บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 37 : ขมิ้นกับปูน

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

 

พระอุโบสถเอี่ยมอ่องขาวเจิดจ้า บนหลังคายังมีช่างสองสามคนกำลังทำงานมุงกระเบื้องดินเผาใหม่ๆสีสดใส

ฮุนอุ้มหีบใส่สีและเครื่องเขียนประเภทสูงค่าราคาแพงจำนวนหนึ่งของชาวคณะบ้านคงแป๊ะเข้าประตูโบสถ์มา แต่ต้องหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่

องค์พระประธานของเก่าดั้งเดิมได้รับการห่อผ้าปกป้องคลุมไว้อย่างมิดชิด ไม้ไผ่สำหรับผูกนั่งร้านเพื่อเขียนผนังส่วนที่อยู่สูงผูกขึ้นเตรียมไว้บางส่วนแล้ว แต่บุคคลที่กำลังยืนพิจารณาฝาผนังขาวๆอยู่ ใช้ปลายนิ้วแตะๆ ลูบไล้ไปมา คือเนตร!

ชายหนุ่มผู้แต่งกายโออ่า วางท่าสง่างาม หลังไหล่ตรงราวขึงไว้ด้วยโครงเหล็กแข็งแรงชวนให้เกรงขาม  เชิดหน้าสูง มองผู้อื่นด้วยหางตาเสมอ ลูกชายคนโตของนายโรงสุ่น ..เนตร

เขาได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาจึงหันไปหา กำลังจะออกปากกล่าวอันใดสักอย่าง แต่กลับหยุดกึก เมื่อเห็นว่าเป็นฮุน

ชายหนุ่มผู้สูงวัยกว่าคู่กรณีจ้องเขม็ง ดวงตากร้าว เลิกคิ้วสูง ยิ้มแสยะ มือทั้งสองขยับกำหมัดราวกระชับอาวุธ

ฮุนตะลึง ตกใจใช่น้อย แต่พอตั้งสติได้ ก็ยกมือไหว้เสมอ-อก

เนตรรับไหว้แข็งขืนฝืนใจ มองฮุน สำรวจ หัวจรดเท้า

หากเปรียบเทียบขนาดกัน ฮุนตัวโตกว่า สูงกว่าเนตรอีกครึ่งศีรษะแล้ว ช่วงแขนขา ยาว แข็งแรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งๆอย่างคนออกแรงทำงานหนักเสมอ เวลานี้ หากประมือกันตัว-ตัว เนตรน่าจะสู้ไม่ได้แน่

ทั้งสองเผชิญกันลำพัง ตัวต่อตัวอย่างแท้จริง

ฮุนหลบตาลงก่อน ก้มศีรษะลงเล็กน้อย บีบเนื้อบีบตัวให้เล็กลง แสดงท่าทีอ่อนน้อมต่อผู้อาวุโสกว่า

ขณะที่เนตรเบ่งร่างกร่างใหญ่ เอาเสียงดังเข้าข่ม

 

“ กูต้องมาช่วยงานสัพเพเหระของคุณหลวงวิจิตรฯ ส่วนมึงเป็นช่างเขียนใหญ่..”

 

บทเจรจาแรกเต็มไปด้วยความขมปร่า ปวดร้าว

 

“ หามิได้ขอรับ กระผมยังคงเป็นลูกมือของครูท่าน สุดแต่ครูท่านจักใช้งานอันใด ”

 

ฮุนตอบ นิ่มนวล

เนตรมองเหยียด

 

“ ไม่ต้องมาตีฝีปากเสแสร้ง   มึง..เป็นสาเหตุให้น้องสาวกูตาย..ไม่โดยตรง ก็โดยอ้อม ”

 

ฮุนตวัดสายตาขึ้นประสานกับพี่ชายของสตรีที่รัก

เขาควบคุมตัวเองให้สงบเสงี่ยม ไม่สื่อความหมายใดๆออกมาทั้งสิ้น นอกจากความซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับได้ผลดังยั่วยุให้อีกฝ่ายโกรธเกรี้ยวมากขึ้น

