บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 39 : วุ่นวายข้างวัง

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

‘ เจ้าพนักงานหนุ่ม ’เฉก ถูกเรียกตัวมาปัจจุบันทันด่วน เพราะเจ้าคุณพ่อของคุณพุ่มให้คนมาเกณฑ์เด็กที่แพที่ท่านได้ยินมาว่าเขียนอ่านคัดลอกหนังสือเก่งนัก เรียกใช้งานทำสิ่งต่างๆคล่องแคล่วว่องไว ให้รีบไปช่วยงานของพระคลังสินค้าตรงข้างกำแพงวังเป็นครั้งคราว ด้วยมีจีนใหม่มาลงทะเบียนผูกปี้มืดฟ้ามัวดิน ซึ่งยิ่งนับวันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆเป็นทวีคูณ จนเหลือบ่ากว่าแรงคนที่มีอยู่ ที่ทำงานกันไม่หวาดไม่ไหว

เมื่อขยับปากกาเตรียมบันทึกชื่อแซ่ผู้คน เงยหน้าขึ้นมามองหน้าคนงานจีนผู้ไม่ยอมตอบคำเสียที พลัน หญิงสาวผู้ฝังกายในเปลือกนอกของชายหนุ่มมาจนอยู่ตัว กลับถึงแก่สะทกสะท้านหวั่นไหวแทบไม่สมประดี

ฮุน ยืนตระหง่านอยู่ ห่างออกไปเพียงวาเดียว

นับเดือนๆที่ผ่านไปจากคราวพบกันที่วัดโพธิ์  เธอวิ่งหนีเขาไปซึ่งหน้า  บัดนี้ นายฮุน มาปรากฏใกล้เพียงนี้ แต่เธอจะลุกขึ้นวิ่งหนีหลบลี้ ก็ไม่อาจกระทำ

ลำจวนได้แต่วางท่าเคร่งขรึม ปั้นหน้าดุ ให้สมกับบทบาท

ฮุนมองหญิงสาว พินิจพิจารณาทั่วตัว ยิ่งมอง ยิ่งดูอัศจรรย์ ว่าคุณเฉกท่านนี้ กลายร่างเป็นบุรุษเพศแท้ๆไปเสียแล้ว

พนักงานควบคุมดูแลให้ตั้งแถวใหม่เดินมาถึง ขัดสายตาเจ้าหนุ่มหัวแถว ซึ่งแทนที่จะก้มหน้าก้มตาระวังเนื้อระวังตัวกลัวเจ้ากลัวนายกันหงอเยี่ยงพวกจีนใหม่ ไอ้จีนนี้กลับจ้องมองดูใต้เท้าผู้เปี่ยมสง่าราศีท่านนั้น ตาแทบปะทุออกมานอกเบ้า

“ เฮ้ย ไอ้นี่ มองอะไรวะ? ”

เขาเดินเข้ามาผลักอกไอ้จีนต่ำช้า แล้วหันไป ก้มหัวอย่างเอาอกเอาใจลูกท่านหลานเธอผู้สูงส่ง

ฮุนโค้งตัวลงเหมือนขออภัยแก่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสามทีสี่ที่ แล้วมุดกลับเข้ามาเสนอหน้ายิ้มแฉ่ง แป้นแล้น โค้งปะหลกๆให้ลำจวน

“ คุณท่านขอรับ จำผมได้ไหมขอรับ ”

ลำจวนรีบทำหน้าบอกใบ้เจ้าหน้าที่นั้น เป็นทำนองว่าไม่มีอะไรที่ต้องระมัดระวังนักหนาดอก แล้วตอบคำฮุนทันทีด้วยสีหน้าท่าที และน้ำเสียงห้าวของผู้หลักผู้ใหญ่

“ คลับคล้ายคลับคลา ชื่อเรียงเสียงไรเล่า? ”

“ ผมชื่อฮุน หลิมกิมฮุน เป็นช่างเขียนฝึกหัดอย่างไรเล่าขอรับ ”

ลำจวนทำทีคิด พยักหน้าเนิบๆ

“ เออ..นึกออกแล้ว ปี้หมดกำหนดแล้วรือ? ”

ฮุนรีบโชว์ปี้ที่ผูก กระตือรือร้น ประจบประแจง

“ มิได้ขอรับ นายท่าน ปี้อันใหม่ของกระผมยังอยู่ได้อีกปีกว่า นี่พาพวกมาใหม่สามคน ยังไม่เคยผูกปี้เลย ขอรับ ”

ยิ้มของเขาสะอาดสดใส จริงใจอย่างยิ่ง แต่จะมองให้เป็นการล้อเลียนยั่วเย้า ก็ได้เหมือนกัน

แช ไห่ และซาน ต่างพากันมองฮุน อย่างเลื่อมใสนัก ที่สหายรักรู้จักเจ้าหน้าที่ระดับนี้เป็นอย่างดี

ทว่าพวกเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลระเบียบการผูกปี้หาได้ชอบใจไม่

“ ไม่ต้องพูดมากความ ไอ้นี่! ”

เสียงกระโชกโฮกฮากของคนของทางการขัดหูลำจวนนัก เธอทำได้เพียงมองห้ามปรามอ่อนโยน แล้วหันมาเร่งคณะของฮุน

