บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 4 : เด็กหนุ่มผมเปีย

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

พระสุบิน ก.กา หนังสือหัดอ่านแม่ ก.กา ที่แต่งโดยนายมี บุตรพระโหราธิบดี ตั้งแต่ครั้งแผ่นดินกลาง คัดลอกบนสมุดไทยดำ เส้นหรดาล ซึ่งหมายถึงสมุดพับไปมาพื้นดำ เขียนตัวหนังสือด้วยลายมือหมึกสีขาวอมเหลือง หน้าที่เปิดอยู่มีข้อความคือ

ปลาไลใส่กระทือ           เล่าลือชื่อแต่ไรมา

รู้ทำในตำรา               ว่าโอชาอุส่าทำ

เทโพหามีไม่               ที่ฉะไรในป่าดำ

เชาไพรไม่รู้ทำ              มีได้ร่ำในคำไป

ปลาข่าปลากระดี่         นี้พอมีเอาจี่ใส่

ปูป่าพอหาได้              เอาใส่ไปถือว่าดี

เชาป่าภาษาไท             ทำซ้ำใส่ให้ทะวี

เข้าปลาช้าจะดี             กว่าเชาที่ละว้ามา

เด็กผู้ชาย 2 คน ผมเกล้าจุกรอบๆ โกนเกลี้ยง สวมโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ ข้อเท้าทั้งสองข้างสวมกำไลทอง ที่คอสวมสร้อยทอง ห้อยพระ เห็นได้ว่าเป็นบุตรเศรษฐีมีเงินทอง นั่งอยู่ที่ชานกุฏิพระในเขตสังฆาวาส วัดทอง กำลังช่วยกันหัดอ่านออกเสียงข้อความจากสมุดนั้นตะกุกตะกัก ยานคางเพื่อรั้งรอกัน

พระหลวงตาที่นั่งคุมอยู่บนยกพื้นเปิดสมุดพลิกไปยังหน้าต่อไป เด็กทั้งสองมองหน้าเป็นเชิงเกี่ยงกัน จนหลวงตาต้องเอาไม้เรียวตีปังบนพื้นตรงหน้า เด็กทั้งสองสะดุ้ง รีบอ่านต่อพร้อมกันทันที

“ยาคูเข้ากะทิ  อุตะ…อุตะ…”

ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจอ่านต่อ

“ริ…?”

หลวงตาเกิดโทสะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ท่านเอ็ดอึงเสียงลั่น

“ริอันใดเล่า!  ไม่เห็นหรือ ข้างหน้ามีหอหีบ…หอ รอ อิ…”

ที่ใต้ถุน ลำจวนที่แอบฟังอยู่ แทรกตอบขึ้นมาอย่างมั่นใจด้วยสัญชาตญาณ ด้วยเสียงเบาพอได้ยินเองลำพัง

“หริ!”

พร้อมกันนั้น บนกุฏิ หลวงตาให้คำตอบไปพร้อมๆ กัน

“ ‘หริ’ ยังไรเล่า เมื่อไรจักจำได้เสียที หา…หอ รอ…อิ…อ่านว่า…”

“หริ…”

เด็กทั้งสองเสียงยังลังเล

“อ่านซ้ำอีกเที่ยวหนึ่ง…อ่านดังๆ ให้หลวงตาได้ยินด้วย”

หลวงตาลุกขึ้นอย่างเบื่อๆ เดินเข้าไปในห้องด้านในหาหมากกิน

เด็กชายทั้งคู่อ่านออกเสียงดังๆ อีกรอบด้วยเสียงยานคาง รอกันไป รอกันมา

“ยาคูเข้ากะทิ…อุตะหริไปได้กว่า สาคู เข้าเม่าซ่า สำปะงา…”

 

ลำจวนมองผ่านช่องว่างระหว่างไม้กระดาน เห็นหลวงพ่อเดินลับกายหายไปแล้ว เด็กหญิงจึงคืบคลานขึ้นบันไดไปนั่งลงตรงกลางระหว่างเด็กชาย

เด็กทั้งสองหันมองหน้าลำจวน ยิ้มกว้างคุ้นเคย จิ้มตัวหนังสือให้ลำจวนดูว่าอ่านกันไปถึงไหนกันแล้ว

ลำจวนดีใจ อ่านไม่ออกแม้แต่น้อย แต่คอยกระซิบตามเขาไป

“…แหล่อีไร    ขี้หนูแหล่ไข่เต่า  เข้าเม่าจี่มีใส่ไก่”

