีผลามอย่างไรเล่า ไม่สามผลาม ก็คือไม่ซุ่มซ่ามผลีผลาม..คือเจ้าตัวจามจุรี หรือจามรี มันเป็นสัตว์ทำนองควายป่า แต่มีขนยาวปุยทั้งร่าง ฝูงจามรีเดินหนีจากต้นไม้ที่มีหนาม เพราะมันหวงขนที่สวยงามของมัน ไม่เดินเซอะเซ่อ ให้หนามพานขน เดี๋ยวขนจะติด จะขาดอย่างไรเล่า ”

คุณพุ่มอธิบาย

ดวงตาลำจวน มอง   ‘ ครู ’  ลุกวาว ด้วยประกายแห่งความสนุก

หญิงสาวมีความสุขเหลือจะพรรณนากับชีวิตใหม่ ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้นี้

 

ฮุนช่วยกับพี่ๆ ยกหีบ เข่ง กล่อง ใส่อุปกรณ์วาดรูปหลายสิ่ง มาจัดวางเตรียมรวบรวมไว้ ที่แคร่ไม้ใต้ถุน เพื่อจะได้ขนไปวัด

เด็กหนุ่มศิษย์รุ่นหลังสองคนกำลังช่วยกันขูดก้นหม้อ รวบรวมเขม่าดำกันอย่างขมีขมันอยู่ที่ใต้ถุน ทำให้ฮุนหันไปมอง แล้วถึงกับนิ่งงันไป

ภาพวันที่เขานั่งบดเขม่าทำสีดำ ที่มีคุณหนูลำจวนตัวน้อยยืนดู แจ่มชัดเสมอ ในความคำนึง

 สีลำ สีลำ

 ยังพูดไม่ชัดอีก สีดำ ไม่ใช่สีลำ ไหนพูดซิ

 สี..ลำ

 สีดำ!  ดำ  ดำ  ดำ

 ลำ!!

 ฮุนจำได้ดี ว่าพี่ๆทุกคนหัวเราะขำกันดังมาก

มีอันใดน่าขันรือขา คนพูดไม่ชัด เพราะเขาไม่มีใครสอน ควรจะช่วยกันสอนเขา ไม่ใช่มาหัวเราะเยาะเย้ย

 เสียงแจ๋วๆนั้น ดุแหว ทำให้พวกผู้ใหญ่พากันสะดุ้งละอาย แต่ก็ไม่วายเอ็นดูความแก่แดด

          มันพูดไม่ได้ดอก แม่หนู มันเป็นเจ๊กเปียยาว จักพูดชัดได้อย่างไร

ครูพุดแกล้งยั่วแหย่

ต้องได้สิคะ

 เด็กหญิงปักหลัก นั่งลงหน้าฮุน เพื่อจ้องตาจริงจัง

 เจ้าต้องหัดพูดให้ชัดเจนเช่นชาวสยามที่มีความรู้ เจ้าจึงจะมีสง่า น่านับถือ ผู้คนจะได้ไม่หัวเราะเยาะอีก เจ้าต้องมีความอุตสาหะ มานะ พากเพียร จึงจะทำการต่างๆสำเร็จ  พระท่านว่า วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ  แปลว่า บุคคลจักล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร จำไว้!

 ความมุ่งมั่น  และความเชื่อบางอย่าง ก่อเกิดขึ้นท่วมใจ

เด็กหนุ่ม2คนนั้น ยังตำเขม่ากันต่อ เมื่อครูพุดมาตบบ่าฮุน

“ ให้ไอ้เด็กพวกนั้นมันช่วยข้าขนไปวัดเจ้าคุณอินทราก็ได้ เอ็งไปช่วยทางวัดโพธิ์เขาดีไหม หากครูถาม ข้าจะบอกว่า ไอ้หนวดขอให้เอ็งไปวาดหน้าภาพให้หน่อย

“ ผมไปเองดีกว่าครู ”