พอดีกลุ่มช่างเขียนอื่นๆต่างทยอยเข้ามา ทั้งคณะของทองอยู่และคงแป๊ะ

ทั้งสองหันไปมอง และต่างขยับจากการประจัญหน้า

เนตรหันไปหาผู้คน หันข้างให้ฮุน ขณะเดินเฉียดผ่าน เขาลดเสียงเบากระซิบ

 

“ เขียนโบสถ์นี้เสร็จวันใด  ระวังเงาหัวเอ็งไว้ให้ดีเถิด ”

 

เนตรรีบยิ้มเยื้อน ก้าวเข้าไปไหว้คงแป๊ะ ก้มศีรษะต่ำอย่างคารวะเป็นอย่างสูง ทำเสียงสุภาพอ่อนหวาน

 

“ คุณหลวงภักดีฯ ”

 

“ ได้ยินว่าพ่อเนตรไปอยู่หัวเมืองเสียพักใหญ่มิใช่หรือ? ”

 

ครูพุดถามในฐานะคนที่คุ้นเคยกันมาก่อนเก่า

 

“ ไปอยู่โพธาราม ก็ไปช่วยเขาเขียนโบสถ์แลขอรับ ”

 

เนตรหันมาตอบ ยิ้มหยิ่ง

ครูทองอยู่เดินเข้ามาพอดี  รับไหว้คงแป๊ะและเหล่าศิษย์ แต่มิได้มองหน้า สนใจ สังเกตสังกาใครทั้งนั้น กลับเดินไปยืนกลางโถง  แหงนเงย มองรอบๆ

ครั้งเห็นเพดาน ยังโล่งว่าง ทาเพียงสีแดงดาดไป ยังไม่ตกแต่งอะไร ก็หันมาทำหน้าข้องขัด

 

“  ไหนว่าช่างแต่งเพดานจะเข้ามาก่อน ไหนล่ะสวรรค์ ไหนล่ะดาว ”

 

“ สงสัยว่าแต่ละท่าน ก็คงมีงานกันล้นมือพอๆกัน คงสะสางกันไม่ทันตามกำหนดกระมัง เหล่าขุนนาง ข้าราชบริพาร ต่างสร้างวัดหลวง วัดราษฎร์ ให้ช่างทั้งหลายต้องไปรับเขียนรับแต่งโบสถ์กันพรึ่บๆ ”

 

คงแป๊ะตอบอย่างไม่เดือดไม่ร้อน

 

“ ผมเองก็งานล้นมือ แต่ในเมื่อรับปากไปแล้ว ก็ต้องรักษาคำพูด ”

 

ครูทองอยู่ยืนยัน

 

“ เสียเวลาจริง ถ้าพวกทำงานข้างบนเข้ามาทำขณะที่เราเขียนอยู่ล่ะ จะว่าอย่างไร ข้าวของมิหล่นตกลงมาใส่หัวกบาลกันหรือ ”

 

คงแป๊ะหัวเราะ ขำ ชอบใจ

เนตรเข้ามารายงาน จริงจัง

 

“ ประเดี๋ยวก่อนขอรับครู  กระผมว่าฝาผนัง..ยังดูชอบกล ”

 

“ นายไกรช่างปูนบางยี่ขัน โบกและประสะเองทีเดียวหนา ”

 

ครูทองอยู่แย้ง

เนตรล้วงไปในย่าม แล้วหยิบแท่งหัวขมิ้นชันเล็กๆขึ้นมา

ช่างเขียนทั้งหลายมอง รอดู

เนตรเดินไปที่ผนัง ขีดแท่งขมิ้นลงบนพื้นผิวปูนที่ประสะไว้แล้วขาวผ่อง

สีที่ปรากฏขึ้นมา เป็นสีแดงอมแสดจัดจ้า

ทุกคนหันมา มองหน้ากัน

 