เด็กๆ ขยับที่ เผื่อแผ่ให้ลำจวนดูตัวสะกดด้วย

ลำจวนก้มลงไป คอยท่องจำตามอย่างไม่ละลด

“กะละแมแหล่ใส่ไส้ หน้าตะไลใสคือเงา”

เสียงฝีเท้าพระหลวงตา เดินกลับออกมา พร้อมกับกระแอมไอเบาๆ

ลำจวนตาเหลือก รีบเผ่น วิ่งหนีลงบันได ทว่าไม้กระดานอันขัดไว้เป็นเงามันนั้นลื่นนัก เด็กหญิงลื่นพรืด หัวทิ่ม กลิ้งเป็นขนุนลงมาบนทางเท้า

เป็นเหตุให้เท้าเปลือยๆ ใหญ่ยาวคู่หนึ่งของคนผู้ชายคนหนึ่ง ที่ก้าวรีบๆ มาด้วยน้ำหนักของข้าวของที่แบกมา หยุดแทบไม่ทัน และกระโดดถอยด้วยความตกใจ

“ไอหยา!”

“โอ๊ะ!”

เสียงอุทานภาษาจีนของผู้ชายที่ใหญ่ห้าว กับเสียงแหลมเล็กของลำจวนดังขึ้นพร้อมกัน

ลำจวนพลิกตัวลุกโดดเด้งเผ่นโผนขึ้น หน้าเกือบชนเข้ากับคนที่ก้มมาดู

สิ่งแรกที่ลำจวนเห็น คือดวงตาดำสนิทในกรอบเฉียงเรียวรีคู่หนึ่ง ใต้ปื้นคิ้วหนาเหมือนปีกกา

ที่มองลงมาอย่างห่วงกังวล

ลำจวนถอยเท้าไปหลายก้าว จึงเห็นชาวจีนผู้ชาย ไม่ถึงกับเป็นชายหนุ่ม เพราะยังเด็กกว่าพี่ชายทุกคนของเธอที่โตเต็มวัยแล้ว

วัยของเขา ถ้าเปรียบกับไก่ ก็ต้องเรียกว่ารุ่นกระทง ที่แขนขายาว มือเท้ายาวใหญ่ ตัวสูงโย่งเก้งก้าง ยังไม่สมส่วน ถ้าใช้สำนวนลำจวน ต้องเรียกว่าสูงยังกับเปรต

ผมโกนหน้าผากไปครึ่งหนึ่ง ยิ่งที่ให้คิ้วเข้มคู่นั้นเหมือนวาดด้วยพู่กันจีนตวัดหางคม มีเปียยาวเส้นโตเพราะผมหนาเส้นใหญ่ดำสนิทที่ถักไว้แน่น ตวัดพันคอตัวเองไว้ดูพิลึกพิลั่น สวมกางเกงขาก๊วยมัดเอว ไม่สวมเสื้อ เห็นช่วงบ่ากว้างเห็นปุ่มกระดูกใหญ่แข็งแรง แต่มีเนื้อน้อยจนไหปลาร้าดูลึก ท้องผอมแห้งจนเว้าเข้าไป คีบรองเท้าอีแตะทำจากหนังเก่าๆ ข้อมือข้างขวาผูกปี้สีแดง เข่งขนาดใหญ่ที่หล่นจากแบกบ่าของเขา เทเอียงกับพื้นดิน ฝักมะขามแก่เต็มล้น เทหล่นออกมาบางส่วน

ขณะนั้นเอง เสียงนางทิมก็ดังโหวกเหวกมาไม่ไกล

“หลวงพ่อเจ้าคะ เห็นคุณลำจวนรือไม่เจ้าคะ”

ลำจวนสะดุ้ง หันไปเห็นนางทิมหยุดถามกับพระรูปหนึ่งที่เผอิญเดินผ่านมา เด็กหญิงรีบพุ่งตัวปรี๊ดไปแอบหลังเสาใต้ถุนกุฏิที่ใกล้ที่สุด

อาการของเธอ ทำให้เด็กหนุ่มจีนนั้นปักหลัก มองตามดูอย่างสนุก

“ไป ไปสิไป ชู่ว…มายืนอยู่ทำไม ไป๊”

ลำจวนตวัดมือไล่

เมื่อนางทิมเดินมาถึง จึงเห็นเพียงเด็กหนุ่มจีน ก้มเก็บฝักมะขามใส่เข่งอยู่อย่างรีบเร่ง

