ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 10 : อย่าเล่นอย่างนี้สิวะ!

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 10 : อย่าเล่นอย่างนี้สิวะ!

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ธามทศนั่งตัวสั่นเทาบนเก้าอี้ทำงาน แม่งหนาวไปถึงกระดูกโดยไม่ได้ป่วยไข้ รู้สึกอยากจะอ้วกออกมาแทบทุกวินาที แต่ก็มีเพียงลมเรอออกมาเท่านั้น เฝ้าด่าตัวเองว่ามึงกำลังทำห่าอะไรอยู่ มึงมาทำอะไรในที่แบบนี้

แต่คำตอบนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงหน้าของหญิงคนหนึ่งในห้วงคำนึง ใจก็เริ่มสงบลง

จากนั้นจึงเดินปิดไฟทั่วห้องนี้ ก่อนจะกลับมาเปิดไฟที่โต๊ะของตัวเอง และเริ่มเปิดงานในคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทำเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน เวลาในขณะนี้คือห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที

ห้องทำงานใหญ่โต แม้แต่ละโต๊ะจะมีฉากกั้นตั้งอยู่หลังคอมพิวเตอร์ แต่ก็เป็นฉากค่อนข้างใสซึ่งมองทะลุไปได้ จากมุมขวาสุดของห้อง มองไปข้างหน้าเยื้องออกซ้ายมือ ไกลออกไปสักสามสิบเมตรคือประตูกระจกซึ่งทางเข้าหลัก

กฎหลอนคราวนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น มึงต้องผ่านไปให้ได้ ไอ้ธาม

ตริ๊ง! เสียงดังจากนาฬิกาตั้งพื้นขนาดสูงของแผนกดังขึ้นพร้อมกับนาฬิกาแบบแขวน เขาสะดุ้งสุดตัวเพราะไม่คาดคิดมาก่อน แต่ก็ต้องรีบข่มใจลงไม่ให้ลนลาน…เที่ยงคืนแล้วสินะ

ต้องผ่านไปให้ได้ ธามทศย้ำกับตนเอง

ก๊อกๆ

เสียงคนเคาะประตูดังมาจากทางประตูกระจก

เสียงเคาะนั้นเป็นจังหวะช้าๆ แต่รุนแรงพอที่เขาซึ่งนั่งริมห้องจะได้ยิน

ก่อนตีสามยังคงหันไปมองได้อยู่ แค่ห้ามเปิดเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ไม่หันไปจะดีกว่า

เขาตั้งใจทำงานต่อกระทั่งเสียงเคาะนั้นเบาลง เบาลง และเงียบไปในที่สุด

ทว่าสงบได้ไม่นาน ก็บังเกิดเสียงกดกริ่งหน้าห้องแทน เสียงกริ๊งของมันเกือบทำให้เขาหันหัวเอียงไปมองแล้ว แต่ก็เกร็งคอไว้ทัน

จากนั้นจึงบังเกิดเสียงเคาะสลับกับการกดกริ่ง ถี่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้จังหวะ มันสยองปนน่าอึดอัดและรำคาญใจ เขาจึงพยายามมองว่ามันเป็นดนตรีในรูปแบบหนึ่ง และได้ผล มันช่วยให้กลัวน้อยลงไปได้เยอะทีเดียว

งานตรงหน้ามาถึงส่วนของการคำนวณและการแยกประเภทสินค้า ธามทศเริ่มเพ่งสมาธิกับมัน ไม่ช้าก็ลืมไปว่ามีเสียงดังจากทางประตูอยู่

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องแหลมสูงจากกำแพงข้างขวาของโต๊ะ มันเป็นตำแหน่งของหน้าต่างที่ทำจากกระจกหนา

ด้วยความตกใจจึงหันไปมองทันที แน่ละว่านอกกระจกไม่มีอะไรนอกเสียจากความมืด แต่เงาที่สะท้อนกลับมานั้น มันสามารถส่องย้อนไปยังบริเวณประตูกระจกที่เลี่ยงไม่มองมาโดยตลอดได้

และภาพรางๆ ที่มองเห็นผ่านเงาสะท้อน คือเงาของคนที่มีผมยาว น่าจะเป็นสตรี กำลังนอนตะแคงอยู่บนพื้น ถัดออกไปคือเงาชายร่างใหญ่กำลังถือบางสิ่งที่คล้ายขวาน ยกง้างขึ้นฟ้า และสับลงมาที่ตัวของหญิงสาวผู้โชคร้ายอย่างรุนแรง

ทั้งที่ห้องมืดมิด มีไฟแค่เพียงโต๊ะของเขาเท่านั้น แต่กลับเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เสียงโหยหวนดังขึ้น เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนประตูกระจก

ไม่ ไม่ มันเป็นภาพลวงตา เขาบอกตัวเอง แต่กลับไม่อาจละสายตาจากหน้าต่างกระจกนั้นได้ และมันยังคงสับอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด

ผ่านไปสองนาทีจึงดึงสติให้หันหน้ากลับมาคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของสาขาที่ได้รับมอบหมายต่อ

ใจเต้นระส่ำไม่หยุด ในขณะที่นิ้วยังคงรัวแป้นพิมพ์ ไม่ไหวแล้ว ไม่สิ ยังไหวอยู่ เวลาในขณะนี้คือตีหนึ่งสิบนาที เป็นไงเล่า พอทำบัญชีแล้วเวลาผ่านไปเร็วเชียว ไม่ต่างจากช่วงยื่นงบหรือยื่นภาษีเลย

 

เวลาผ่านอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เขาเริ่มคุ้นชินแล้ว ยังมีเสียงเคาะจากประตูหรือเสียงร้องจากแถวหน้าต่างบ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่น่าหวั่นใจเท่าช่วงแรก

ทว่าเมื่อคลายความตึงสมองลง โทรศัพท์มือถือที่ควรจะถูกปิดไปแล้ว กลับดังขึ้นจากในลิ้นชัก

ห้ามหยิบมาเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด

แต่เสียงและแสงที่แวบออกมาจากในลิ้นชักนั้นดังขึ้นทุกที และเขายังจำกฎข้อนั้นได้อยู่

แต่ท่านไม่ควรเปิดแสงให้สว่างเกินไป และไม่ควรเปิดเสียงดังรบกวนเจ้าของห้องแห่งนี้

ต้องหยิบขึ้นมาแล้วตัดสายสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่าติดต่อกับใครด้วย

คิดได้เช่นนั้นจึงรีบเปิดลิ้นชัก แต่ยังคงพยายามให้เงียบที่สุด ก่อนจะพบว่ามือถือนั้นเปิดอยู่จริงๆ แต่พอจะเอื้อมมือไปกดตัดสาย สายตาก็ดันไปเห็นชื่อผู้ที่ติดต่อเข้ามา

วินิมัย

เขาเบิกตากว้างขนาดตัวเองยังรับรู้ได้เลย มัยติดต่อมาทำไม รู้เบอร์นี้ได้อย่างไร หรือเป็นแค่กลลวงของกฎแห่งสถานนี้

เสียงเพลงยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานั้นเองทีรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนยืนอยู่ด้านหลัง สัมผัสได้ถึงความโกรธแทบจะกินเขาเข้าไปทั้งเป็น

‘คนคุมห้อง’ กำลังไม่พอใจ!

นิ้วแข็งไปหมด แน่นจุกอกหายใจไม่ออก และเย็นท้ายทอยถึงขั้นปวดไปถึงสันหลัง รู้สึกเหมือนตาจะถลนออกมาจากแรงดันในหัว

ธามทศรีบกลั้นใจแล้วตัดสายทิ้งทันที เป็นเวลาเดียวกับที่แรงกดดันด้านหลังค่อยๆ ผ่อนลง และหายไปอย่างเชื่องช้า

ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร วินิมัยไม่ได้โทร.มา หรือหากโทร.มาจริงก็ไม่ได้รับสาย เขายัดมือถือใส่ในกระเป๋ากางเกง

และราวกับจะฆ่ากัน หลอดไฟตั้งโต๊ะตรงหน้าเริ่มกะพริบช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะขึ้นเล็กน้อย

เกิดเป็นความมืดสนิทสลับกับความสว่างของหลอดไฟในระดับเหนือสายตา

ห้ามหันไปมองทางไหนเด็ดขาด

นั่งทำงานต่อ เพ่งสายตาไปที่งานตรงหน้าเท่านั้น อย่ามองเหนือคอมพิวเตอร์และฉากกั้นออกไป เขาพร่ำบอกตนเอง

แต่แล้วก็มีเสียงเรียกของหญิงสาวจากหน้าประตูกระจก พร้อมเสียงเปิดประตูดังเอี๊ยด

“ธาม ช่วยเราด้วย…”

เสียงของวินิมัย!