“ แดงโร่เลย ปูนยังเค็มอยู่มาก นายไกรช่างปูน ท่าดีทีเหลวเสียแล้ว ”

 

คงแป๊ะเอะอะ

ครูทองอยู่ถึงกับอึ้ง หมดคำพูด

 

ในสวนของชาวบ้านละแวกบางยี่ขัน สวนใดที่มีต้นขี้เหล็ก ชาวสวนก็ช่วยกันตัดฟันกิ่งที่มีใบทั้งแก่อ่อนลงมากอง

หมื่นเดช  หมื่นโชค  หมื่นรวย กระจายกำลังกันออกไปบอกบุญและกำกับการ

 

“ เอาอีกๆ กิ่งตอนบนๆ เอามาให้หมด ”

 

หมื่นเดชออกคำสั่ง

 

“ตัดเสีย จะได้แตกยอดอ่อนให้กินได้อย่างไร ”

 

หมื่นโชคกล่อม เอาประโยชน์ของเจ้าของสวนมาเอ่ย

 

“ เสร็จแล้วรีบขนไปที่วัดเลยนะจ๊ะ จะได้ทำบุญร่วมกัน ”

 

หมื่นรวยอ้างกุศลผลบุญ

 

แม้แต่ที่หลังเรือนท่านเจ้าคุณนครบาลเอง  ตัวท่านก็ถอดเสื้อ ปีนขึ้นไปหักกิ่งขี้เหล็ก ทิ้งลงมาอย่างเอาจริงเอาจัง

บนขี้เหล็กใหญ่ต้นเดียวกัน  ที่กิ่งสูงกว่า นพผู้มีน้ำหนักตัวเบา ปีนหักกิ่งบนยอดอย่างคล่องแคล่ว

กิ่งขี้เหล็กถูกทิ้งลงมากระจัดกระจาย นวลกับนางทัดช่วยกันเก็บมากองรวมกันให้เป็นระเบียบพร้อมแก่การขนย้าย

เจ้าคุณปีนลงมา หลังจากได้ใบขี้เหล็กมากเป็นที่พอใจ

 

“ ดีหนา ที่ของเราก็มีกับเขาต้นนึง ”

 

ท่านปัดมือไม้ เนื้อตัว ที่เปื้อนมอม

 

นางทัดชม้ายชายตา มองหลังไหล่อันผึ่งผาย เรือนร่างที่แข็งแรงมีลำหักลำโค่นไม่ต่างจากหนุ่มๆ

“ ได้ร่วมแรงบุญกันเป็นการด่วนเช่นนี้ เขาว่ากุศลแรงนะเจ้าคะ ”

 

นวลไม่ชอบแววตาของหญิงอาวุโสผู้นั้นแม้แต่น้อย เธอเข้าไป เอาผ้าปัดให้ตามตัวสามี

 

“ มดกัดจะตายอยู่แล้ว นี่ถ้ามิใช่เพื่อร่วมอุทิศส่วนกุศลไปให้นางลำจวนล่ะก้อ อิฉันไม่ให้เจ้าคุณมาออกแรงให้ลำบากดอก ”

 

นพทิ้งตัวโดดตุ้บลงมา ยิ้มเอ็นดู

 

“ อย่าบ่นนักน้อง ต้นนี้แตกดอกดกเสียด้วย เดี๋ยวพี่จะแยกยอดๆดอกๆกับใบอ่อนๆไปให้เขาแกง ”

 

ราตรีนั้น ที่ลานหน้าโบสถ์นั่นเอง กะทะใบบัวใหญ่ตั้งเหนือเตาไฟแรง  ใบขี้เหล็กที่ตำแล้วเละเขละต้มอยู่ในน้ำร้อนปุด ฮุน ที่เหงื่อเปียกตัว จากหัวโล้นมีผมเปีย ไหลอาบหลังไหล่ ช่วงอกที่สะท้อนแสงไฟจากเตา เหมือนรูปหล่อโลหะวาววับ แขนมีมัดกล้าม ออกแรงกวนใบขี้เหล็กต้มเข้มข้นเร็วๆด้วยพายใหญ่ไม่ให้ติดก้นหม้อ