“อาเฮียๆ เห็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ แถวนี้รือไม่”

ฮุนเงยมา ส่ายหน้าดิก

เมื่อมองไปบนกุฏิ ทิมเห็นแต่พระหลวงตากำลังสอนหนังสือ มองไปใต้ถุนก็ไม่เห็นใคร ทิมก็เลยเดินเรียกหานายน้อยของนางต่อไป

เด็กหนุ่มจีนมองตามจนทิมเลี้ยวลับไป เขาจึงหันมา ก้มลงดูใต้กุฏิ ทันเห็นหลังของเด็กหญิงที่ย่องๆมุดๆ ไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาอดหัวเราะความซนของเธอไม่ได้

 

ที่ศาลาริมน้ำ พวกเณรที่โตเป็นหนุ่มแล้ว กำลังเขียนบนแผ่นกระดานชนวนด้วยแท่งดินสอ ตามคำบอกของพระวัยชรา ที่อ่านจากสมุดไทยในมือเป็นทำนองเสนาะ เสียงเครือสั่นแจ้ว พลางเดินไปมาช้าๆ

จะกล่าวตำนาน

สุบินกุมาร อันสร้างสมมา

ร่ำเรียนเขียนธรรม                   ปรากฏนักหนา

บวชในศาสนา                      ลุถึงอรหันต์

เด็กหนุ่มผมเปียที่แบกเข่งเดินมาในทางนั้นพอดี ชะงักเมื่อเห็นเด็กหญิงคนเดิมกำลังยืนแอบดูการสอบเขียนตามคำบอกของพวกเณร ที่ต้นไม้ข้างศาลา

เขารู้สึกสงสัย แปลกใจ จึงเดินเข้าไปดู และฟังด้วย

พระชราอ่านคำประพันธ์ที่ฟังยากนั้นไป เดินชะโงกมองดูผลงานขอพวกเณรไป

สามเณรห้ารูป ก้มหน้าก้มตาเขียนกันอย่างเคร่งเครียด

๏ โปรดแม่พ้นทุกข์           

โปรดพ่อเสวยสุข             ไปยังเมืองสวรรค์

นางฟ้าแห่ห้อม                 แวดล้อมนับพัน

เครื่องทิพย์อนันต์             อเนกนานา

เณรบางรูปเขียนแล้ว ใช้นิ้วแตะน้ำลายจากลิ้นตน ถูๆ ลบคำผิดกระดานชนวน แล้วเขียนใหม่

เณรบางรูป ชะเง้อแอบมองการสะกดของเพื่อน

เณรบางรูป เขียนพลางเอามือบัง เอาแขนกั้น เอาตัวบัง กลัวเพื่อนลอก

ลำจวนถอนใจ แล้วหมุนตัวหันกลับมา เมื่อเห็นฮุนยืนอยู่ เธอก็ถามสีหน้า

“รู้จักสุบินกุมารไหม”

เด็กหนุ่มจีนยิ้ม ส่ายหน้า

“หนังสือกาพย์สุบินกุมาร ตำราสอนพระเณรมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า สุบินกุมารได้บวชเรียน พ่อแม่

ได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์”

เธอทำสุ้มเสียงเป็นเรื่องราว ตามแบบที่เคยได้ยินพระครูบอกสอนศิษย์

“ฮ่อๆ”

เขายังคงยิ้มงงๆ ดูท่าแล้วไม่น่าจะเข้าใจอะไรเลย

ลำจวนมองดูเด็กหนุ่มหัวจรดเท้า หงุดหงิดใจ ที่อย่างไรเขาก็ไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่เธอบอก

“เกิดเป็นชาย ถึงจะโง่เง่าเต่าตุ่นเพียงไร ก็ได้บวช ได้เรียน ได้เขียน ได้อ่านทั้งนั้น”

“ฮ่อ”

เด็กหนุ่มรับคำ พยักหน้าเอาใจ

“เกิดเป็นหญิง เก่งกาจฉลาดเฉลียวอย่างไร ก็หาได้บวชได้เรียนกับเขาไม่ดอก”

เธอว่าอย่างรำคาญๆ ก่อนสะบัดหน้าเดินจ้ำอ้าวจากไป ทิ้งให้เขายืนมองตามไปงงๆ แต่ก็รู้สึกชอบและสนใจในตัวเด็กหญิงยิ่งนัก

 