“ เช่นนั้น รีบบอกมา ผู้ใดต้องเสียค่าผูกปี้บ้าง? ”

ฮุนหันไป เร่งเร้าเหล่าเพื่อน

“ บอกนายท่านสิ ชื่อแซ่อะไร ทีละคนนะ ทีละคน ”

ทว่าสามหนุ่มชิงกันตอบเซ็งแซ่ไม่เป็นส่ำ

“ หวง ต้าชาน ”  “ หลี่ เหลี่ยงแช ”  “เล่า ตงไห่ ”

ลำจวนเห็นขัน

“ บอกว่าทีละคนๆ อย่างไรเล่า  หวง..ต้า..ซาน”

เธอเขียนเป็นภาษาไทยไปพลาง

“ ทำงานอันใด กับเจ้านายไหนรือ? ”

“ ทั้งสามคนอยู่อู่ต่อเรือกำปั่นบางคอแหลม ของคุณชายน้อย..เอ่อ หลวงสิทธิ์นายเวรช่วง สังกัดเจ้าคุณพระคลังขอรับ ”

ฮุนตอบรวบรัด

ลำจวนเลิกคิ้ว อดยิ้มอย่างทึ่งไม่ได้  ลงมือ จดชื่อลงไป ทีละคน

“ สามคน สามตำลึง สามสลึง ”

ฮุนเป็นคนล้วงถุงเงินออกมาจากย่าม หยิบเงินพดด้วงใหญ่ ขนาดเม็ดละสี่บาทเท่ากับหนึ่งตำลึง สามเม็ด และเม็ดเล็กเม็ดละหนึ่งสลึงสามเม็ด ส่งให้พนักงานเก็บเงิน

“ เล่า..อะไรนะ? ”

หญิงสาวถามพลางเขียนไปด้วย

“ เล่า ตงไห่ๆๆ ”

เจ้าขอนามทวนซ้ำๆ กลัวใต้เท้าท่านไม่แจ้งใจ

“ หลี่ -เหลียง-แช ”

อาแชบอกช้าๆ ลุ้นให้ใต้เท้าหนุ่มน้อยท่านเขียนให้ถูกต้อง

ฮุนชะโงกดูการเขียนของหญิงสาวในสมุดไทยขาว เห็นลายมืองดงาม มีระเบียบสม่ำเสมอ ขณะที่สีหน้าของเธอเคร่งขรึม ตั้งอกตั้งใจจริงจัง  ..ช่างน่าเอ็นดูเสียนักหนา

จ่ายเงินแล้ว กลุ่มของฮุนก็ถูกเจ้าหน้าที่ผูกปี้ เรียกไปยืนเรียง ส่งเชือกให้ผูกกันเองต่อหน้า ก่อนจะเข้ามาลงมือประทับตราครั่งเป็นปี้ให้ ว่าได้จ่ายภาษีค่าแรงให้แก่พระคลังสินค้าแล้ว เมื่อวัน เดือน ปีใด

 

ที่ท่าขุนนาง ซึ่งปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของท่าราชวรดิษฐ์ แต่อยู่ถัดมาทางท่าช้าง สมัยนั้นเป็นที่จอดเรือ ขึ้น ลง ของบรรดาขุนนางที่มาทำกิจหรือมาเข้าเฝ้าฯ แบ่งแยกออกจากท่าสำหรับเจ้านายและขุนนาง ไม่ใช้ท่าน้ำร่วมปะปนกัน

เรือโอ่อ่าเจ้าคุณอินทรา แทรกมาจอดชิดติดฝั่ง เรืออื่นๆต้องแหวกให้ด้วยยำเกรงบารมี

ที่หัวเรือ เจ้าคุณอินทรายืนตรง ให้หมื่นโชคถอดเสื้อให้ หนุ่มนครบาลจัดการพับ จับวางเสื้อ กับผ้านุ่งที่ถอดไว้ด้านหนึ่ง

นพ ที่บัดนี้เป็นหนึ่งในคนสนิทเจ้าคุณ เข้ามาคุกเข่า นุ่งผ้าสมปักชนิดงามเลิศ คาดเข็มขัดทองให้เจ้าคุณ

“ ถอดเสื้อนุ่งผ้าใหม่ แลเก็บดาบในเรือเรา ให้คนของเราดูแล ดีกว่าไปข้างในนั้น เวลาเหล่าขุนนางมาพร้อมกัน ถอดเสื้อผลัดผ้า ฝากดาบ ฝากสัมภาระ จอแจวุ่นวายนัก ”

“ กระผมอยากจะเข้าไปเห็นข้างในวังเป็นบุญตาบ้าง ”

นพทำเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ เจ้าทุกคนรออยู่ชั้นนอกก็พอ ไม่ต้องตามเข้าไปเกะกะรำคาญ ไปแต่เจ้าโชคผู้เดียวตามเคยเถิด ”

นพหน้าจ๋อย

หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย แอบสบตากันหยันหยาม

ท่านเจ้าคุณ ที่นุ่งผ้าสมปักสวยงามหรูหราแล้ว ก้าวนำไปเป็นคนแรก พวกนายหมื่นที่ไม่ต้องเข้าวัง สะพายดาบอยู่ในฝักเรียบร้อย รออยู่ด้านหน้า