“เราไม่น่ามาหาเลย ช่วยด้วย”

ธามทศลุกขึ้นไปมองประตูกระจกด้วยสัญชาตญาณ มองหาหญิงสาวที่ไม่ได้พบหน้ากับตั้งแต่สมัยเรียน แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด

แม่งเอ๊ย อย่าเล่นอย่างนี้สิวะ

เขานั่งลงและพยายามตั้งสมาธิทำงานต่อ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงจากโต๊ะทำงานด้านซ้ายมือว่า “เงียบหน่อย…”

เสียงที่ทะลุผ่านฉากกั้นด้านข้างนั้นเรียบ เย็นเยือก แต่แฝงด้วยความขุ่นใจ

ตัวแข็งเกร็งในทันที ใครกัน! ผู้คมห้องงั้นหรือ

แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ตอบออกไป โคมไฟทำงานได้ปกติตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ สูดหายใจเข้าออกพร้อมใส่ตัวเลขในคอมพิวเตอร์ จากนั้นสมองจึงเริ่มได้รับออกซิเจนมากพอให้คิดอะไรออก มองไปที่ประตูก็ไม่พบอะไรผิดปกติ และไอ้ตัวด้านซ้ายที่กำลังนั่งดีดเครื่องคิดเลขอยู่คือใครกันวะ ไฟบนโต๊ะข้างๆ ก็ไม่ได้เปิด

ผู้ใช้บริการรายอื่นงั้นหรือ ไม่จริงน่ะ

ธามทศหลุบสายตาดูเวลาบนหน้าจอ ตีสามสิบนาที

ผ่านตีสามมาตั้งแต่แต่เมื่อไรกัน แล้วเขาหันไปที่ประตูกี่รอบแล้ว

คราววินิมัยก็รอบหนึ่ง เมื่อครู่ก็อีกรอบหนึ่ง เท่ากับว่าจะหันไปดูประตูไม่ได้อีกแล้ว มันเสี่ยงเกินไป

ผู้ใช้บริการรายอื่นส่งเสียงไม่พอใจ “รบกวนไม่เขย่าขา” เสียงนั่นฟังไม่ออกว่าเพศอะไรหรือวัยใด

อ้าปากจะตอบขอโทษ แต่แล้วก็หุบปากลง ห้ามสนทนากลับโว้ย

โชคดีที่มีเสียงเปิดประตูเมื่อครู่ นั่นแสดงว่ายังทำงานต่อไปได้สินะ

ทว่าผ่านไปครู่เดียวเท่านั้น ผู้ใช้บริการที่นั่งข้างๆ ก็เริ่มมีท่าทีฉุนเฉียวขึ้น จากเดิมที่ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ บัดนี้เริ่มใช้นิ้วกดกระแทกเครื่องคิดเลขดังปึก ปึก

ก่อนจะทุบด้วยสองมือดังปัง ได้ยินเสียงอุปกรณ์นั้นแตกกระจายออก แต่การทุบก็ยังไม่หยุด กระทั่งมีของเหลวบางอย่างกระเซ็นมาติดฉากกั้นใสๆ ที่แบ่งระหว่างโต๊ะของเขากับมัน

อยากจะลุกไปตบหัวแต่ก็กลัวตาย ท่าทางจะดุเอาเรื่อง แม้แต่เขาที่ฝึกฝนร่างกายมาอย่างดีตลอดหลายปีก็ยังไม่อยากเสี่ยงมีปัญหากับพวกมัน หากเป็นไปได้ก็อยากจะจบเรื่องนี้โดยไม่ต้องใช้กำลัง

แต่ดูท่าจะยังซวยไม่สุด เพราะจู่ๆ โคมไฟของโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าเขาก็สว่างขึ้น มองทะลุฉากออกไปตรงๆ จะเห็นเงาตะคุ่มนั่งหันหลังให้ท่ามกลางความมืด

-ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือมีผู้เข้าใช้บริการคนอื่นในห้อง โดยที่ท่านได้ยิน/ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู แล้วในเวลาต่อมากลับมีเสียงเปิดประตูอีกครั้งหนึ่ง นั่นเท่ากับว่าในห้องนี้ มีสิ่งสิ่งนั้นอยู่ถึงสองตน

หากเป็นเช่นนั้น ขอให้ท่านรีบพุ่งไปที่ประตูกระจกหน้าแผนกให้เร็วที่สุดเช่นเดียวกัน แต่โอกาสรอดนั้นริบหรี่มาก

เชี่ยแล้ว” ธามทศสบถออกมา เขาได้ยินเสียงเปิดประตูเพียงครั้งเดียว นั่นแสดงว่าหนึ่งในนี้เข้ามาโดยไม่มีเสียงเปิดประตู

มีผู้ใช้บริการสองตน หนึ่งในนั้นกำลังโกรธด้วย มันคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

ธามทศไม่สนห่าอะไรแล้ว รีบลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้ววิ่งไปตามแนวกำแพงขวามือทันที