ฮุนหันมายืนยัน

“ พวกนั้นอาจจะคอยดักหาเรื่องเอ็งอยู่ ”

“ ถ้าผมหนี ก็หมายว่า..ผมผิดจริง ”

ดวงตาเรียวเฉียงปลาบประกาย

“ พวกนครบาล..เคยมาถามหาเอ็งเรื่องฝิ่นทั้งๆที่เอ็งไม่เคยแตะ ดังนั้น มันก็อาจบอกว่าเอ็งต้องสงสัยชิงทรัพย์แม่ลำจวนได้ แม้จะไม่มีหลักฐานพยานอันใด ”

ครูพุดห่วง

ฮุนทำหน้าท้าทาย

“ ก็เอาสิครับ ”

ฮุนนึกๆ แล้วกลับมองหน้าครูพุดจริงจัง

“ ครูครับ..ครูรู้จักแพที่พักของคุณพุ่มหรือไม่ ”

ครูพุดสะดุ้ง

“ เจ้าฮุน เจ้าคิดอันใด? ”

“ ผมอยากไป..ดูหน้า..เจ้าหนุ่มผู้นั้น ให้เห็นกับตาอีกครั้ง ”

ครูพุดมองหน้าศิษย์รัก เวทนาเกินจะด่าทออะไรออกมา

 

เจ้าคุณนครบาล ยืนสง่าหน้าโบสถ์ใหม่เอี่ยมขาวลออ ของวัดโบราณบูรณะใหม่ที่ใครๆก็พากันเรียกว่าวัดเจ้าคุณอินทรา

“ กระผมปรารถนาให้วัดนี้ ได้เป็นที่กล่าวขวัญว่า กระผมได้ซ่อม สร้าง ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัวอย่างสุดจิตสุดใจ  ต้องการให้วัดกระผมงามสง่า วิจิตรบรรจงไม่แพ้วัดของผู้ใด ตระกูลใด กระผมจึงต้องขอฝากผนังพระอุโบสถไว้ ในฝีมือของทุกท่าน ผู้ต่างก็เป็นเอกอุในทางช่างเขียนด้วย ”

ท่านกล่าว..สร้างความฮึกเหิมให้คณะทำงาน ราวกับตอนกล่าวปลุกใจเจ้าหน้าที่ในปกครองให้มีความห้าวหาญ ก่อนยกพลกันออกไปปราบคนร้าย

ครูทองอยู่ คงแป๊ะ และครูช่างอื่นๆ ต่างยืนฟังกันอย่างตั้งใจ  โดยมีพวกศิษย์บางคนอยู่เป็นรอบนอกอีกที

ด้านหลังเจ้าคุณ สามหมื่น..โชค เดช รวย ตามถือข้าวของ และอารักขาแวดล้อมท่านอยู่อย่างเข้มแข็ง

ครูพุด และฮุน ตามมาถึงทีหลัง เห็นท้ายแถวกลุ่มคนที่ประชุมกันพร้อมเพรียงกำลังเดินตามเจ้าคุณเข้าไปในโบสถ์กันแล้ว หันมาสบตากัน รู้ตัวว่ามาถึงสายกว่าเขา จึงรีบสาวเท้าตามเข้าไป

ภายในโบสถ์ พวกนครบาลที่แวดล้อมท่านเจ้าคุณ หันมาเห็นเข้าก็สะกิดกัน พากันจับจ้องมองฮุน

อย่างเป็นที่สังเกต

หมื่นโชคถึงกับปรี่เข้าไปกระซิบท่านเจ้าคุณอย่างอดรนทนไม่ไหว

เจ้าคุณหันมาเห็นฮุน ท่านผงะไป เพราะรู้สึกผิดคาดไม่น้อย

ฮุนเห็นสายตาที่มองมาทุกทิศทาง ก็มองตอบสู้ทุกสายตา ด้วยท่าทางเป็นปกติ ไม่มีอาการชงัก หรือพิรุธ