การเข้าเฝ้าฯสมัยนั้น ทุกคนต้องถอดเสื้อ รวมทั้งองค์ในหลวงเองด้วย ขุนนางจะสวมเสื้อเข้าเฝ้าได้ ต้องเข้าหน้าหนาวอย่างเป็นทางการแล้ว คือต้องมีการลดโคมชัยลงในพระราชพิธีจองเปรียงในเดือน12ก่อน มิเช่นนั้น ใครสวมเสื้อเข้าเฝ้า จะถูกลงโทษให้ไปวิดน้ำเข้านา กศร.กุหลาบ นักเขียนบันทึกประวัติศาสตร์แนวซุบซิบ ให้เหตุผลว่า..เพราะทรงหาว่า ใครสวมเสื้อแปลว่าแช่งให้ลดโคมเร็ว ซึ่งหมายความว่า เดือน11น้ำนอง ได้สิ้นสุดลงแล้ว ถือเป็นการแช่งทำให้น้ำในนามีไม่พอ ดังนั้น คนแช่งต้องไปวิดน้ำเข้านาแทนเป็นการลงโทษ ดังนั้น ถึงขุนนางจะหนาวแค่ไหนก็ต้องทน จนกว่าจะถึงเดือน12ก่อน จึงสวมเสื้อกันได้

เจ้าคุณอินทราและคณะกำลังจะเดินไปเข้าวังทางประตูเทวาภิรมย์ มองไปเห็นพวกจีนยืนกันเกะกะเต็มไปหมด ใกล้ท่าช้าง

“ พวกคนงานจีน มาจ่ายอัฐค่าผูกปี้ ได้เงินตราเข้าพระคลังสินค้าแต่ละปีๆมหาศาล ”

หมื่นรวยว่า

“ จริง มองๆไป ในพระนครนี้ ไม่เห็นหัวคนไทยสักกี่คน ”

หมื่นเดชส่ายหัว

“ ไทยแท้ๆจะไปหาที่ไหน พวกเราทุกคนก็มีเชื้อจีน แขก มอญ พม่า ลาวปะปนกันทั้งนั้น เอ็งก็มอญมิใช่รือ? ”

เจ้าคุณดักคอ

“ ขอรับ ”

“ กระผมเป็นจีนปนลาว ”

หมื่นโชคสารภาพ

ทุกคนหัวเราะขำกันเอง

“ อย่าเข้าไปใกล้พวกมันมากนักขอรับ คนงานพวกนี้ เหม็นสาบเหลือทน ”

นพ ผู้ไม่เข้าพวกเบ้ปากรังเกียจ

“ เฮ่ย! ”

แต่นั่น กลับเร้าให้ท่านเจ้าคุณหันไปสนใจเหล่าชาวผมเปีย แล้วความรู้สึกพาลขุ่นก็กรุ่นขึ้นเหมือนควันจากไฟสุมขอนที่ประทุขึ้นมาอีก

“ ไปดมกันหน่อย เผื่อได้กลิ่นฝิ่น พวกเอ็งจะรวบมันเสียตรงนี้เลย ”

เจ้าคุณเดินแหวกนำเข้าไป ทำให้หัวหมื่นทั้งสามรีบตามไปแวดล้อมท่าน ที่ไร้อาวุธใดติดกาย

 

ฮุนกำลังยืนรอเพื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังตีตราครั่งไม่เสร็จ ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวฮือฮามาจากด้านหลัง

ความที่สูงใหญ่กว่าคนทั่วไป เขามองเห็นเจ้าคุณอินทราเดินไพล่หลังองอาจ ขณะสอดส่ายสายตา มองกราดกวาดแทรกเข้ามาในฝูงคนผมเปียเป็นเรือแหวกน้ำ แถวคนงานจีนหลบกันตัวลีบ แยกกระจายออก โดยมีสี่ผู้ติดตามเดินกร่างตามมาแต่ไกล

หนุ่มจีนผวา มองไปทางพนักงานหนุ่มนามเฉกเป็นสิ่งแรก

ลำจวนยังคงตั้งใจทำหน้าที่ ซักถาม ก้มเขียน หาได้ตระหนักว่าอันใดจะมาถึงตัว

ขณะที่เจ้าคุณอินทราเดินใกล้เข้ามาทุกที

ขณะหนึ่ง ที่ลำจวนเงยขึ้นมาบอกให้คนงานออกเสียงชื่ออีกครา เธอจึงมองเลยไปเห็น แล้วมีอันตัวแข็งทื่อไป

ท่านเจ้าคุณอินทรา ที่ร่างใหญ่ล่ำสัน สูงตระหง่านราวทศกัณฐ์ยักษา ที่กำลังเดินสง่าโดดเด่นเข้ามาในหมู่วานรตัวเล็กตัวน้อยที่พลุกพล่านวุ่นวาย  ท่านพญาอสูรสอดส่ายสายตามองไปทางใด ฝูงกระบี่ก็ตื่นกลัว ก้มกราน หลบหลีกกันกระจัดกระจาย

ส่วนพวกสมุนที่ตามมา จ้องจับผิดคนนั้นคนนี้อยู่นั้นเล่า ก็มีนพ พี่ชายแสนชังของเธอรวมอยู่ด้วย