ด้านซ้ายมีหนึ่งตัว ด้านหน้ามีอีกหนึ่ง ยังไงก็หนีไม่พ้น ถ้าวิ่งไปทางซ้ายตัดหน้าตัวที่ดีดเครื่องคิดเลขอาจจะถึงประตูเร็วกว่า แต่เห็นความโกรธกริ้วของมันแล้วจึงไม่กล้าเสี่ยง ตัวตะคุ่มด้านหน้าน่าจะโอเคที่สุด

เมื่อวิ่งผ่านขวามือของโต๊ะด้านหน้า ร่างตะคุ่มนั้นก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งตามมาทางด้านหลัง เดาได้เลยว่าไอ้ตัวขี้หงุดหงิดนั่นก็ตามมาเหมือนกัน

จากหลังสุดของห้อง ต้องผ่านโต๊ะทำงานหกแถว เมื่อมาถึงแถวระหว่างแถวที่สามและสี่ ก็พบว่ามีอะไรยืนจ้องอยู่ตรงหน้า

ลุงที่เคยให้อ่านกฎในห้องนี้นั่นเอง บัดนี้ร่างแกร็นนั้นเน่าเปื่อยเกือบทั้งตัว แต่กลับยืนจ้องด้วยแววตาที่กลายเป็นสีแดงก่ำ

“จะไปไหน…อย่าวิ่งในห้องทำงาน…”

เชี่ยเอ๊ย เขาเบรกไม่ได้แล้ว ด้านหลังก็มีอะไรสองตัววิ่งตามมาอยู่ จึงตั้งใจจะชนลุงแม่งให้ล้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องตอบอะไร

หากพบคนคุมห้องและเขาสอบถามว่าจะไปที่ใด ขอให้ท่านตอบไปว่าไปห้องน้ำ หรือเอ่ยประโยคใดก็ตามที่สื่อว่าท่านไม่ได้กำลังจะเลิกงาน

เลยตีสามแล้วคงบอกจะไปห้องน้ำไม่ได้

“ขอวิ่งยืดเส้นยืดสายหน่อย จะได้ทำงานต่อครับ”

ลุงที่ได้ยินคำตอบผงกหัวที่เกือบจะขาด ก่อนจะหลีกทางให้ เป็นช่วงที่ธามทศวิ่งผ่านไปพอดี ก่อนที่หางตาจะเห็นลุงเดินกลับไปยืนที่เดิม และถามผู้ใช้บริการอีกสองคนที่กำลังวิ่งตามมาด้วยคำถามเดียวกัน…

ส่วนเขานั้นหักเลี้ยวซ้ายวิ่งไปถึงประตูกระจกแล้วเปิดออกสุดแรง พลางแอบมองเวลาบนนาฬิกาตั้งพื้น

ตีสี่ครึ่ง!

เท่ากับว่าเขาออกก่อนเวลาหกโมง แต่ต้องไปแล้ว

ธามทศวิ่งออกจากห้อง ผ่านหน้าลิฟต์และลงบันไดสู่ชั้นล่าง มันอยู่บนชั้นหก

ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากด้านหลัง จึงหันไปดูเพื่อประเมินสถานการณ์ แล้วก็ต้องสบถอีกครั้ง

ซากศพเละๆ ทั้งสามกำลังวิ่งชนประตูกระจกดังปึงๆ หนึ่งในนั้นคือผู้คุมที่กำลังโกรธ อีกสองน่าจะเป็นผู้ใช้บริการ และทั้งสามกำลังโกรธเขาอยู่

ครู่เดียวประตูกระจกก็เปิดออก พวกมันจึงวิ่งมาทางเขาพร้อมยื่นสองมือจะมาคว้าไว้

เขาลงบันไดต่ออย่างว่องไว แต่พอมองเห็นที่ชั้นล่างสุดก็สิ้นหวังโดยพลัน สุดทางของบันไดมีฉากกั้นเหล็กที่ถูกเลื่อนสนิทปิดจากด้านบน ล็อกกุญแจไว้แน่นหนา คงเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดอาคาร ส่วนด้านข้างนั้นเป็นกำแพงทึบ

กระจกที่ติดตามมุมของอาคารนั้นก็ทุบไม่แตก เสียงกระหายเลือดจากศพจากทั้งสามกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว ธามทศยืนนิ่งกลางบันไดชั้นสอง หยิบปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท ไม่คิดว่าจะได้ใช้ เขาสูดหายใจ จัดแจงหยิบยากระตุ้นแบบเม็ดที่พกมาใส่ปาก และเตรียมตัวเตรียมใจในการเอาชีวิตรอดให้ได้ถึงเช้า

 



Don`t copy text!