เจ้าคุณอินทราจ้องมองฮุนเต็มตา ก้าวออกมาจากกลุ่ม ตรงมาหาเขาทันที พร้อมกับหัวหมื่นทั้งสามที่แปรขบวนดุจสยายปีก รอบๆตัวเจ้าคุณ ราวฝูงเหยี่ยวร้ายกางกรงเล็บโจมตีเหยื่อ

คิดไม่ถึง ว่าฮุนหาได้ระย่อยำเกรงแต่อย่างใด  กลับเดินตรงสวนเข้ามาหา

ครูพุดเห็นท่าไม่ดี  รีบตามประกบศิษย์รัก  พร้อมๆกับคงแป๊ะ ที่เร่งฝีเท้าตัดวงผู้คนปรี่มากั้นกลางตรงหน้าเจ้าคุณพอดี

“ อ้าว พุด เจ้าฮุน  มากันแล้วรือ มานี่ๆ  มากราบผู้หลักผู้ใหญ่ทางนี้  กราบท่านเจ้าคุณเสีย ”

สายตาครูที่มองกำกับมา ทำให้ครูพุด กับเจ้าฮุน  ค่อยๆทรุดนั่งลงกับพื้น พนมมือเสมอ-อกไหว้เจ้าคุณ ก้มศรีษะลงอย่างพองาม

หมื่นโชค เดช และรวย แอบสะกิดกันให้หยุดไว้ก่อน

“ ท่านเจ้าคุณนครบาล ท่านเมตตาต่อข้ามาก ในคราวที่เราต้องร่วมชะตากรรมกันในวันนั้นอย่างไรเล่า ท่านเป็นอุปัฏฐากที่นี่  รับใช้ท่านให้ดี  ต่อไปเอ็งมีคดีมีความอันใด จักได้ไปอาศัยพึ่งพิงท่านได้ ”

คงแป๊ะทำทีแนะนำสั่งสอน

เจ้าคุณมองฮุน เพ่งพินิจ

ฮุนก้มหน้าลงต่ำ สำรวมอาการสงบนิ่ง

พวกหัวหมื่นทั้งสามจ้องเขาเขม็ง แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีหลุกหลิกเลิ่กลั่กอันใดปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย    เช่นเดียวกับคงแป๊ะ ที่ยังคงหัวเราะร่วน ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อิโหน่อิเหน่

“ นี่ก็คุณหลวงวิจิตรเจษฎา หรือครูทองอยู่ที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แล้วนี่ครูน้อม  ครูเกิด  แลครูชุ่ม ไหว้เสีย ล้วนเป็นยอดช่างเขียนที่พวกเองต้องกราบเป็นปรมาจารย์ทั้งนั้น

ท่านแนะนำแต่ละคน ให้ฮุนและครูพุดไหว้รอบตัวไปตามลำดับ

“ อยากฝากเนื้อฝากตัวเรียนวิชาของท่านทั้งหลายเหล่านี้ หรือจักทำตัวเป็นศิษย์..ที่พอครูพัก..ก็ย่องเข้าไปลักจำเอาเอง  ก็จะเป็นโอกาสกันในคราวนี้แล ”

คงแป๊ะทำทีถือโอกาสบอกชี้แนะศิษย์มือซ้ายมือขวา  ทำให้ครูช่างเขียนทั้งหลายหัวเราะกันออกมาเบาๆ

ท่านเจ้าคุณอินทรมองฮุนไม่ละสายตา  สีหน้าสงบ เยือกเย็น

“ ลูกศิษย์จีนของคุณหลวงเสนีย์คนนี้ ดูแตกต่างไม่เหมือนผู้ใด เห็นว่าเป็นศิษย์โปรดอยู่ข้างกายเสมอ ”

ฮุนก้มศีรษะนิ่ง

“ ลูกศิษย์ของกระผม แต่ละคน ไม่มีผู้ใดซ้ำใครดอกขอรับ ล้วนแปลกๆทั้งสิ้น ”

