บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 28 : รอด..หรือไม่รอด

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

 

ในโรงปั้นหม้อ ชายมอญเก่าที่น่าจะเกิดในสมัยแผ่นดินต้นแผ่นดินกลางนี่เอง แต่สืบเชื้อสายมาแต่สมัยธนบุรี และรักษาธรรมเนียมดั้งเดิมของชาติพันธุ์  นุ่งเพียงโสร่งท่อนล่าง กำลังปั้นหม้อด้วยเครื่องหมุนมือซึ่งหมุนเองด้วยมือตน  รอบๆมีหม้อดินใหม่ๆยังไม่เผา วางเรียง  มีหญิงมอญซึ่งท่าจะเป็นภรรยา เกล้าผม นุ่งซิ่น พันผ้าแถบ เก็บผักที่จะใช้ทำกับข้าว เดินผ่านมา ก็แวะมายืนคุยกัน

ลำจวนหมอบต่ำ โผล่หน้ามองสังเกตการณ์อยู่หลังกอขิงข่า

ด้านหลังโรงเรือนปั้นหมอนี้  มีราวตากผ้า มีผ้านุ่ง ผ้าแถบ เสื้อชาวบ้านใส่ทำสวนเก่าๆซีดๆ มอซอ ที่ซักสะอาดแล้ว แขวนพาดเรียงราย กำลังหมาดๆ

ถัดไปคือเรือนไม้กระดาน หลังคาหน้าจั่วแหลมสูง ใต้ถุนสูง กว้างขวาง

ลำจวนหมายตาเสื้อผ้าบนราวตากผ้านั้น

เมื่อหญิงมอญพูดคุยจบเรื่อง กลับเดินมาทางลำจวน ชักมีดพกออกมาจากชายพก กวาดตามอง

หญิงสาวตาเหลือก รีบทิ้งตัวลงแนบพื้นดิน หมอบนิ่ง หลังกอพืชผักสมุนไพร

หญิงมอญไม่ได้สังเกตสังกาอะไรเลย ที่แท้ เธอมาตัดตะไคร้เพิ่มเติมอีกสองสามต้น แล้วเดินไปยังใต้ถุนเรือน ที่มีกองหมาก เธอกลับโยนผักหญ้าที่ตัดมา วางพักทิ้งไว้ ยังไม่ไปเข้าครัว  แต่นั่งลงเฉาะหมากในพวงที่เหลือวางกองอยู่ เอาไว้ทำหมากแห้ง ใส่กระด้ง เพื่อตากต่อไป

ลำจวนเหลียวมองด้านหน้า เห็นฝ่ายชาย ที่ตั้งใจปั้นหม้อ มองด้านหลัง เห็นฝ่ายหญิง ก้มหน้าก้มตา เฉาะหมากง่วน

ลำจวนวิ่งจู๊ดมาโผล่ที่ราวตากผ้า  ดึงชิ้นใหญ่ๆมาสองสามชิ้น รวบไว้กับอก

“ โฮ่งๆๆ ”

เสียงเห่าดังลั่นระเบิดขึ้นที่ข้างหูนี่เอง

ลำจวนตกใจ จนล้มลงก้นกระแทก นังหมาแม่ลูกอ่อนนมยานถึงพื้น กำลังเห่าลำจวนอย่างเอาเป็นเอาตาย พอหญิงสาวหันไป มันก็ถอยพลาง เห่าพลาง อย่างโกรธเกรี้ยว

หญิงมอญที่เฉาะหมาก หันมามอง มือยังติดพันทำงาน ไม่ลุกมาดู

“ เห่าอันใด นางขาว ”

เธอถามด้วยสำเนียงมอญ

ลำจวนไม่รออะไรอีก ลุกขึ้นมาได้ ก็วิ่งหนีสุดชีวิต หอบผ้าที่ขโมยมาแน่น มีนางหมาร้ายไล่ตามเห่ามาติดๆ

ลำจวนวิ่งเข้าไปในสวนลึก  ไม่หันกลับไปรับรู้ดูฟังอะไรทั้งนั้น  โดดข้ามท้องร่อง มุดเลื้อยลอดรั้วต้นไม้

เธอวิ่งสุดฝีเท้าไปข้างหน้า  ลอดใต้ถุนบ้านโน้น เหยียบแปลงสวนนี้  ลุยน้ำข้ามคู  ท่องน้ำ ย่ำไประหว่างป่าหญ้าชายคลอง กลัวจนร้องไห้ เมื่อน้ำตาไหล เธอก็ใช้หลังมือป้ายน้ำตา

ตกบ่าย ในห้องหนังสือ เจ้าคุณอินทรายืนนิ่งริมหน้าต่างด้านข้างเรือน มองเหม่อไปไกล ในหมู่ไม้ที่ยืนสงบนิ่ง ทิ้งใบห้อยหดหู่ ดวงตาของท่านเลื่อนลอยเซื่องซึม