ลำจวนจวนตัว สุดที่จะหลบหนี อาศัยรูปลักษณ์ชายที่เธอสวมปิดบังตนอยู่ หากทำให้ผู้คนทั่วไปเชื่อ ก็อาจจะทำให้คนพวกนี้มองข้ามผ่านไปเช่นกัน

หญิงสาวก้มงุด พยายามจดจ่อกับการบันทึกข้อมูลต่อไป แต่มือไม้ก็สั่นเทา เขียนหนังสือไม่เป็นตัวอีกต่อไป

“อิติปิโสแคล้วคลาดๆๆ ”

ลำจวนบริกรรมในใจ พุทธคุณ เป็นที่พึ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ สูดลมหายใจเข้าแล้วกลั้นอึดไว้ ก้มหน้าทำเป็นเขียนชื่อคนไป คาถานี้ จะทำให้เธอล่องหนไปจากสายตาเจ้าคุณอินทรากับพี่นพไปชั่วขณะหรือไม่ ประการใด

ท่านเจ้าคุณเดินใกล้เข้ามาๆ จนจวนจะถึงตัวลำจวนอยู่แล้ว

เจ้าหนุ่มเฉกก็ก้มงุดต่ำลงไปๆทุกทีจนศีรษะแทบจะจรดสมุดอยู่แล้ว

นพส่งเสียงกร่างมา ดุจดังอยู่บนศีรษะเธอพอดี

“ อย่าเบียดกันนักสิวะ ยืนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เป็นกันรือ? ”

หนุ่มเฉกเหงื่อแตกทั่วตัว เหงื่อหยดนึงจากบนหัว ไหลลงมาที่แก้มช้าๆ

พลัน ฮุนที่ยืนห่างออกไปสองสามวา ตัดสินใจชกโครมไปที่ท้องคนงานตัวใหญ่แข็งแรงที่ยืนอยู่ข้างๆจนร้องโอ๊ก ตัวงอ ทรุดลง

คนงานนั้นลุกขึ้นมาได้ ร้องว้าก แล้วพุ่งเข้าตอบโต้ฮุน ฮุนโถมตัวทิ้งร่างไปข้างหลัง กระแทกคนแถวถัดไป ให้ล้มหงายซวนเซ เรรวนกันไปเป็นทอด เหยียบกัน ล้มทับกันไม่เป็นส่ำ เสียงร้องไอ๊หยา โอ๊ย เฮ้ย วุ่นวาย

เจ้าคุณอินทราและผองผู้ติดตามหันไปทันที

“ อันใดกันวะ อะไร!! ”

ฮุนกลิ้งตัวลุกขึ้นมาได้ ยังไม่หยุดก่อความวุ่นวาย จงใจเลือกกระทืบเท้าจีนร่างอ้วนใหญ่ข้างๆเต็มตีน

“ ไอหยา มาเหยียบอั๊วะทำไม? ”

จีนอ้วนล้งเล้งเป็นภาษาฮกเกี้ยน

ฮุนตะเบ็งเสียงตอบด้วยสำเนียงเดียวกัน

“ ลื้อต่างหาก เหยียบอั๊วะ ”

ชายหนุ่มผลักอกจีนอ้วนนั้น สร้างความปั่นป่วนให้ขยายออกไปอีกวง

จีนอ้วนโมโห ยื่นมือมาคว้าคอฮุน แต่ชายหนุ่มไม่สู้ มุดหนีหลบ เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ วิ่งไปรอบวง

จีนอ้วนมุดตามฮุนไม่ลดละ ไล่ทุบ ไล่ถีบไปตามทางที่ฮุนแหวกไป

“ เฮ้ยๆ อะไรกันๆ หยุดๆๆ ”

พวกเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมระเบียบวิ่งตามไป ด่าไป ทำให้ผู้คนแตกตื่นโกลาหลกันเข้าไปอีก

หมื่นโชคฮึดฮัดขัดเคือง

“ ไอ้พวกเศษสวะ! ท่านเจ้าคุณอินทรามา มึงยังไม่เกรงรือ? ”

หมื่นเดชเป็นลูกคู่

“ แบบนี้ต้องจับเฆี่ยน อย่าผูกปี้ให้มันเลย ”

“ จับไปขังให้หมด!!  ”

หมื่นรวยสำทับ หันไปทางใด พวกจีนตรงนั้นก็กลัวตัวงอ คุกเข่าลงพนมมือไหว้ปะหลกๆ

ลำจวนแปลกใจกับความเอะอะสับสนนั้น จู่ๆก็เกิดอะไรขึ้นไม่ทราบได้ แต่ช่างเป็นคุณแก่เธอแท้ๆ เพราะสามหัวหมื่นและพี่นพต่างหันไปเอาเรื่องเอาราวกับคนพวกนั้น ทำให้เจ้าคุณรีบตามไปรวดเร็ว

เจ้าหนุ่มพนักงานบาญชีนามเฉกระบายลมใจเบา รีบกลับมาถามชื่อจีนตรงหน้าอีกครั้ง แม้หลายคนจะแตกตื่นชะเง้อมองเหตุการณ์ แต่ก็อยากจะรีบทำกิจผูกปี้ให้ลุล่วง จะได้กลับๆไปทำอื่นกันเสียที