ชาวบ้านข้างวัดหลายคนนั่งรูดใบขี้เหล็กที่แก่จัด ที่มีคนขนเข้ามาเพิ่มให้เป็นระยะๆ  กองรวมเป็นพะเนิน

พวกพระช่วยกัน ตำใบขี้เหล็กในครกกระเดื่องใบมหึมา

ฮุนตัวใหญ่ แรงเยอะ จึงต้องอยู่หน้าเตา เมื่อยกกระทะเทใบขี้เหล็กที่ได้ที่แล้วออก ชายร่างแข็งแรงคนอื่น ก็ช่วยกันยกกระทะใหม่ ขึ้นต้มแทนต่อ

ครูพุดควบคุมพวกศิษย์ ช่วยกันกรองน้ำต้มใบขี้เหล็กที่เย็นลง ด้วยกระชอนใหญ่รองด้วยผ้าขาวบาง ทิ้งกากใบไป น้ำขี้เหล็กที่ได้ เป็นสีน้ำตาลเข้ม เหนียวลื่น

มีวงเตาต้มขี้เหล็กเช่นนี้ของชาวบ้านและพระอีกสองวง

 

รุ่งขึ้น บนพื้นโบสถ์ที่มีนั่งร้านไม้ไผ่ผูกสำหรับขึ้นที่สูงรอบๆ ถังและหม้อใส่น้ำขี้เหล็กวางเรียงเต็มและยังมีชาวบ้านยกหม้อเข้ามา วางตั้งๆให้ไม่ขาดสาย

พระ เณร ทำหน้าที่ตักน้ำขี้เหล็กนี้แบ่งใส่ถังเล็ก สำหรับคนที่จะปีนขึ้นไปทา

ครูทองอยู่ คงแป๊ะ ยืนกันคนละฝั่ง ชี้สั่ง ช่วยกันกำกับทั้งพวกศิษย์ ชาวบ้าน และพระ ช่วยกันเอาน้ำขี้เหล็กในถังเล็ก  ปีนเอาขึ้นไป เอาแปรงใหญ่สำหรับทาสีภายในอาคาร ทาผนังปูนอย่างรวดเร็วจนชุ่มโชก

เจ้าฮุนปีนเก่งเป็นพญาลิงตัวขาวเผือกอยู่บนนั่งร้านสูงจรดเพดาน เป็นหัวแรงนำ ทาน้ำขี้เหล็กประสะผนังขาวคล่องแคล่ว ฝีแปรงเป็นทิศทางเดียวกันมีระเบียบไม่สะเปะสะปะ สมเป็นช่างสีอู่ต่อเรือเก่าแท้ๆ

ที่ด้านล่าง ตรงประตูด้านหน้า เจ้าคุณอินทรายืนดู เนตรเกาะแจอยู่ซ้าย  ครูพุดยืนห่างออกไป ทางขวา

 

“ ก็ต้องประสะเช่นนี้ซ้ำไป แห้งทาๆ เช่นนี้ เช้าเย็นๆ ให้ครบเจ็ดวันแลขอรับ แล้วค่อยล้างน้ำสะอาดออก ให้กลับขาวดังเดิม ”

 

เนตรเรียนรายงานต่อท่านเจ้าคุณ

 

“ ไอ้ฉันก็เห็นนายไกรทำเช่นนี้อยู่หนา ”

 

ท่านเจ้าคุณบ่นๆ

 

“ ก็คงต้องเฝ้าดูให้ดีขอรับ เพราะน้ำขี้เหล็กมันจะรัดผนังให้แน่นขึ้น หากช่างไกรฉาบปูนไว้ไม่ดีพอ ผนังจะแตกร้าวให้เห็นทั่วไปเลยทีเดียว ”

 

ครูพุดออกความเห็นบ้าง

 

“ อ้าว กรรมเวร ”

 

ท่านเจ้าคุณเหงื่อตก

 

“ หวังใจว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นขอรับ ”

 

เนตรพยายามปลอบ

ท่านเจ้าคุณอินทราขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ

 

“ นี่ไอ้ไกรมันก็ไปสร้างวัดที่ปักษ์ใต้เสียแล้ว ไม่เช่นนั้น..”