เมื่อพิธีการที่เตรียมไว้ต้องงดทั้งหมด ท่านก็เข้ามาเก็บตัวลำพังในห้องนี้ ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนสักคนเดียว

นพเดินนำเนตร  ก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวังกิริยา

เจ้าคุณรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว จึงหันไปดู

เนตร นพรีบคุกเข่าลง พนมมือไหว้

เจ้าคุณมองหน้าทั้งสองอย่างมีความหวัง ผสมกับความหวั่นกลัว

“ พบ..ลำจวนหรือยัง? ”

“ ยังขอรับ ”

นพเสียงแห้งโหย

ทว่าเนตรมองมาเยือกเย็น เชื่อมั่น

“ แต่กระผม..สงสัย อยากให้ท่านสั่งคนไปค้นหา..ที่แห่งหนึ่งบัดเดียวนี้ ”

ไหล่หลังที่อ่อนล้าของเจ้าคุณ พลันขึงตึงขึ้น ดวงตาคู่นั้นลุกโพลงขึ้นมาอีก

 

บ่ายนั้น เวลาต่างกันเพียงชั่วยาม ที่เรือนคงแป๊ะ เรือนใหญ่ไม้กระดาน หลังคาหญ้าคา กลางพื้นที่สวนกว้างขวาง ริมคลองบางบำหรุ

หลังกินกลางวันเสร็จ คงแป๊ะเตรียมพู่กันขนาดต่างๆเรียงไว้ในหีบประจำตัว ข้างๆ มีสมุดไทยที่เป็นต้นแบบการวาดภาพต่างๆ วางเรียงซ้อนๆอยู่

เตย สตรีสาวใหญ่หน่วยก้านแข็งแรง ลักษณะคล่องแคล่วว่องไว ใบหน้าคมเค็ม บึ้งตึงเย็นชา กำลังเตรียมเครื่องเคราสำหรับกินหมาก ยาเส้น ใบมวนยา  ยาลม  ยาดม  ยาหอมใส่ลงในล่วมหมาก

เตยสั่งเสียเสียงห้วน

“ อาแปะ พวกยาดม ยาหอม อยู่ในช่องข้างๆนะจ๊ะ ถ้าท้องอืด ไม่ย่อย แน่นๆ จุกๆ แปะก็ใช้ยาหอมละลายน้ำร้อนดื่มนะจ๊ะ ”

“ เออๆ ”

คงแป๊ะรับคำในลำคอ

ท่านกับคณะศิษย์สองสามคน ต่างหอบข้าวของ หีบ ห่อสัมภาระเครื่องใช้ เดินลงจากหน้าเรือน จะไปยังท่าเรือ

ตรงศาลาสำหรับนั่งเล่นที่ปากทางหน้าบ้าน มีชายสามคน ดักอยู่

คงแป๊ะ ครูพุด หันมาสบตากัน เพราะจำทั้งสามได้ดี

เมื่อเห็นหน้าคงแป๊ะ หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย ก็พากันยกมือไหว้

“ คุณหลวงภักดีบริรักษ์ ”

หมื่นรวยทำหน้าเคร่ง

“ อ้าว  วันก่อน เพิ่งอยู่ด้วยกันที่เรือนเจ้าคุณนครบาล มีอันใด จะมาตามฉันกลับไปที่นั่นอีกรือ ”

หมื่นเดชไม่อ้อมค้อม

“ คนจีนผมเปียผูกปี้ที่อยู่กับครู ไปไหนเสียเล่าขอรับ? ”

“ เขาไม่ได้พักที่นี่  ถ้าไม่เรียกใช้ เขาไปทำอย่างอื่น มีเรื่องอันใดรือ ? ”

คงแป๊ะหน้าซื่อ

มือปราบทั้งสามมองหน้ากัน  แต่ไม่อาจเปิดเผยเงื่อนปมที่แท้จริงได้ เพราะถูกสั่งไม่ให้แพร่งพรายเรื่องลำจวน

หมื่นโชคใช้น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน

“ มิได้ขอรับ เพียงแต่..อยากจะให้คุณหลวงกรุณาสอดส่องดูแลพวกคนจีนที่มารับจ้างทำงาน ว่าผู้ใดลักลอบสูบฝิ่น หรือแอบพกพามาซื้อขายกัน หรือนำมาเสนอให้ผู้อื่นหรือไม่ ”

หมื่นเดชช่วยขยาย

“ หากจีนพวกนั้น ผู้ใดมีฝิ่นอยู่ในตัว จะเป็นโทษเป็นภัยหนักหนา เกรงว่าพวกมันจะนำมาซุกซ่อนในเรือนคุณหลวง ”

แม่เตยเดินออกมาเห็นพวกคนนครบาล สงสัยนัก เมียงมองสักพักก็รีบขยับบังเสา เข้ามาแอบฟังจนได้ยินความ

“ นี่..คุณหลวงกำลังจะไปที่ใดกันรือขอรับ? ”

หมื่นรวย คือคนที่ทำกิริยากร่างที่สุด

“ ไปวัดแจ้ง ไปเขียนภาพ ”