ฮุนมุดๆๆ หนีไปในระหว่างฝูงคน ก้มตัวให้ต่ำเข้าไว้ ลอดซ้าย หลบขวา จนมาโผล่ที่ซอกรักแร้บางคน ริมกลุ่มที่ชุมนุมอยู่

ปะเหมาะเคราะห์ดี มีคนงานชาวกุลีท่าเรือกลุ่มใหญ่เพิ่งมาถึงใหม่ หน้าตาเหรอหราเยาว์วัยจนเห็นได้ เดินจับกลุ่มกันเข้ามาต่อท้ายแถว

ฮุนรีบวิ่งเข้าไป เนียนแทรกตัวเข้าไปปะปน แอบในหมู่เหล่าจีนหนุ่มน้อย

นพว่องไวนัก แหวกคนตามมาติดๆ ขณะที่สำรากออกมาอย่างห้าวเหิมใจยิ่ง

“ ไหน ไอ้เจ๊กตัวไหนที่มันก่อเรื่อง กูจะกระชากเปียมันไปให้ท่านเจ้าคุณอินทราดูหน้าหน่อย ”

แต่ผู้ที่ควบคุมจีนใหม่วัยเยาว์เหล่านั้น กลับเป็นคุณพระอภัยวาณิช หรือเจ้าสัวจาด แห่งท่ารังนกนางแอ่นตลาดน้อย กับเสมียนคู่หนึ่ง ที่เพิ่งเดินตามต้อนคนงานมาถึง

นพโชคร้าย ที่เดินก๋ามาตรงหน้าท่านจังๆ

นพผงะ เมื่อเผชิญรัศมีบารมีแรงกล้าที่ทรงพลังจนชายหนุ่มต้องก้าวถอยอย่างไม่รู้ตัว

“ มีเหตุอะไรกันรือขอรับ ท่านใต้เท้า? ”

เจ้าสัวก้มหัวให้นพ ขณะเอ่ยสุภาพนุ่มนวล

นพอึ้งไปเล็กน้อย แต่คุมวาจาสาวหาวเอาไว้ไม่อยู่

“ ไอ้พวกเจ๊กสถุนพวกนี้..มันชอบสร้างความวุ่นวายนัก ”

เจ้าสัวจาดเลิกคิ้วหนา เฉียงสูง บนหน้าผากกว้างสดใสเป็นประกาย ท่านเองก็ไว้เปียอย่างราษฎรภายใต้ราชวงศ์ชิง หากเสื้อผ้าแพรพรรณเป็นอย่างประณีตวิจิตรล้ำค่า ทำท่ามองหารอบกายอย่างขบขัน

“ เจ๊กสถุนที่ไหนกันขอรับ ท่านใต้เท้า กระผมไม่ยักเห็น ”

หมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย ตามมาถึง ทว่าเมื่อเผชิญหน้าเจ้าสัวจาด ก็ต่างถอยกรูดไปตามกัน

“ คุณพระอภัยวาณิช..”

หมื่นโชคพนมมือแต้เสมอ-อก

หมื่นเดช หมื่นรวย พากันไหว้แทบไม่ทัน

เจ้าสัวจาดยิ้มละมุนละไม

“ อ๋อ..นึกว่าใคร ที่แท้ก็ลูกน้องท่านเจ้าคุณอินทรานี่เอง ”

นพหน้าถอดสี รู้ว่าผิดท่าเข้าแล้ว

เจ้าคุณอินทราเดินตามออกมาอย่างแช่มช้า วางสง่าไม่เคยตก

“ อ้ายนพ มีอะไร จับอ้ายผู้ก่อเหตุได้รือไม่เล่า? ”

สุ้มเสียงท่านหงุดหงิดเหลือกำลัง แต่เมื่อเห็นหน้าเจ้าสัว เจ้าคุณอินทราก็หยุดกึก

เจ้าสัวจาดรีบชิงไหว้อย่างไทยก่อน ท่วงทีนอบน้อมงดงาม

“ ท่านเจ้าคุณอินทรา..ไม่พบกันเสียนานเลย ”

“ อ้าว ..คุณพระอภัยวานิช  พาคนงานท่าเรือขนส่งรังนกมาเองเลยรือ..”

เจ้าคุณมองเหล่าจีนท่าเรือด้วยหางตา

“ ขอรับท่านเจ้าคุณ พอดี..เที่ยวนี้มีเด็กใหม่เพิ่งมาถึงหลายคน  ไม่ประสีประสากัน หากมีผู้ใด ทำสิ่งไรที่ไร้มารยาทไปบ้าง ก็ต้องขออภัยท่านเจ้าคุณด้วย..”