 

 

ข้างขึ้นคล้อยไปสู่ข้างแรม จนเริ่มวนมาข้างขึ้นใหม่อีกครั้ง หลังผนังถูกล้างจนขาว ปล่อยทิ้งให้แห้งสนิท รอดูกันจนมั่นใจ ว่าไม่มีการแตกร้าวแน่แล้ว คณะช่างเขียนทั้งหลาย จึงกลับมาประชุมกันในโบสถ์นั้นอีกครา

เนตร กับครูพุด ต่างมีแท่งขมิ้นในมือ ขีดไปบนผนังขาวผ่องคนละฝั่ง

คนอื่นๆรอชมดูผล

ครั้นสีที่เนตรขีดปรากฏขึ้นเหลืองนวลลออ ทุกคนก็ยิ้มออก

บนผนังฝั่งที่ครูพุดขีดขมิ้น ก็ได้เส้นสีเหลืองงามนวลดีเช่นกัน

บรรดาครูช่างเขียน รวมทั้งท่านเจ้าคุณอินทรา ต่างถอนหายใจโล่งโดยทั่วกัน

 

“ สมกับที่เขาว่า ว่าขมิ้นกับปูนจริงๆ ”

 

ท่านเจ้าคุณส่ายหน้า ยิ้มออกมาได้

 

“ มันกัดกันขอรับ ตราบใดที่ปูนยังมีเกลือเค็มนัก ขมิ้นก็แดงวันยันค่ำ ไม่ยอมเหลืองได้ ”

 

ครูทองอยู่อธิบาย

 

“ น้ำขี้เหล็กประสะเกลือออกไปหมดแล้ว เป็นอันวางใจได้ ว่าเกลือจะไม่ชื้นเป็นน้ำซึมออกมา ทำให้ภาพวาดเสียหาย ”

 

คงแป๊ะยืนยัน

 

“ แลผนังก็ฉาบมาดีพอสมควรอยู่ ไม่มีตรงไหนแตกร้าว โล่งไปที ”

 

ท่านเจ้าคุณหัวเราะเบาๆ

 

ครูเกิดกับเหล่าลูกศิษย์ ผู้มีชื่อในทางวาดเทพชุมนุมเพิ่งเข้ามาถึง

 

“ ครูเกิด..”

 

ท่านเจ้าคุณทักขึ้นเสียงดัง

ทุกคนหันไปเห็น จึงเกิดการไหว้และรับไหว้กันไปมาอีกยกใหญ่

ครูเกิดมองดูทุกคนที่อยู่กันครบครันอย่างแปลกใจ

 

“ อยู่กันพร้อมหน้าทีเดียว กระผมต้องขออภัยท่านเจ้าคุณที่เพิ่งขยับขยายมาได้ แล้วนี่ คุณหลวงวิจิตรฯ และคุณหลวงเสนีย์ฯมาทำอันใดกันขอรับ ไหนว่าจะมาหลังพวกกระผมวาดเทพชุมนุมเสร็จเสียก่อน ไม่ต้องรีบร้อนขอรับ กว่าพวกกระผมจะทำข้างบนเรียบร้อย เห็นทีจะอีกสักพักใหญ่ๆเทียว เอ..มีอะไรหรือเปล่าขอรับ ดูหน้าตาเหนื่อยๆกัน ”

 

ทำให้ทุกคนหัวเราะครืนขึ้นมา

 

เจ้าหนุ่มเฉก นั่งขัดสมาธิ คัดลอกลิลิตตะเลงพ่าย ลงในสมุดขาว ด้วยปากกาจุ่มหมึกดำ ที่โต๊ะเตี้ยตั้งพื้น ที่มุมห้องใกล้หน้าต่าง ได้แสงแดดยามสายที่สาดมาสว่างพอดี ข้างหลังคือฝาผนังมีหมอนอิง ให้เอนพิงได้ยามเมื่อยล้า