หมื่นโชคขยับขวางทาง

“ หากพวกกระผมจะรบกวน ขอตรวจตราดูข้าวของพวกนี้..จะขัดข้องรือไม่ขอรับ? ”

สามศิษย์คงแปะ มองหน้ากันไปมา คนหนวดเคราครึ้ม และคนสักขาลาย มีท่าทีพร้อมท้าทาย จนผู้เป็นครูต้องออกปากปรามอ่อนๆ

“ เปิดให้เขาดูเสียหน่อย ไม่เสียเวลานักหนาดอก ”

แต่ละคน วางหีบ ปลดย่าม แก้ห่อต่างๆออกให้ดู

หมื่นโชคเปิด รื้อ หยิบสิ่งของต่างๆขึ้นตรวจตรา ถึงขั้นเอามาสูดดม

หมื่นเดชเน้นค้นเฉพาะตะกร้าหมาก เครื่องเคราที่กินกับหมาก และล่วมยา

หมื่นรวยมองปราดๆ ไม่ใส่ใจสิ่งใด

“ ไม่มีสิ่งใดที่ต้องสงสัย ไปกันเถอะ ”

เมื่อสามมือปราบแห่งนครบาล ลงเรือจากไป เตยจึงขยับออกมา บ้านน้ำหมากปริ๊ดลงท้องร่อง

“ อาฮุน..ไปทำอันใดให้พวกนี้ผิดใจ ไม่น่าเป็นเรื่องฝิ่นจริงๆดอกจ้ะ อาแปะ ”

หน้าตาเธอกลัดกลุ้มร้อนใจยิ่ง

แดดร่ม ลมตก อากงกิมเส่งที่เสร็จงานผ้าใบเรือแล้ว เดินรอบๆเรือสำเภาขนาดใหญ่มหึมาลำล่า ที่พวกคนงานหนุ่มเพิ่งขึ้นงาน หลังจากเสร็จจากประกอบโครงกระดูกงู ตรึงกับขอบเรือที่สูงท่วมหัวหู มองหาด้วยความแปลกใจ ว่าคนงานหนุ่มหายไปไหนหมด แต่เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากด้านหน้าริมน้ำ ทำให้แกรีบเดินออกไป

หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย ที่สะพายดาบขึงขัง กำลังตรวจค้นตัวพวกคนงานหนุ่มทั้งหลาย รื้อค้น ข้าวของส่วนตัว เสาะหาอะไรบางอย่างวุ่นวาย

กงถอยร่าง หลบเข้าด้านหลัง  มาชนคนงานนึง ที่แอบดูอยู่หลังกองไม้

กงหันมาด้วยความตกใจ คนงานจีนหนุ่มเอานิ้วแตะปากตัวเอง ทำอาการว่าอย่าเอะอะไป จากนั้นก็ดึงแขนกง พาเดินเข้าไปในโกดังเก็บของ และกระซิบด้วยภาษาฮกเกี้ยน

“ พวกมันมาถามหาอาฮุน พอบอกว่าไม่อยู่  ไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว  มันก็บอกว่า..ขอค้นฝิ่น ว่ามีผู้ใดสูบฝิ่นหรือไม่? ”

คนงานหนุ่มนั้นเครียดเคร่ง

“ เหตุใดถึงเป็นแบบนี้ล่ะ กง หรือาฮุนมันไปเกี่ยวข้องอันใดกับพวกค้าฝิ่นรือ..? ”

กงส่ายหน้า ไม่ตอบ หากในใจคิดครุ่น

…ดีแล้ว ที่ฮุนมันหายหัวไปเสีย ดวงมันมีบาปเคราะห์แท้..

 

ยังไม่ทันเย็น หมื่นโชค  หมื่นเดช  หมื่นรวย ก็มาตั้งวงเมามายกับเนตร และนพที่ชานเรือนบ้านนายสุ่นแล้ว

“ เขาบอกว่ามันไปทำงานหัวเมือง ตั้งแต่วันที่ปล่อยตัวคุณหลวงเสนีย์บริรักษ์นั่นแล ”

หมื่นโชคเล่าความที่ได้มาจากคนอู่สำเภาข้างวัดกัลยาฯ

“ แบบนี้หากจะสงสัย ก็สงสัยได้ ”

นพฟึดฟัด

“ มันไปที่ไหนรือ? ”

เนตรดวงตาวาววับ

“  เขาบอกว่าไปสร้างเรือรบ..กับ..คนของท่านเจ้าคุณพระคลัง ”

หมื่นเดชบอก

“ ที่ไหนเล่า? ”

เนตรยังไม่ยอมปล่อย

หมื่นรวยยักไหล่ ทำหน้าปลงอนิจจัง

“ ผมว่าอย่าไปแตะดีกว่า ก๊กท่านคุ้มครองพวกจีนแขกฝรั่งทั้งละแวกกะดีจีน ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด ”