คุณพระอภัยวาณิชมีกิริยาวาจาเอื้ออารีสมราชทินนาม

“ ก็ต้องอบรมสั่งสอนกันบ้างหนา คุณพระ เหนื่อยกันหน่อย นึกว่าเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านของเมือง ”

พระยาอินทราแห่งนครบาลไม่ทิ้งลายผู้รักษากฏหมาย

“ ควบคุมเด็กๆหนุ่มๆเป็นสิบเป็นร้อย มันก็เหมือนจับปูใส่กระด้ง แต่ท่านเจ้าคุณอย่าห่วง กระผมปกครองอย่างเข้มงวด ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎบ้านเมืองทุกอย่าง อย่างดูแลควบคุมพามาผูกปี้ครบถ้วนทุกสามปี  จ่ายเงินให้พระคลังสินค้าเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีเบียดบัง ”

เจ้าสัวจาดจ้องตาเจ้าคุณนิ่ง ไม่หลบแม้แต่จังหวะเดียว

เจ้าคุณเสียอีก ที่กระพริบตา เมื่อหัวเราะหยอกเย้า

“ แหม..นายอากรรังนกอย่างคุณพระ..อีกทั้งครอบครองท่าเรือขนข้าว ขนรังนก ยาจีน สมุนไพร..สินค้าราคาสูงๆทั้งสิ้น  กระผมเชื่อ ว่าไม่เคยคิดเบียดบังเงินหลวงแม้แต่สักน้อยดอก ”

ฮุนแอบดูพญาช้างสารเอาเชิงกัน ค่อยๆก้าวถอยๆๆ แล้วมุดปราดหายตัวไปในบัดดล

ที่ประตูวัง เหล่าตำรวจประจำทิมพากันเดินออกมาเมียงมองด้วยมีคนเข้าไปแจ้งว่าที่นอกกำแพงมีเหตุชุลมุนวุ่นวาย

พระมหามนตรีทรัพย์ เจ้ากรมพระตำรวจในขวาและผู้ติดตามหลายนาย เห็นเจ้าคุณอินทรานครบาล และคุณพระอภัยวาณิชนายอากรรังนก ยืนจดๆจ้องๆกันอยู่

เจ้าคุณอินทรากับพวก ทำท่าทางใหญ่โต เอาเรื่องเอาราวใครๆต่อใครไปเสียทุกอย่างตามเคย

ท่านเจ้ากรมตำรวจจึงรีบเข้าระงับเหตุ

“ เจ้าคุณ..คุณพระ.. ”

เจ้าสัวจาดหันมาเห็นเจ้ากรมพระตำรวจรักษากระราชวัง ก็รีบไหว้ ยิ้มแย้มก่อนตามเคย

“ คุณพระ.. มาตามท่านเจ้าคุณนครบาลล่ะสิขอรับ ”

เมื่อเห็นทุกท่านถอดเสื้อ ไม่มีอาวุธติดตัว อย่างขุนนางข้าราชบริพารที่เตรียมพร้อมเข้าเฝ้าฯ เจ้าสัวจาดก็ดักทางได้

“ ใช่แล้ว พรรคพวกนครบาลทั้งหลายพร้อมหน้า เจ้ารอท่านเจ้าคุณอยู่แต่ผู้เดียวนี่แหล ”

เจ้าคุณ มองขวางๆขุ่นๆ

“ เหตุไรต้องรอ กระผมมิได้มาสาย กะเพลาเหลือๆอยู่ดอก ”

“ อ้าว..ก็เจ้าคุณมีกิจอันใดกับพวกพระคลังสินค้าให้มาช่วยดูแลเขาผูกปี้รือ..ก็หามีไม่   แต่ข้างในเขามีกิจด่วน เป็นเรื่องลับ กระผมก็ไม่ทราบ ว่าเป็นเรื่องใด แต่เขาเร่งให้ตามเจ้าคุณรีบเข้าไปบัดเดี๋ยวนี้ จริงไหมหวา ”

คุณพระตำรวจหันไปขอเสียงคณะผู้ติดตาม

ทุกคนรีบพยักเพยิดเออออรับ

เจ้าคุณอินทราต้องยอมตามไปในที่สุด

พระอาทิตย์คล้อยต่ำ เมื่อเสียงฆ้องบอกเวลาสี่โมง บ่ายแก่เต็มที

เหล่าช้างเผือกคู่พระบารมีทะยอยขบวนกันออกมาสระสนานที่ท่าช้างวังหลวง ภายใต้การดูแลของคชบาลตามปกติ

 

สามหนุ่มจีนใหม่ แช ไห่ ซาน สหายของฮุน และพวกจีนอื่นๆอีกประปรายที่มาผูกปี้แล้วยังไม่กลับ ยืนดูช้างกันอย่างสนุกสนาน ตื่นเต้น ตื่นตา

เจ้าพนักงานจำเป็น นายเฉกหลานคุณพุ่ม กำลังเดินดุ่มๆ ออกมาจากประตูวังหลวง หลังจากเอาเงินทองจากการผูกปี้ไปทำบัญชีเอาเข้าหลวงที่แผนกพระคลังสินค้า จัดเก็บสิ่งของอุปกรณ์ต่างเข้าที่ กว่าจะได้รับค่าจ้างค่าออนตามควร  สะพายย่ามใส่ของส่วนตัว เดินอ้อมผู้คนที่มาชมช้างไปทางด้านท่าเรือ

ใครบางคน ที่ดักรออยู่บ่ายยันค่ำไม่ระย่อ  รีบตามไป

“ ใต้เท้าขอรับๆ..”