ท่านบอกติดตลก

“ แต่กระผมสะดุดตาคนนี้นัก ”

ท่านเจ้าคุณหาขบขันไปด้วยไม่ ทำให้ฮุนตวัดสายตาเหลือบมองครู ทำนองหารือ

“ กราบท่านสิ เจ้าฮุน ท่านเมตตายิ่งนัก ที่สนใจเอ็ง.. ”

คงแป๊ะย้ำอีกครั้ง ฮุนจึงก้มศีรษะลงต่ำอีกครา

“ ชื่อฮุน? ”

“ ขอรับ ”

“ พูดชัดดี อยู่บางกอกมานานเท่าใดแล้ว? ”

ท่านเจ้าคุณสนทนาด้วยลักษณะทีเล่นทีจริง น้ำเสียงสนุก ทำให้ครูทองอยู่และครูอื่นๆ มองไปเป็นเช่นผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก

“ กระผมเกิดในเรือ..ขอรับ อยู่บางกอกมา..ตั้งแต่ยังเป็นทารก ”

“ แล้วอาเตี่ย อาม้าเล่า ”

“ เสียชีวิตแล้วขอรับ ”

เจ้าคุณทำหน้าเวทนา

“ เช่นนั้นรือ..โถๆ..เป็นกำพร้าหรือนี่..แล้วผูกปี้ถูกต้องหรือไม่ ”

ฮุนยกแขนขึ้นมาให้ดู

“ ขอรับ ”

เจ้าคุณยิ้มเยื้อนอ่อนโยนกับคงแป๊ะ

“ คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์ควบคุมศิษย์ให้ทำตามกฎหมายบ้านเมืองตรงไปตรงมาอยู่แล้ว กระผมเชื่อ”

คงแป๊ะก็หัวเราะหัวใคร่เบาๆตอบ

“ ศิษย์ผม..ไม่มีใครดูดฝิ่น ลักวิ่งชิงปล้น รือเป็นชู้เมียชาวบ้านดอกนะขอรับ ”

ทุกคนหัวเราะเพราะเห็นเป็นเรื่องหยอกเย้าเอาฮา แต่คนที่ไม่ฮา คือครูทองอยู่ ผู้มีอาการรำคาญ ที่พากันพูดคุยไร้สาระกันเนิ่นนานมากมายอันใดหนักหนา

“ รีบแจกจ่ายลำดับงานกันให้ลุล่วงเถิดขอรับ กระผมจะได้ทราบกำหนดแน่นอนของการเข้าทำงานของกระผม เพราะช่วงเวลานี้ พวกเราทั้งหลายนี้ ต่างก็มีหลายวัด ที่มาว่าการงานซ้ำๆซ้อนๆกัน ”

ครูทองอยู่หันไปทางช่างที่ถนัดทำงานเขียนเพดานดาว สวรรค์ วิมานทั้งหลาย

“ ครูน้อม  คงจักต้องเริ่มงานก่อนผู้อื่น กะเวลาว่าจะเข้ามาทำได้เมื่อใดขอรับ ”

ท่านครูๆทั้งหลาย เข้ามาหารือเรื่องลำดับเข้าทำงานกับครูทองอยู่กัน ส่วนครูคงแป๊ะบอกอย่าง

สบายๆเพียงว่า

“คุณหลวงเข้าเมื่อใด กระผมก็จะเข้ามาพร้อม..เหมือนเคยแล ”

ทำให้ครูทองอยู่หันมาตอบโต้บ้าง

“ ก็เอาซี้..คุณหลวงจะมาเมื่อใดเล่า? ”

การสนทนาจึงเบนไปทางด้านแผนการทำงาน ทำให้ท่านเจ้าคุณก็ต้องเข้าไปร่วมออกความเห็นร่วมด้วย และละจากเรื่องราวของฮุนไปโดยปริยาย

 



Don`t copy text!