เนตรหน้าตึง กล่าวอย่างเชื่อมั่น

“ ผมว่า พวกมันอาจจะหายไปด้วยกันก็ได้ ทำไมอ้ายเจ๊กฮุน ต้องไปจากครูมันในเวลานี้พอดี? ”

ทันใด เสียงแหลมปรี๊ดของสตรีหนึ่ง ก็ดังแผดมาจนวงเหล้าสะเทือน

“อ้ายฮุนจะไปไหนก็ช่างหัวมัน ไม่เกี่ยวกับคุณหนู! ”

นางทิมกระทืบเท้า ตะโกนแหวแปร๋แปร๋น สะอึกสะอื้นร่ำไห้ หวีดร้อง

บุรุษผู้ยิ่งยงทุกคน แทบผวา

“คุณหนูไม่มีทางไปนัดแนะ รือลักลอบแอบพบปะกับมันได้ อิฉันเอง ที่เฝ้าคุณหนูอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่อิฉัน ก็คุณจำปา รือไม่ก็พวกคุณ คุณหนูอยู่ในสายตาทุกคนตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ”

นางทิมเท้าสะเอว ยืนจังก้า ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

“ มันอาจจะเขียนหนังสือถึงกัน ฝากบ่าวสักคนไปเป็นแม่สื่อแม่ชัก ”

เนตรยังยืนยัน

“ ใคร? แลอย่างไร?  คุณหนูเขียนหนังสือไม่ได้ จะวานให้ใครเขียนก็คงไม่มี แล้วจะหาบ่าวที่ไหน ที่คุณหนูไว้วางใจให้ทำเช่นนั้นนอกจากอิฉัน ”

หากนางทิมแปลงร่างเป็นยักษ์มารได้ ก็คงแปลงไปแล้ว

นางจำปาเดินซับน้ำตาเข้ามา

“ คุณเนตรอย่าเอาความเคืองแค้นแต่ครั้งพระเจ้าเหามาให้ร้ายน้อง น้องโดดน้ำตาย เพราะพวกคุณนั่นแล ที่บังคับหัวใจ ”

เนตร นพเห็นน้ำตาแม่เลี้ยง ก็สงบปากลงได้

นายสุ่นเดินลงมาจากห้อง เพราะเสียงลั่นบ้านของนางทิม หน้าตาทุกข์ร้อน

“ มีอันใด ยังไม่เจอลำจวนใช่ไหม? ”

แม่จำปาเสียงเข้ม ตายังมองเป๋งที่หน้าเนตร

“ ไม่เจอค่ะ ”

นพส่ายหน้า เมื่อเห็นพ่อดูเศร้าโศก

“ แต่ลำจวนว่ายน้ำเก่งมาก ยากที่จะตายเพราะจมน้ำ ”

จำปาหันมา ช้ำใจ

“ แต่อิฉันเห็นคนว่ายน้ำเป็นปลาจมน้ำตายถมไป น้ำตรงปากคลองบางกอกน้อยไหลออกปะทะแม่น้ำแรงเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะแต่เดิม คือแม่น้ำเอง ตรงแม่น้ำแต่ก่อนคือคลองลัดแท้ๆ เขาจมหายไปโผล่กันไกลถึงปากน้ำก็ยังมี พวกคุณไม่ต้องมาหาข้อปลอบใจเลี่ยงบาปกันดอก โยนผิดให้ชาวบ้าน จะได้ไม่ต้องตกนรกรือ ลำจวนคิดสั้น เพราะถูกบังคับให้แต่งงาน ใครๆก็รู้อยู่แก่ใจ โธ่..ลำจวน ลำจวน.. ”

แม่จำปาคร่ำครวญโหยหวน

ตะวันรอน แสงเหลืองลออ ส่องลอดใบตองรำไร นกกับกระรอกทำศึกชิงกล้วยน้ำว้าสุกคาเครือ เสียงเกี๊ยวก๊าวกรี๊ดกร๊าดระเบ็งเซ็งแซ่  ใบหน้ามอมคล้ำไหม้โผล่พรวดมาหลังดงใบตอง ทำให้นก กระรอกตกใจหนีเตลิดเปิดเปิงไป

ลำจวนเลือกปลิดกล้วยที่ยังปลอดภัยมากอดไว้เต็มอก หญิงสาวเปลี่ยนมานุ่งห่มเสื้อผ้าที่ขโมยมาเรียบร้อยแล้ว มีห่อของท่าทางดูมีน้ำหนักสะพายอยู่บนไหล่

ลำจวนกลับมานั่งกินกล้วยอยู่ที่เพิงร้างริมคลอง ตามองแน่วแน่จ้องดูน้ำริมตลิ่งที่ใสนิ่ง นานๆทีจึงมีปลาบางตัวโผล่โผงฮุบแหยื่อ

เวลามีเสียงพายเรือผ่าน หญิงสาวก็ถอยไปแอบหลบมุม

เธอเคี้ยวกล้วยไป คิดลำดับแผนการไป หาได้รู้รสใดๆไม่ กินเพื่อประทังชีวิตอย่างแท้จริง