เมื่อลำจวนเดินตึงๆ ขึ้นบันไดกุฏิเรือนแถวที่อยู่ของหลวงพี่บุญลือ แม่จำปากับบรรดาโยมหลายคน กำลังเตรียมจัดสำรับเพลกันอยู่

“เสียงฝีเท้าราวกับเรือนจะทลายเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเป็นผู้ใดกัน”

นางทิมที่เหนื่อยกับการตามหานายน้อย เมื่อเห็นหน้าเจ้าตัว จึงค้อนพลางพูดจาค่อนแคะ

“บนกุฏิเรือนไม้พื้นกระดานเช่นนี้ สมควรจะลงส้นตึงๆ ราวกับวิ่งในลานวัดรือ ระวังจักต้องธรณีสารเข้าจนได้ แล้วหลวงพี่บุญลือของลูกเล่า”

แม่จำปาบ่น

ลำจวนส่ายหน้า

“ผู้ใหญ่พูดด้วย ควรตอบโต้ให้รู้ใจความ ไม่ใช่ส่ายหน้า พยักหน้า ราวกับเป็นบ้าใบ้”

ลำจวนถอนใจยาว ยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดจา

ขณะนั้น นางทิมเอาผ้าเช็ดหน้า มาเช็ดมือให้เด็กหญิงจนสะอาด

“ผู้ใหญ่ทำสิ่งใดให้ ต้องพูดว่าอย่างไร”

ดูเหมือนแม่ใกล้จะหมดความอดทนเต็มที ลำจวนจึงหันไปกล่าวกับนางทิม

“ขอบน้ำใจนะทิม”

แม่จำปามองขวางๆ ระอาเต็มที่ แต่มีแววตารักและเอ็นดูไม่น้อย

“ช่วยแม่จัดสำรับ แม่จักตั้งเป็นสามวง เร็วเข้า เดี๋ยวก็ไม่ทันเพลดอก”

ลำจวนรีบเข้าไปช่วยแม่ตักแกงจากหม้อใส่ถ้วย แต่ไม่วายทำน้ำแกงหกกระฉอกจากทัพพีลงไปหยดเลอะพื้นจนได้

“ลำจวน…ตั้งใจทำให้ดีๆ หน่อย เป็นลูกผู้หญิงอย่างไรจึงมือห่างตีนห่างเยี่ยงนี้ เฮ้อ แม่สุดจะคาดเดาแล้ว ว่าลูกสาวอย่างเจ้า ต่อไปภายภาคหน้า จะไปทำสิ่งใดให้ได้ดีกับเขาได้”

เสียงบ่นของแม่ ดูเหมือนจะไม่เคยมีเวลาขาดหูไปได้เลย

 

ใกล้เพลแล้ว แต่พระบุญลือยังดูแลการทำกาวเม็ดมะขามอยู่ที่ลานกว้างหน้าศาลาการเปรียญ ที่บัดนี้ ชาวบ้านชาย หญิง หนุ่มสาว กำลังรุมช่วยกันแกะมะขามที่กองพะเนินจากฝัก แล้วแยกเม็ดออกมา เนื้อมะขาม ที่กองอยู่ มีคนแก่มานั่งปั้นเป็นมะขามเปียก แยกไว้ใช้งานอื่น

มีเนตรวางตัวประดุจเจ้านายใหญ่โต คอยควบคุมพระบุญลืออีกที

เนตรก็เหมือนนายสุ่นผู้บิดา ที่ไม่จำเป็นก็ไม่อยากมาทำกิจใดในวัดทอง เนื่องจากพระบุญลือเป็น ‘ญาติ’ คนละสายเลือดของเขา ดูเหมือนจะเป็นพระหนุ่มที่มีความสำคัญมากขึ้นทุกที และดูจะมีอนาคตอันเจริญรุ่งเรืองในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ทั้งทางธรรมและทางศิลปวิทยาการ ในอาณาจักรวัดทองแห่งนี้

และพระบุญลือก็ดูออก ว่าเนตรน่าจะไม่สบายใจนัก หากพระจะโดดเด่นเป็นที่ยอมรับนับถือเหนือกว่าเขา เพื่อบรรยากาศที่ราบรื่น หลวงพี่จึงแสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นการยอมลงให้ ‘โยมพี่’ ไว้ก่อนอย่างชัดแจ้ง

ในฐานะที่เนตรคือศิษย์ของช่างเขียนเอก ที่จะมาเขียนภาพบนผนังโบสถ์

‘ครู’ ของเขา เป็นช่างเขียนหลวงผู้ลือนาม ที่ทางวัดและญาติโยมเรียกร้องเป็นนักหนา ให้มาฝากฝีมือบนฝาผนังวัดทองให้ได้