ลายมือของเด็กหนุ่มสวยงามมากขึ้นเรื่อยๆ จากวันที่เริ่มหัดเรียนเขียนอ่าน บัดนี้ เฉก..ในสภาพชาย ได้มีลายมืองามสมดังที่นางวันทองได้เคยสั่งเสียเจ้าพลายงามว่า   ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ    เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน..  อย่างจริงแท้  ตัวหนังสือประกอบด้วยเส้นสม่ำเสมอขนานกันเป็นระเบียบ  ส่วนที่เป็นหัว ก็กลมงาม ส่วนที่โค้ง ก็ได้ระดับ ส่วนที่หยักมุม ก็ได้จังหวะองศา ช่องไฟ บรรทัด ล้วนมีระยะเท่าๆกันหมด ด้วยสายตาอันแม่นยำ

 

แม้นเจ้าคร้ามเคราะห์กาจ จงอย่ายาตรยุทธนา เอาพัสตราสตรี สวมอินทรีย์สร่างเคราะห์

 

“ ลิลิตตะเลงพ่าย หนังสือของเจ้าพระ ..กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ท่านแต่งเพื่องานฉลองตึกที่วัดท่านเมื่อไม่นานมานี้  ที่ข้าอยากให้เจ้าได้อ่านแลคัดเก็บไว้เรียน เพราะท่านเป็นนักกวีที่เก่งกาจอย่างที่สุด  คำและความ ..ทุกอย่างงดงามยิ่ง เมื่ออ่านก็ฟังไพเราะหู แลทำให้ก่อเกิดความรู้สึกมากมายหลายประการ ”

 

“ จริงด้วยขอรับ ”

 

“  เจ้าอ่านออกทั้งสิ้นแล้วรือ ”

 

เจ้าเฉกเปิดหาหน้าที่ชอบ แล้วแสดงอวดทันที

 

ฝ่อใจห้าวบมิหาญ ลาญใจแกล้วบมิกล้า บค้าอาตม์ออกรงค์ บคงอาตม์ออกฤทธิ์ ”

 

“ เก่ง..คำยากทั้งนั้น อ่านได้คล่องจริง ”

 

สีหน้าผู้อาวุโสอิ่มเอมเปรมใจยิ่ง

 

“ กระผม..พอเห็นคำหนึ่ง ก็พอเดาคำต่อไปได้ขอรับ เพราะคำมันล้อเลียนกันเป็นคู่ๆ ”

 

เจ้าเฉกโอ่เสียงใส

 

“ หัวเจ้านี้มันเปรื่องไม่ธรรมดาหนา นี่แลกลวิธีที่ข้าอยากให้เจ้าได้จดจำไปใช้ แต่เจ้าแจ้งใจในถ้อยกระทงความหรือไม่ ”

 

เจ้าเฉกเปิดเล่มต้นฉบับหน้าแรกๆ  ก้มดู อ่านในใจปราดเดียว แล้วเงยขึ้นเล่า

 

“ ตอนต้นเรื่อง บรรยายว่า..อโยธยานั้น..เป็นแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ ที่..ดินแดนทั้งหลายกลัว ไม่กล้าสู้ ”

 

คุณพุ่มหัวเราะ ชอบใจในความว่องไวคล่องแคล่วนั้น

 

“ อโยธยา..ในนี้ มิได้หมายถึงกรุงศรีอยุธยาดอกหนา แต่หมายถึงแผ่นดินปัจจุบันนี้เอง ร่ายสุภาพ..บทแรก เป็นบทยอพระเกียรติ ว่าบ้านเมืองเราบัดนี้ยิ่งใหญ่ดีงามต่างๆ แลจากนั้น ก็เกริ่นเล่าเรื่องราวในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงเก่า เล่าเรื่องของพระมหาอุปราช ราชโอรสหงสาวดีพ่ายต่อพระนเรศวร์ ”