ที่จริงเพิงนั้นคือเพิงเฝ้าสวน  มีอุปกรณ์ทำสวน จอบ เสียม มีดผุแหว่ง กระบุงตะกร้า กระจาดเก่า มะพร้าวแก่กองๆสุมๆ

เมื่อกินอิ่มแล้ว ลำจวนก็เอนตัวลง หัวหนุนลูกมะพร้าว ตาลอยคว้างเคว้ง

ตะวันคล้อยต่ำเต็มที แสงแทบไม่มีแล้ว ฮุนกับสามสหาย  ไห่ แชและซาน กับเพื่อนจีนอีกจำนวนหนึ่ง ขัดพื้นเรือด้วยแปรงลวดโลหะแข็งๆ

“ ขัดทั้งวัน ขัดเท่าใด ก็ไม่พอ ”

เหลี่ยงแช ดาวไสวบ่นพึม

“ นั่นซี แต่เช้าจรดเย็น  ทำอยู่สิ่งเดียวนี่แล ”

ตงไห่ ทะเลตะวันออกทำเสียงท้อ

“ เมื่อใดจะได้ลงน้ำมันยางสีดำๆนั้นเสียที? ”

ต้าซาน ภูเขาใหญ่ ไหล่ลู่

“ ก่อนจะลงน้ำมันยาง จักต้องขัดล้างไม้ด้วยน้ำเปล่านี่แล ให้สะอาด จับไปแล้วต้องเรียบ ลื่น ไม่มีอันใดมาสะดุดมือ แลผึ่งให้ไม้แห้งให้สนิทก่อน ทิ้งไว้วันรือสองวัน หากยังไม่แห้งแท้ อย่าได้ลงน้ำมันยางโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น น้ำมันยางจะเกาะไม่ติด เพ-ลาลงชันอีกชั้นนึง ชันจะลอกล่อนออก ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด ”

ฮุนอธิบาย ขัดต่อไปสม่ำเสมอด้วยเรี่ยวแรงแข็งขัน ประณีต ละเอียดลออ

พวกเพื่อนๆเปลี่ยนอิริยาบถ สะบัดแขน บิดไหล่กันไปมา  อีกหลายคน ได้ยินฮุนพูด ก็ตั้งใจทำตามไปอย่างเชื่อถือศรัทธา ก่อนจะหมดเวลางาน เมื่อมืดสนิท

คนงานชาวลาว ตัดผมเกรียน ปีนขึ้นเรือมา กวาดตามองหมู่ชาวจีนผมเปียทั้งหลาย พูดภาษาลาวแท้ๆสำเนียงเวียงจัน

“อาฮุน?  คนจีนคนไหนชื่ออาฮุน ที่เพิ่งมาวันวาน?”

พวกจีนทุกคนหันไป

ฮุนลุกยืน

“ ใครชื่ออาฮุน  มาจากบางกอกใหญ่  มีสหายมาหา มีเรื่องใหญ่ ”

เขาบอก แล้วปีนกลับลงไป ทำให้ฮุนร้อนใจ รีบปีนตาม

พี่หนวดเคราและพี่สักขานั่นเอง ที่มานั่งรออยู่ริมท่าน้ำ

“ใครเป็นอะไร  ครูคงแป๊ะรือ..หรือว่า..ครูพุด ”

ฮุนใจไม่ดี

พี่ๆดูหนักใจที่จะบอก

“ พี่  มีอันใด? ผู้ใดเป็นอะไร? ”

“ คุณหนูลำจวน..ที่พบกันที่วัดทอง..”

พี่หนวดเริ่ม

พลันฮุนหน้าถอดสี คอแห้งผาก ใจสั่น

“ คุณหนูลำจวน..เป็นอะไร? ”

“ คุณหนูลำจวน..โดดน้ำตาย หนีการวิวาห์กับเจ้าคุณนครบาล ..จมน้ำที่ปากคลองบางกอกน้อยแต่เช้า จนป่านนี้ ก็ยังไม่โผล่เลย เจ้าคุณเขาให้คนหาไปทั่ว ”

พี่สักบอกเสียงห้วน แบบพยายามปรับให้นุ่มนวลที่สุดแล้ว

ในที่สุด กลางคืนก็มาถึง

ลำจวนผล็อยหลับทับตะวันไปตั้งแต่ตอนเย็น เมื่อมีเสียงยุงตอมหูวี้ๆ  หญิงสาวก็ตบเผียะเข้าเต็มหน้าตัวเองด้วยกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น  ทำให้ทั้งเจ็บ ทั้งตกใจ จนสะดุ้ง ลุกพรวดพราดขึ้นมา นั่งงงงัน เมาน้ำตา มึนชาไปหมด