“เม็ดมะขามพอหรือยัง โยมเนตร ถ้าอย่างไร อาตมาจะได้ให้ชาวบ้านหามาอีก”

“หามาอีกเถิดหลวงน้อง แต่ให้ระวังหน่อย เอาแค่มะขามเปรี้ยวเท่านั้น อย่าให้มีมะขามหวานปนมา”

เนตรสนองรับด้วยท่าทีอันทรงภูมิ

กระทะใบใหญ่ตั้งอยู่บนกองฟืนไฟกลาง มีคนกำลังคั่วเม็ดมะขามอยู่อย่างแข็งขัน มือแข็งแรงจับตะหลิวคนพลิกไปพลิกมาไม่หยุดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ออกแรงจนกล้ามเนื้อบนแขนผอมๆ เกร็งแข็ง

เด็กหนุ่มจีนไว้เปียผูกปี้คนนั้นนั่นเอง ที่ทำหน้าที่คั่วเม็ดมะขาม

อีกด้าน มีหญิงสาวชายหนุ่ม ช่วยกันกะเทาะเม็ดมะขามที่คั่วสุกแล้ว เอาเปลือกเมล็ดสีน้ำตาลออก พลางคุยเย้าหยอกกันคิกคัก

เม็ดมะขามคั่วสุกที่แกะแล้วเหลือแต่เมล็ดในสีขาว ถูกแช่ทิ้งไว้ในน้ำสะอาดในโหลแก้วใหญ่หลายใบ

พลัน ใบหน้าอยากรู้อยากเห็นของเด็กหญิงลำจวน ปรากฏขึ้นหลังโหลแก้วเหล่านั้น

เด็กหญิงกำลังเอื้อมมือ จะควานลงไปเพื่อหยิบของต้องสงสัยขึ้นมาดู แต่พอดีมือใหญ่แข็งแรงตีเพียะ เต็มแรง ลงมาบนมือซนนั้นเสียก่อน

“อ๊า…”

ลำจวนร้องลั่นด้วยความตกใจและเจ็บไม่น้อย

เนตรลากคอเด็กหญิงเหมือนเป็นหมาแมวออกมาให้พ้น

“นางลำจวน ขืนไปแตะต้องสิ่งใดข้าจะเฆี่ยนเอ็ง เม็ดมะขามในโหลต้องแช่ไว้ถึงพรึ่งนี้จึงจะใช้การได้ เอ็งอย่ามากวนเล่นให้เสียของ”

“โอ๊ย เจ็บค่ะ แช่ไว้ทำสิ่งใดรือคะ คุณพี่เนตร”

เด็กหนุ่มจีนอดขำไม่ได้ ที่แม้ร้องว่าเจ็บ แต่เด็กหญิงก็ยังไม่วายอยากรู้อยากเห็น

“เขาทำกาวสำหรับลงรองพื้นผนังพระอุโบสถก่อนจะลงมือเขียนภาพอย่างไร พระดูเอาเถิด น้องสาวพระนี่ช่างซุกซนนัก แม่จำปาไปอยู่เสียที่ไหน ปล่อยให้มาวุ่นวายถึงนี่”

เนตรลากลำจวนมาปล่อยตัวที่หน้าพระ ฟ้องประจานกลางผู้คน

“ขอโทษแทนน้องเถิด โยมพี่เนตร”

พระบุญลือยังคงนอบน้อม

“ลำจวน…โยมแม่ล่ะ”

“คุณแม่ให้อีฉันมานิมนต์หลวงพี่ ว่าจวนเพลแล้ว ให้กลับกุฏิไปฉันได้แล้ว”

ลำจวนเพิ่งนึกได้ ว่าตนถูกใช้ให้มาตรงนี้เพื่ออะไร

มีอีกเตาหนึ่งเหนือกองฟืน ช่างเขียนลูกน้องเนตรอีกสองคน กำลังช่วยกันเคี่ยวกาวอยู่ ลำจวนได้โอกาส วิ่งไปดูกระทะเคี่ยวกาว ที่เม็ดมะขามนุ่มๆในน้ำเดือดสุขุมกำลังเปื่อยยุ่ยกลายเป็นยางเหนียวขาวขุ่น

“นี่รือคะ กาว…เม็ดมะขาม”