ลำจวนสะดุ้ง พอหันไปเห็นหน้าฮุน ก็มีอันยืนนิ่งงัน

ทว่าลึกลงไป ความร้อนรุ่มประหลาดกลับแผ่ซาบซ่านไปทั่วตัว

“ ใต้เท้าทำงานอยู่กับพระคลังสินค้านานแล้วรือขอรับ? ”

เจ้าหนุ่มจีนนักตื๊อ ไม่ว่ากี่วันกี่เดือนที่ผ่านล่วง เขาก็หาได้ท้อถอย

ลำจวนปรายตาชำเลืองรอบตัว กลัวมีคนสังเกตเห็น  พยายามควบคุมอาการให้สงบรำงับ

“ ไม่นาน ”

ฮุนยิ้มอย่างพลอยยินดีไปด้วย

“ ใต้เท้ายัง..อายุน้อย แต่ได้รับราชการในวังแล้ว? ”

“ เอ่อ..ก็..มาช่วยงานผู้ใหญ่ท่าน ยามมีกิจมากเกินกำลังเขานั่นแล ”

ลำจวนรีบเดินลงท่าน้ำ หวังว่าเขาจะไม่ตาม

แต่ฮุนกลับก้าวยาวอย่างสุขุมมาดักหน้า

“ ด้วยใต้เท้าเป็นลูกหลานขุนนางพระคลังนั่นเอง ”

ลำจวนอึกอัก

“ ก็..ใช่ ”

ชายหนุ่มยิ้มแย้ม เห็นไรฟันขาว

“ ช่างเก่งกาจสามารถจริง ”

“ โปรดหลีกทางด้วย ”

หญิงสาวดัดเสียงห้าวเข้ม

“ บ้านใต้เท้าท่าน..อยู่ตรงไหนขอรับ?”

ชายหนุ่มชะเง้อมองไปในหมู่เรือนริมน้ำและเรือแพเลียบฝั่งที่ทอดตัวซับซ้อนสลับด้วยดงไม้ใหญ่ครึ้มเขียวชะอุ่มแล้วหันมาคาดคั้น แต่ลำจวนมองดุๆ ไม่ตอบ

ทำเอาเจ้าจีนหนุ่มหน้าสลด

เฉกฉวยโอกาสเดินปะปนไปกับชาวบ้านที่ทยอยลงเรือจ้างเรือแจว บ้างข้ามฟาก

ฮุนมองตาม เห็นร่างเล็กบางของหนุ่มน้อยผู้นั้นเดินแทรกผู้คนไปจนถึงเรือเล็กๆลำหนึ่ง ซึ่งมีข้าทาสฝีพายลุกมาปลดเชือกรอรีอยู่

ชายหนุ่มละล้าละลัง หันรีหันขวาง  แต่แล้วก็ตัดสินใจ

 

หญิงสาวที่อยู่ในเปลือกนอกราวกับเป็นข้าราชการหนุ่มน้อยหน้าตาหมดจดงดงามกำลังจะก้าวลงเรือ

ไม่คาด เจ้าหัวโล้นเปียยาวกลับกล้าตามมา เขาดึงเชือกผูกเรือจากมือฝีพายมายึดไว้

“ คุณท่านขอรับ ใต้เท้า..”

ลำจวนตกใจ ไม่รู้ว่าควรโกรธเคืองไล่ตะเพิดให้ไปให้พ้น หรือควรทำกระไร แต่ผู้คนทั้งหลายดูเหมือนจะจดจ่อกับการลงเรือกลับบ้าน เรือใครเรือมัน  ไม่เห็นใครใส่ใจ ทำให้เธอสงบลงมาก หญิงสาวรู้ตัวว่า ที่แท้เธอไม่ได้เกลียดกลัวฮุน แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจคือ เกรงว่าใครจะตามสะกดรอยตามเขามาพบเธอเข้า หรือบังเอิญผ่านมาเจอเธออยู่กับเขา แล้วทำให้เชื่อมโยงถึงตัว ‘ลำจวน’ ได้

แต่ฮุนก้มหัว โค้งต่ำ จนหากคุกเข่าลงกับพื้นกระดานท่าเรือได้ ก็พร้อมจะทำ จนคนเรือยังเห็นใจ

“ กระผม..เพียงใคร่ไต่ถาม อยากขอคำชี้แนะสักหน่อย กระผมเป็นจีน หากอยากรับราชการบ้าง จะมีช่องทางอย่างใด ”

เขาอธิบายหนักแน่น เหลือบตาขึ้นมองหน้าเธอจริงจัง

“ก็..เจ้าเป็นช่างเขียน อีกทั้ง..รับใช้อู่ต่อเรือของท่านหลวงสิทธิ์นายเวร ก็..หมั่นสำแดงฝีไม้ลายมือให้ประจักษ์ เห็นจะพอเป็นช่องทางกระมัง”

เธอไม่วายเสริมแรงกำลังใจให้แก่เจ้าคนยาก

“ คนจีนทำราชการรับใช้เบื้องยุคลบาทเป็นพระยานาหมื่นถมเถไป ตั้งแต่สมัยแผ่นดินกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรมาแล้ว ”

ดวงตาฮุนทอแสงอ่อนละมุน ปรารถนาอันดีต่อกัน และไมตรีของลำจวน ไม่เคยเปลี่ยน

“ ใต้เท้า..เขียนหนังสือลายมืองามมาก ”