ที่จริง ยุงกำลังรุมกัดเธอทั้งตัว ตอมหู หัว กบาลวนเวียนไม่ว่างเว้น

ลำจวนลุกขึ้น ตบยุงเป็นจักรผันไปรอบๆ ตัวระเบิดความโกรธแค้นที่ล้นจนทะลัก

แล้วเธอก็กลับสงบลง นั่งนิ่งขึง

ดวงตาแวววาวในความมืดมิด

 

พระบรมมหาราชวัง สว่างเรืองรองจนแสงสาดขึ้นไปจับฟ้า งามสุดพรรณนาในยามเข้าไต้เข้าไฟ  มองจากฝั่งนี้ ถัดไปทางทิศเหนือแม่น้ำคือท่าพระ ท่าเดียวกับที่เรียกว่าท่าช้างก็ได้ ถัดออกไป มีชุมชนบ้านขุนนางข้าราชการใกล้ชิด ที่จะเดินมาทำงานที่วังหลวงสะดวก แพคุณพุ่ม อยู่ตรงนั้น

ลำจวนผูกพันกระสันรัดโจงสีเข้มหยักรั้งกระชับแน่น เสื้อชาวสวนสีเข้ม มีห่อผ้าคล้องแขน อีกมือ

ถือทะลายมะพร้าวที่มีมะพร้าวแก่ขนาดเขื่องๆสองผล มองพิศมองผ่าน ก็ดูไม่ต่างจากหญิงชาวสวน ที่กำลังจะเอามะพร้าวแก่ไปให้ใครทำขนมกับข้าว

หญิงสาวยืนอยู่ใกล้ท่าน้ำชุมชนวัดระฆัง ที่ยามค่ำ บ้านผู้คนที่ไม่ห่างกัน จุดไฟ ตะเกียง สว่างไสวไปทั้งละแวก

ชาวบ้านที่ยังเดินสัญจรกันไปมาตามทางสะพานไม้กระดาน เชื่อมจากตรอกซอยต่างๆกับท่าน้ำ  ถือไต้บ้าง ตะเกียงบ้าง ไม่ขาดสาย ทุกครั้ง ที่แสงสว่างจ้าผ่านมา ลำจวนจะขยับแอบหลังเสา ในเงามืด รอให้คนและแสงสว่างผ่านไป

มีเรือแจวรับจ้างข้ามฟากจากท่าพระมาจอดเทียบ ผู้โดยสารที่มากับเรือเดินขึ้นมาจนหมด พวกที่รออยู่สามสี่คนจะข้ามไปฟากโน้น ก็พากันรีบลงเรือไป ลำจวนมองละห้อย อยากตามไปกับเขาด้วย แต่กลัวคนที่อาจกำลังตามหาเธออยู่มาเห็นเข้า จึงได้แต่แอบซุ่มมองอยู่เงียบๆ

หลังเรือแจวข้ามกลับไป  เสียงกลองบอกเวลาล่วงเข้าหลายทุ่มแล้ว ท่าน้ำจึงเงียบลง มืด..และเงียบ

ลำจวนมองดูท้องน้ำ รวบรวมกำลังใจ

น้ำแรง เชี่ยว แม่น้ำกว้างมาก

ลำจวนยืดอก สูดลงหายใจลึก ขยับแขนขา ฮึดสู้

หญิงสาวผูกห่อผ้าที่ห่อของมีค่าทั้งหมดไว้มิดชิดเรียบร้อย ผูกรัดแน่นเฉวียงด้านหน้าแนบตัว อุ้มมะพร้าวแก่สองลูกขึ้นเสมอ-อก แล้วก้าวลงบันไดท่าน้ำ ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม.. เงยมองไปที่จุดหมาย ด้วยดวงตาวาวโรจน์ มุ่งมั่น

ลำจวนย่อตัวลงในน้ำจนถึงคอ กอดมะพร้าวที่ลอยพ้นน้ำไว้หลวมๆพอสบาย แล้วเริ่มถีบตัวไป

ในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เชี่ยวกราก มืดมิด  ลำจวนค่อยๆว่ายไปๆ มีมะพร้าวเป็นทุ่นที่พึ่งไม่มีวันจม

ชุมชนท่าพระ ดูไกลแสนไกลเหลือเกิน แสงไฟจากแพคุณพุ่ม สว่างพร่างพรายในละอองน้ำ

 

แสงโคมปักบนเสาราย สว่างกระจ่างทั่วทั้งระเบียงหน้าแพ

เสียงคุณพุ่ม อ่านหนังสือเป็นทำนองเสนาะไพเราะ หวานสดใส คมคาย ทรงพลัง มีจังหวะจะโคน ดังลอดออกมาจากในแพ