หลวงพี่ต้องรีบก้าวมาขวาง และอธิบายเสียเอง

“ใช่ เขาเอาเม็ดมะขามคั่ว แช่น้ำไว้สองคืนจนนุ่มตัว มาเคี่ยวกับน้ำฝน ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ พอได้ที่จึงนำมากรองเอากากออก เหลือแต่น้ำกาว จากนั้นก็นำดินสอพองมาผสมน้ำ เกรอะให้ตกตะกอน จากนั้น เอากาวมะขามกับดินสอพอง สัดส่วนสามต่อหนึ่งผสมให้เข้ากันเป็นของเหลวข้น แล้วก็รีบเอาไปทาผนังโบสถ์โดยเร็ว หากปล่อยไว้นานกาวจะบูดเสียหมด…ไปกันเถิด ลำจวน”

หลวงพี่เล่าจบก็จ้องหน้า พยักเป็นเชิงบังคับ ให้เด็กหญิงเดินไปด้วยกัน

เนตรที่มองกำกับอยู่ ผลักหลังลำจวนเบาๆ ไล่อย่างรำคาญเต็มที

“ไปให้พ้นเลย ไป๊!”

ลำจวนวิ่งตื๋อนำหลวงพี่ไป มือยังลูบคอที่ถูกเนตรจับป้อยๆ

ริมทางที่ผ่าน มีลำไม้ไผ่สดใหม่เขียวสำหรับทำนั่งร้านกองอยู่ ลำจวนมัวเหลียวระวังหลบหลีกวิ่งอ้อมชายฉกรรจ์ร่างกำยำบึกบึนหลายคนที่กำลังช่วยกันขนไม้ไผ่ไปยังพระอุโบสถ จึงชนป้าบอย่างจังเข้ากับบุรุษสง่างามแต่งกายภูมิฐาน ที่เดินนำชายกลุ่มใหม่เข้ามาตามเส้นทางจากชุมชนหลังวัด

ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุการณ์ปกติของเด็กหญิง ที่จะชน ตก หกล้ม หรือทำข้าวของหลุดมือเสียหายอยู่เป็นประจำ

“ว้าย…ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ขอประทานโทษ”

ลำจวนรีบถอย พลางย่อตัวก้มต่ำ พนมมือไหว้ปลก

เมื่อเงยมอง บุรุษร่างสูงสง่าบังแสงฟ้าท่านนี้ มิยักใช่ผู้ใหญ่ในละแวกวัดทองที่เคยเห็นหน้ามาก่อน        ดวงตาของท่านเข้มลึก ดูเด็ดขาดน่าเกรงขาม ใต้กรอบคิ้วหนา จมูกงาม คางคมสัน โกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลาสะอาดนวลตา ผมตัดสั้นกันไรเป็นระเบียบเรียบกริบ

ท่านสวมเสื้อมิดชิดเรียบเรียบร้อย นุ่งผ้าโจงเนื้อแน่น ยกดอก เป็นลายในเนื้อผ้าหนาราคาแพง

ที่จริง เงาทะมึนที่บังฟ้าจนมืดมิดในสายตาลำจวนครั้งแรก คือร่มคันใหญ่ที่มีลูกน้องคนสนิทกางบังแดดให้ท่าน และเบื้องหลังยังมีผู้ติดตามอีกสามคน ที่ดูล้วนหรูหราผึ่งผาย แต่งกายอย่างผู้ดี ถือหีบหมาก ย่าม และสัมภาระอีกบางส่วนของท่าน

ท่านถอยก้าวหนึ่ง ปัดเนื้อตัวที่ถูกลำจวนชนอย่างแรง ให้เสื้อผ้ากลับมาเรียบกริบสะอาดอย่างเดิม มองเด็กหญิงอย่างตำหนิ

ลำจวนครั่นคร้ามต่อสายตาเข้มงวดคู่นั้น ถอยไปแอบข้างหลังพระบุญลือเป็นที่พึ่ง

ท่านมองพระบุญลือ พนมมือไหว้ ทักอย่างคุ้นเคยเป็นกันเอง

“หลวงพี่บุญลือ นี่ลูกใครรือ ซนยังกับเด็กผู้ชาย…”

“ลำจวน น้องสาวอาตมาเอง คุณหลวงวิจิตร…ต้องขออภัย…”

คุณหลวงวิจิตรฯ…ลำจวนจดจำนามนั้นได้ทันที ท่านมีท่วงทีกิริยาโอ่อ่า วิจิตร ประณีตสมนามจริงๆ

“พวกลูกศิษย์ของกระผม ทำอะไรกันไปถึงไหนแล้ว”