“ หากจักจ้างให้คัดหนังสือราชการอันใด  ก็มาจ้างได้ ข้ารับคัดลอกหนังสือ คิดไม่แพงดอก ”

ลำจวนเหมือนจะหัวเราะ โล่งใจไปนิด เมื่อเดาว่าฮุนอาจจะต้องการความช่วยเหลือทางด้านเอกสารราชการกระมัง

แต่แล้ว ฮุนกลับกล่าวไปอีกอย่าง

“ กระผมก็พอเขียนตัวอักษรจีนงามอยู่บ้าง คงต้องลองรับจ้างเขียนคำกลอน คำอวยพร ทำเป็นอาชีพเช่นท่านใต้เท้าบ้าง ท่าจะรวยดี ”

“ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน ”

ลำจวนปากไวตามเคย ครั้นหลุดปากออกไปแล้ว สมองจึงคิดตาม เธอลืมอีกแล้วที่จะอำพรางตัวตน แต่ก็สุดจะยั้งไว้ได้

“ ว่าอันใดหนาขอรับ?”

เจ้าหนุ่มจีนก้าวเข้ามาตามช่องที่เปิดขึ้น

“ นางวันทองสั่งเสียพลายงาม..ลูกชาย ก่อนจะให้หนีขุนช้างไปอยู่กับย่า ”

เธออดไม่ได้

ฮุนยิ้ม ทำหน้าดีใจ อย่างคนได้พบเพื่อนเก่า

พลัน ลำจวนได้สติ ว่าควรผลักเขาออกไปให้ไกลจะดีกว่า

“ ขุนช้างขุนแผน พวกจีนคงไม่กระดิกหูดอก ”

หญิงสาวรีบกล่าวเป็นเชิงเหยียดหยามออกมา วิญญาณข้าราชการหนุ่มที่ทระนงยงยศกลับมาประทับทรง รีบสะบัดหน้า เชิดหยิ่ง ก้าวลงในเรือ

ทาสคนเรือของเรือนบิดาคุณพุ่ม ดึงเชือกผูกเรือคืนไป

“ รู้ซีขอรับ  เสภาขุนช้างขุนแผน..กระผมเคยดู..”

เสียงร้องที่ดังอุทธรณ์มา ทำให้ลำจวนหันไป

เจ้าเปียยาวนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งชันเข่าข้างหนึ่งบนท่าเรือ ยื่นมือมารั้งท้ายเรือไว้ ไม่ให้ไป

“ ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ..หมายว่าอย่างไรรือ? ”

สีหน้าแววตาของเขาต้องการคำตอบอย่างเหลือแสน

“ ก็..เกิดเป็นชาย หมั่นหัดเขียนให้ลายมืองามๆ ก็จะก้าวหน้าในหน้าที่ราชการอย่างไร ”

เฉกสอน

ช่างเป็นครูที่ต้านทานความปรารถนาที่จะถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์มิได้จริงๆ

“เสภานี้เก่าแก่มาจากสมัยกรุงเก่า ส่วนตอนกำเนิดพลายงามนี้แต่งขึ้นใหม่ อาลักษณ์ภู่ หลวงสุนทรโวหารเป็นผู้แต่งครั้งเมื่อเป็นอาลักษณ์ถวายรับใช้แผ่นดินก่อน ”

ฮุนดีใจจนเนื้อเต้น  เมื่อยินนามอันอุโฆษ

“ ผมเคยพบท่านอาลักษณ์ภู่..

เขารีบบอกกล่าว

ลำจวนขมวดคิ้ว ทำหน้าระอา

“ คุยโตโอ้อวดอีกแล้ว.. ”

“ กระผมไม่เคยพูดไม่จริง  บุตรชายท่านกระผมก็รู้จัก กระผมเรียกขานว่า..พี่พัด ”

ฮุนหันไป ทำหน้ายืนยันกับทาสคนเรือด้วย ราวกับจะให้เป็นพยาน

สายตาลำจวนเปลี่ยนเป็นหยามหยัน สิ้นเชื่อถือทันที

“ โอ๊ย..ช่างกล้าแอบอ้างนะ พ่อ..ปล่อยเดี๋ยวนี้ ”

ฮุนสะดุ้ง เพิ่งรู้ตัว ว่าไปจับยึดเรือคนอื่นเขา  รีบปล่อยมือ

‘คุณเฉก’ พยักหน้าสั่งให้ทาสออกเรือทันที

เรือลำน้อยเคลื่อนออกไปรวดเร็ว พุ่งปราดเลียบฝั่งไปทางด้านหลังวังท่าพระ

ฮุนรีบลุกยืน ยืดร่างสง่า  ร้องตะโกนตามไปท้าทาย

“ กระผมไม่เคยโกหก  มาพนันกันไหม หากกระผมรู้จักท่านภู่ที่แต่งเรื่องพระอภัยมณีจริง  ท่านใต้เท้าจะให้อะไรผม ”

ลำจวนหันมา มองหน้าชายจีนผมเปียที่ลุกยืนเต็มตัว มองชะเง้อตามมาจากบนท่าเรือ

ทั้งสองคงมองจ้องดูกัน จนเรือเลี้ยวเลียบแนวเรือนแพและบ้านเรือนผู้คน บังตาจากกันและกันไปในที่สุด



Don`t copy text!