มาจะกล่าวบทไป           ถึงองค์ปะตาระกาหลา

ซึ่งเป็นบรมราชอัยกา           สถิตในชั้นฟ้าสุราลัย

แค้นด้วยอิเหนานัดดา          อหังการ์ก่อเภทเหตุใหญ่

ในเรือนแพ  คุณพุ่ม สตรีงามคมคายเฉียบกริบ ปากคอคิ้วคางชัดเจนสมดุลได้สัดส่วน ห่อหุ้มกายเพียงผ้าแถบกับโจง เผยช่วงลำแขนเรียว คอบ่าไหล่ลาดระหง เนินอกอวบเนียนละมุนผ่อง ใต้แสงตะเกียงสว่าง ในอิริยาบถสบายนั่งเอนพับเพียบหลวมๆ พิงหมอนอิง บนยกพื้น อ่านสมุดไทยที่คัดบทละครอิเหนาด้วยลายมืออันงาม

กูแกล้งสรรค์บุษบาลงไป         หวังจะให้เป็นคู่ครองกัน

ไม่เลี้ยงตามวงศ์ที่จงให้            ทำตามน้ำใจหุนหัน

รักแต่ที่ต่ำพงศ์พันธุ์                 บากบั่นตัดรอนบ่ห่อนคิด

นางเต็มนั่งฟังไป พัดวีให้นายหญิงไป เคี้ยวหมากไป ตื่นเต้น ตาโต  สนุกสนาน  หน้าตาแสดงอารมณ์ร่วมไปด้วยทุกวรรค

ที่หน้าแพ ร่างสีดำเข้มมืดระทวยระทดร่างหนึ่ง โหนจากน้ำก้าวพ้นขอบแพขึ้นมาด้วยความลำบาก ปีนก้าวข้ามซี่กรงอย่างยากเย็นเพราะสิ้นแรงแล้ว ลงมายืนโซเซ โงนเงน อ่อนล้า แต่แพนั้นใหญ่และมั่นคงจนไม่มีอาการไหวเอนยวบแม้แต่น้อย

เดิมว่าไม่เลี้ยงบุษบา                แล้วกลับมาภิรมย์สมสนิท

กูมิให้สู่สมชมชิด                      จะปลดปลิดบุษบาพาไป

ร่างนั้นผินหน้าเข้ามาสู่แสงสว่าง พยายามหยัดยืนให้มั่นคง ลำจวนนั่นเอง ผิวหน้าถูกแดดเผาจนดำไหม้เป็นแห่งๆ ผมเปียกโชก-ลีบห้อยแนบหลังไล่ เนื้อตัวเปรอะดินโคลนมอมแมม โจงกระเบนรัดกุมสีดำเปียกแฉะ น้ำหยดนองพื้นใต้เท้า เสื้อเปียก เนื้อผ้ารัดตัวกับร่าง มีห่อผ้าผูกกระชับสะพายรัดแน่นเฉวียงอก

ในแพ คุณพุ่มยังก้มอ่านเพลิดเพลิน

ถึงจะพบพานกันวันหน้า           จะทรมาให้แทบเลือดตาไหล

คิดแล้วออกจากพิมานชัย              ลงไปยังพื้นพสุธา

เสียงคนล้มตึงโครมใหญ่เหมือนของหนักตกบนพื้นไม้กระดานเต็มแรง คุณพุ่มและนางเต็มสะดุ้งตัวลอย

นางเต็มกระโดดลุกพรวดรวดเร็ว หน้าตาตื่น ลดเสียงกระซิบอัตโนมัติ

“ คุณพุ่มเจ้าขา เสียงอะไรเจ้าคะ ”

คุณพุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนสุขุม ตอบด้วยเสียงกระซิบต่ำกว่า

“ ไม่ใช่องค์ปะตาระกาหราลงมาจากสวรรค์แน่ แม่เต็ม ”

การเรียกบ่าว..ว่าแม่..ตามด้วยชื่อ ของคุณพุ่มนั้น นับว่าเป็นการยกย่องข้ามชนชั้นอย่างยิ่ง เพราะคำว่า พ่อนั่น-แม่นี่ นั้น ปกติใช้เรียกกันเฉพาะญาติสนิท หรือเพื่อนฝูงลูกหลานตนเท่านั้น

นางเต็มผวา คว้าไม้เท้าที่เสียบไว้ที่กระบอกสำหรับเก็บของมีด้ามยาว เช่นร่ม ไม้เท้า ไม้เรียว พัดโบกด้ามยาว

จากกระบอกเดียวกันนั้น คุณพุ่มคว้าดาบยาวออกมา และชักออกจากฝัก

นางเต็มเปิดสลักประตูออกอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง เปิดออกแคบๆรวดเร็ว เยี่ยมหน้าออกไป ครั้นไม่เห็นอะไร ก็ผลักออกกว้าง

คุณพุ่มกระชับดาบเตรียมพร้อม ก้าวนำออกไป

นางเต็มจับไม้เท้าเหมาะมือ ย่างสามขุมตาม

ทั้งสองมองสอดส่องกันมา ในแสงจากโคมสว่างจ้า แล้วต่างหยุด ตกตะลึง

บนพื้น ข้างหมู่กระถางไม้ประดับหน้าแพ  ร่างๆหนึ่ง ไม่ได้ใหญ่โต ออกจะกะทัดรัด  แต่งกายรัดกุม เปียกชุ่มโชกแนบร่างแน่นสนิท ทำให้มองเห็นสัดส่วนของเอวที่คอดบาง มีสัดส่วนสะโพกที่ผายออกและเห็นกล้ามเนื้อบั้นท้ายกลมกลึง ปลีน่องและขาพับหลังเข่าที่พ้นชายโจงออกมาขาวผ่อง นอนคว่ำหน้า  ผมยาวเปียกห้อยไปกองรวมกันด้านหนึ่ง หมดสติอยู่