 

ลำจวนตั้งใจฟัง ดวงตาโต เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นใฝ่รู้

 

“ ข้าให้เจ้าอ่านลิลิต เพราะลิลิตนั้นมีทั้งร่ายสุภาพแลกาพย์โคลงให้เจ้าได้ศึกษา มิฉะนั้น เจ้าจักคุ้นเคยแต่กลอนแปดอย่างเดียว ”

 

ศิษย์สาวในคราบหนุ่มน้อยหลานชาย  มุ่งมั่นกับคำสั่งสอนของ  ‘ คุณอา ’ เป็นที่สุด

 

“ สิ่งที่ข้าอยากให้เจ้านำเอามาเป็นครู คือถ้อยคำที่ท่านพระเลือกใช้ ”

 

คุณพุ่มหยิบหนังสือต้นฉบับขึ้นมา แล้วพลิกหาบทที่ต้องการ

 

“ ฟังนี่หนา ..เจ้าเฉก ”

 

คุณพุ่มอ่านด้วยน้ำเสียงเรียบ แบบไม่มีทำนอง  เน้นเพียงถ้อยคำเหล่านั้นอย่างมีจังหวะจะโคน

 

“..จวนเวลาล่วงสาง พื้นนภางค์เผือดดาว แสงเงินขาวขอบฟ้า แสงทองจ้าจับเมฆ รังสีเฉกฉายฉัน ไก่แก้วขันเจื้อยแจ้ว ดุเหว่าแหว้วเสียงใส ”

 

ลำจวนอ้าปากค้าง

“ ไพเราะใช่ไหมเล่า เจ้าเห็นอะไรบ้าง? ”

 

“ งามเหลือเกิน..”

 

หญิงสาวเคลิ้มไปกับฉากที่ปรากฏในจินตนาการ

 

“ มีทั้งแสง สี  แลเสียง หรือมิใช่..”

 

เจ้าเฉกพยักหน้ารับหงึกๆ

 

คุณพุ่มพลิกๆ หาอีกบท จนพบ

 

“ ฟังนะเจ้า..

 

สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้งยามสาย
สายบ่หยุดเสน่ห์หายห่างเศร้า
กี่คืนกี่วันวายวางเทวษ ราแม่
ถวิลทุกขวบค่ำเช้าหยุดได้ ฉันใด ฯ

 

และแล้ว เจ้าเฉก ก็ไม่ได้ทำให้ ‘ ครู ’ ผิดหวัง

 

“ คราวนี้มีกลิ่นด้วยขอรับ ”

 

เจ้าหนุ่มน้อยจำแลงตื่นเต้น ดีใจ ยินดีเป็นที่สุด

 

 

 

ด้วยความประณีต ตั้งอกตั้งใจ ลำจวนจึงใช้เวลาคัดอยู่เป็นเดือนกว่าจะเสร็จสิ้น

จนวันหนึ่ง นายหมายก็เข้ามา คุกเข่าลง

 

“ เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย  คุณเฉกคัดลอกเสร็จแล้วกระมังขอรับ เพลนี้กระผมว่าจะไปช่วยเขาที่วัดโพธิ์ จะได้นำหนังสือต้นแบบไปคืนท่านพระ ”

 

“ เสร็จแล้ว นายหมาย รอประเดี๋ยว ”

ครั้น ‘ คุณเฉก ’ ของนายหมายนำหนังสือที่อยู่ในถุงผ้าใบเดิมมาส่งให้ นายหมายก็กราบและเชิญหนังสือไป อย่างเคารพเหนือเศียรเกล้าจริงๆ

หลังจากนั้นคุณพุ่มจึงวางใจ มอบหมายให้เธอร่วมช่วยงานรับคัดหนังสือที่คนมาว่าจ้างกันจนล้นมือ อันเป็นแหล่งรายได้หลักของคนแพนี้ คุณพุ่มยังมีเจ้าพวง เด็กหนุ่มลูกญาติห่างๆอีกคน มานั่งช่วยกันคัดอย่างเร่งรีบอยู่คนละมุม