พระบุญลือสำรวมอาการสุภาพเรียบร้อยขณะตอบคำถามคุณหลวงท่านนั้น

“บ่ายนี้ น่าจะค่อยๆ เริ่มลงรองพื้นผนังโบสถ์กันบางส่วนได้ละครับ”

“แล้วพวกนั้นมีใครมาบ้างหรือยังล่ะ หลวงพี่  ศิษย์ครูทองอยู่มักถึงก่อน พร้อมเพรียงก่อน เหนื่อยก่อนทุกทีไป”

ชายหนุ่มที่เป็นคนกางร่มถามขึ้นมา น้ำเสียงหน่ายๆ

ทว่าคุณหลวงฯ รีบปรามขึ้น

“อย่าบ่นบ้ามากความ พวกเรามาก่อนก็ดีแล้ว กาวเม็ดมะขามต้องเจ้าเนตรมาทำเอง ปล่อยให้ศิษย์สำนักอื่นทำทีไร ไม่เคยใช้การดี เหลวไป บ้างสกปรก เต็มด้วยด้วยฝุ่นผง เม็ดกรวดทราย บ้างข้นเป็นโคลน ปาดเกสรไม่ไป บ้างเหลวจนไหลเนืองนอง เปียกเละเทะไปทั่ว”

น้ำเสียงคุณหลวงยกย่องพี่เนตรเป็นพิเศษ ทำให้ลำจวนอดทึ่งไม่ได้ว่าพี่เนตรของเธอก็น่าจะเป็นศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งของท่านอยู่เหมือนกัน

จากระยะไกล เนตรที่กำลังดูแลลูกน้องให้เริ่มลงมือผสมกาวกับดินสอพองบางส่วน หันไปเห็นคุณหลวงและคณะยืนเจรจาอยู่กับพระบุญลือพอดี

เขายิ้มออก รีบปัดไม้ปัดมือ ทำความสะอาด รีบเดินไปรับหน้า

เนตรเดินเร็ว จนเกิดกระแสลมพัดวูบผ่านเจ้าเด็กหนุ่มจีนผมเปียที่กำลังจะเทเม็ดมะขามชุดต่อไปลงคั่วต่อ

เขาหันมองตามเนตรไป

ทันทีที่มองเห็นท่านผู้มีบารมีผู้นั้น เจ้าเด็กหนุ่มจีนก็ถึงแก่ตื่นเต้นตาโต

“อาคูทองหลู่!”

เขาลนลานเนื้อเต้น รีบส่งตะหลิวที่ให้ใครที่ยืนใกล้ทำแทน รีบวิ่งตามเนตรไปติดๆ

ที่หน้าโบสถ์ เหล่าคณะชายฉกรรจ์ที่ทำนั่งร้านไม้ไผ่อยู่ข้างใน ก็พากันเดินออกมาหาคุณหลวงท่านนั้นเช่นกัน

“ครูทองอยู่ขอรับ กระผมบุญมาก มาจากนนทบุรีขอรับ”

หัวหน้าคณะที่มีลักษณะเป็นชาวบ้านหัวเมืองไหว้นำ ทำให้บรรดาชาวคณะของเขาทำตามเป็นฝักถั่ว

“เป็นบุญวาสนาเหลือเกินขอรับ ที่จะได้ร่วมเขียนผนังในโบสถ์เดียวกันกับท่าน”

คุณหลวงยกมือรับไหว้เสมออก พยักหน้านิดๆ ให้หนุ่มจากนนทบุรีเหล่านั้น

“ยกยอกันเกินไป…ครูบุญมาก สกุลช่างเขียนนนทบุรี ก็มีฝีมืองามหาได้ด้อยกว่าใครไม่”

ครูบุญมากยิ้มกว้างขวาง

“ต้องให้ครูทองอยู่สั่งสอนอีกมากขอรับ”

เนตรที่เพิ่งเดินมาถึงได้ยินคำเรียกชื่อนั้น เขาขมวดคิ้วทันที ชายหางตามองและกระแอมย้ำเตือน

“คุณหลวงวิจิตรเจษฎา…”

ครูบุญมากสะดุ้ง หันมามองอย่างตกใจ รีบก้มศีรษะลงเป็นเชิงขออภัย

“อ้อ จริงสิ ครูทองอยู่เป็นถึงคุณหลวง…ไอ้กระผมก็ติดจะเรียกชื่ออยู่เรื่อย”