“ คนร้ายหรือเจ้าคะ? ”

นางเต็มลดเสียงลงไปอีก

แต่คราวนี้คุณพุ่มแหวดัง

“ คนร้ายอะไร ตัวสักกะนิด ”

สตรีสาววัยงาม ค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ นั่งลง วางดาบ เอานิ้วจิ้มๆที่แขนที่เรียวเล็กกว่าแขนของเธอเสียอีก

แต่เด็กนั้นก็ไม่กระดิก

“ หรือจะตายแล้วเจ้าคะ ”

นางเต็มแกล้ง

“ ไฮ้  พูดอะไร  แม่เต็มก็ ”

คุณพุ่มพยายามจับตัวหญิงนั้นพลิกขึ้นมาดูหน้า แต่ไม่สำเร็จ

“ ช่วยกันหน่อยสิ แม่เต็ม..”

นางเต็ม ออกแรงเพียงนิด  ก็พลิกร่างนั้นให้นอนหงายได้

หญิงสาวผู้สลบไสลหายใจระรวย ใบหน้านั้น แม้จะเกรียมไหม้ไปที่หน้าผาก และโหนกแก้ม แต่ก็เห็นได้ว่างามด้วยคิ้วโก่งเข้ม ขนตายาวดำเป็นแผง จมูกเล็กได้รูป ริมฝีปากอิ่มแดง แม้จะแห้งแตกระแหง มีผิวอันเนียนละเอียดผุดผ่องที่ช่วงคอและในร่มผ้า

“ เด็กผู้หญิง..ตัวเปียกชุ่มไปหมดเลย..ตกน้ำมาจากไหน มาขึ้นแพเรา ”

“ ไปเรียกพวกบ่าวบ้านเจ้าคุณพ่อคุณมาดีกว่า ”

นางเต็มขยับลุก

“ อย่า..ไม่ต้อง ”

สัญชาตญาณสตรีเจ้าบ้าน บอกว่าสมควรเก็บเรื่องราวนี้ให้เงียบที่สุด อย่าเอ็ดอึง

“ แค่เด็กผู้หญิงคนเดียวตัวนิดเดียว ฉันไม่ชอบให้คนมาเอะอะกันเต็มแพ มา แม่เต็ม ช่วยกัน ”

คุณพุ่มจับประคองช่วงบ่าหญิงสาวขึ้น

อยู่ๆ ลำจวนก็ฟื้น ลืมตาขึ้นฉันพลัน ดวงตาดำกลมโต ต้องแสงเป็นประกายแววไว

พอสติกลับคืนมา ลำจวนก็เห็นใบหน้าของคุณพุ่ม ที่ก้มลงมาใกล้ ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความอาทร

นี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝันแน่

“ ดูสิ ลืมตาแล้ว ไม่ตายแน่..เธอ..เธอ  ได้ยินฉันไหม ”

“ คุณ..คุณพุ่ม ”

ลำจวนพยุงตัวลุกขึ้นเอง

“ หา..รู้จักคุณด้วย แม่หนู..เป็นใครมาจากไหน เป็นอะไร ทำไมตกน้ำเปียกม่อล่อกม่อแลกมาเช่นนี้ ”

นางเต็มซักถี่ยิบ

ลำจวนค่อยๆเขยิบไปพิงผนังแพ พยายามทรงตัวให้อยู่ในท่าที่จะทรงตัวได้ แล้วพนมมือปลายนิ้วจรดคาง

“ คุณพุ่ม ช่วยอิฉันด้วย..อิฉันมองไม่เห็นผู้ใดอีกแล้ว นอกจากคุณ  ช่วยอิฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ ”

แล้วน้ำตาเธอก็ไหลออกมาเป็นสาย ปล่อยโฮ ฮือๆ สะอึกสะอื้นฮั่กๆ เหมือนเด็กเล็กๆ

คุณพุ่มมอง ใจอ่อนยวบ ตื้นตัน เอามือไปจับมือลำจวนที่พนมอยู่

“ ไม่ต้องร้องไห้ๆ ช่วยสิ ถ้าช่วยได้ฉันก็ต้องช่วย..”

สองมือลำจวน อยู่ในสองมือคุณพุ่ม สองสตรี สองช่วงวัย ดวงตาสองคู่มองสบตากัน ลำจวนและคุณพุ่ม   มีกระแสพลังอุ่นระอุ ที่อิ่มเอม ซ่านกระจายไปทั่วบรรยากาศ

 



Don`t copy text!