 

“ เจ้าพวง..ลายมือเจ้างามราวกับลายกนก  แต่ข้าขอให้เจ้าระวังช่องไฟ เว้นวรรคบรรทัด แลย่อหน้า รวมทั้งระยะห่างทั้งซ้ายขวาด้วย รักษาให้สม่ำเสมอ หนังสือจึงจักสวยงาม อ่านแล้วสบายตา

 

คุณพุ่มควบคุมคุณภาพ ไม่ละลด

 

“ ขอรับ คุณท่าน ”

 

กับลำจวน เธอก็ยังหาวางมือโดยสิ้นเชิงไม่

 

“ ใจเย็นๆ เจ้าเฉก  เจ้าใจร้อนนัก ประณีตสู้เจ้าพวงหาได้ไม่  มิต้องเอาเร็วเข้าว่า ข้าต้องการให้งดงามสะอาดสะอ้านแลถูกต้องทั้งหมด ”

 

บางคราที่เขียนผิด คุณพุ่มก็สอนให้เอาพู่กันป้ายสีขาวนวลทาทับลงไปให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกับสีกระดาษ แล้วเป่าให้แห้ง แล้วจึงเขียนแก้ไขใหม่

เมื่อคุณพุ่มมาตรวจทาน ก็มีแต่คำชมด้วยความพอใจ

แม่เต็มทำหน้าที่ควบคุมแสงสว่างให้เด็กๆ ยามแดดเปลี่ยนทิศทางตอนบ่าย ก็คอยเดินเปิดหน้าต่างทางอีกด้านออก

 

“ ประเดี๋ยวจะสายตาเสียกันไปหมด ไอ้เราก็สายตาเสียไปเรียบร้อยแล้ว จะสนเข็มแต่ละที ก็สนไม่เข้าเสียแล้ว ”

 

สำหรับการอ่าน หญิงสาวในคราบเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เวลาฝึกการอ่าน คือกลางคืน ยามที่ทุกคนว่างจากงานประจำวัน การล้อมวง ฟัง  ‘ คุณเฉก ’ อ่านหนังสือในแสงตะเกียงสว่างไสว ด้วยเสียงอันสดใสไพเราะ คือความสำราญของทุกคนในแพนั้น

 

เจ้าอยุธยามีบุตร ล้วนยงยุทธ์เชี่ยวชาญ หาญหักศึกบมิย่อ ต่อสู้ศึกบมิหยอน

 

ผู้ฟังแต่ละคน รู้สึกฮึกเหิมไปตามวิธีอ่านของหญิงสาวที่เปลี่ยนไปทุกที จากเสียงเรื่อยๆเรียบๆ มีเพียงจังหวะจะโคน ขยับไปเป็นการอ่านทำนองเสนาะ ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แน่นเต็ม อักขระถูกต้อง ใส่อารมณ์ ตีความคมชัด สง่างาม อาจหาญ

 

          ไป่พักวอนว่าใช้ ให้ธหวงธห้าม แม้นเจ้าคร้ามเคราะห์กาจ จงอย่ายาตรยุทธนา เอาพัสตราสตรี สวมอินทรีย์สร่างเคราะห์ ธตรัสเยาะเยี่ยงขลาด องค์อุปราชยินสาร แสนอัประมาณมาตย์มวล นวลพระพักตร์ผ่องเผือด เลือดสลดหมดคล้ำ ช้ำกมลหมองมัว

 

ใบหน้าคุณพุ่ม ที่มองดูหลานชายกำมะลอนั้น เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจในผลงานประติมากรรมเอก ที่เธอคือผู้ปั้นกับมือ

ส่วนทองใบนั้น แสดงออกถึงความลุ่มหลงคลั่งไคล้อย่างที่สุด

 

 

 

 

 



Don`t copy text!