ลำจวนยังยืนจับตาดูทุกคน รับฟังทุกรายละเอียด สังเกตสังกาไม่ให้หลุดรอดสักเรื่องเดียว

เด็กหญิงแปลกใจที่เห็นเจ้าจีนผมเปียผู้นั้นตามเนตรมาเลียบๆ เคียงๆ ท่าทางตื่นเต้น ลนลาน ผสมหวั่นเกรง

“เอ่อ…คุงคูขอลับ คุงคู…ทองหลู่”

เสียงแตกพร่าพูดไม่ชัดที่มีจังหวะจะโคนรบกวนแปลกแยก แม้ไม่ดังมากแต่ก็ทำให้ทุกคนหันไปสนใจ

เมื่อตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะได้เห็นสีหน้าที่เข้มงวดขึ้นอย่างรำคาญของท่าน ‘คูทองหลู่’ เอง เด็กหนุ่มก็กลัวจนตัวลีบ นั่งลงยอง ยกมือไหว้ท่วมหัว

“ อั๊วะ…ผม อยากขอมาเป็นลูกศิกเลียงวิชาช่างเขียงกับคูทองหลู่ขอลับ”

เมื่อรวบรวมกำลังใจให้พูดจนจบความลงได้  เขาก็กราบแบมือราบลงไปกับดินสามที เหมือนกราบพระพุทธรูป

‘ครูทองอยู่ง มองเจ้าตัวประหลาดอย่างแปลกใจและขบขัน

เนตรหัวเราะหึๆ

“อ้อ ที่มาช่วยคั่วเม็ดมะขามตัวเป็นเกลียวแต่เช้านี่ หวังจะมาขอเข้าสำนักคุณหลวงวิจิตรดอกหรือ”

เจ้าเด็กผมเปียหันมาทางเนตร มองดูคณะของคุณหลวงทุกคน หันกราบทุกคน กราบแล้วกราบอีกไปรอบๆ

“ขอลับๆ ใต้เท้ากาลุณาขอลับ”

เนตรและบรรดาศิษย์คุณหลวงวิจิตรเจษฎามองสบตากัน ต่างสมเพชเจ้าเด็กผมเปียซำเหมาไร้สกุลรุนชาติที่บังอาจหาญกล้า หารู้กาลเทศะไม่

เนตรทอดเสียงเมตตากรุณา พยักโยนไปทางช่างเขียนนนทบุรี

“…ลื้อไปช่วยครูบุญมากแกผูกนั่งร้านไม้ไผ่ไปก่อนดีกว่ากระมัง”

ครูบุญมากมองหน้าเนตร ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

“มันอยากอยู่กับคุณหลวง คุณหลวงก็น่าจะรับไว้สิขอรับ”

ทว่าคุณหลวงเองกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ท่านหันมาพยักกับพระ

“หลวงพี่บุญลือ นิมนต์ไปฉันเพลก่อนเถิด”

จากนั้น ท่านก็หันมาหาครูบุญมาก

“ไหน เข้าไปดูพื้นที่กันหน่อยเถิด ครูบุญมาก”

“ขอรับคุณหลวง”

แล้วครูบุญมากกับคณะ ก็เดินนำคุณหลวงและบริวารไป

ส่วนหลวงพี่บุญลือ ก็หันมาชวนลำจวนไปอีกทาง

“ไป ลำจวน”

ลำจวนตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นคนมองไม่เห็นหัวคน กระทำเหมือนคนทั้งคนไม่มีตัวตน ตำตาตำใจขนาดนี้

เด็กหญิงไม่ยอมขยับตัว ตาจับจ้องมองเด็กหนุ่มจีน เห็นใจอย่างที่สุด

“ลำจวน…พี่จะไม่ทันเพลแล้ว”

เสียงหลวงพี่เรียกดังมา เด็กหญิงออกเดินตามไปอย่างอิดออด ถอนตาถอนใจไม่ได้จากเจ้าจีนผมเปียที่หมอบอยู่บนพื้นดิน

แต่ลำจวนไม่เห็นตอนที่เด็กหนุ่มผมเปียค่อยๆ ลุกขึ้นจากการคุกเข่าอย่างงงงวย

เด็กหนุ่มมองตามคณะช่างเขียนทั้งหมดไป สีหน้าว้าวุ่นใจ แต่สุดท้ายดวงตาเรียวรีคู่นั้นกลับฉายประกายตัดสินใจสู้ไม่ถอย

ไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด!

 

 



Don`t copy text!