ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 24 : เรื่องราวในอดีต

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 24 : เรื่องราวในอดีต

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ธามทศเล่าเรื่องในอดีตให้ทั้งสองฟังด้วยสีหน้าที่ยากจะบรรยาย ในมุมหนึ่งของสายตา เขาดูรู้สึกผิดกระทั่งเธออยากจะเข้าไปกอด

“หลังจากเขียนกฎนั้นเสร็จ ฉันก็หนีออกมาบ้านแห่งความรักตั้งแต่อายุสิบขวบ พออายุถึงก็หาช่องทางในการเปลี่ยนชื่อนามสกุล ทำเรื่องผิดกฎหมายเพื่อเอาชีวิตรอด เคยคิดเหมือนกันว่าจะถูกตามตัวกลับไปเชือด แต่ก็ไม่มี…ไม่มีใครไล่ตามฉันเลย จึงคิดไปเองว่าไม่มีใครสนใจฉันสักคน”

แต่ความจริงคือธุพาณอาการหนักตั้งแต่ตอนนั้นสินะ วินิมัยเข้าใจแล้ว ดิวาห์เองก็คงวุ่นหัวหมุนตั้งแต่ตอนนั้น

“หลายปีต่อมาเกิดเรื่องที่ทำให้รู้ว่ากฎพวกนั้นมีผลขึ้นมาจริงๆ ฉันจึงรีบติดต่อไปหาพ่อเลี้ยงทางอีเมล แต่คนตอบกลับกลายเป็นพี่ดิวาห์”

“เรื่องที่ว่านั่นคืออะไร” กานต์ถามขัด แต่ธามทศไม่ยอมตอบ

“พี่ดิวาห์ใจเย็นมาก เขาบอกว่าในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมฝ่ายบัญชีของบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง กับลิฟต์ของสถาบัน UHRR จึงเกิดอาถรรพณ์เกี่ยวกับกฎพวกนี้ขึ้น”

ภายหลังจากหกโมงเช้าแล้ว ท่านสามารถเลิกงานได้ตามประสงค์ หรือจะทำงานต่อก็ได้ตามสะดวก แต่เราแนะนำให้ท่านกลับไปพักผ่อน โดยท่านสามารถติดต่อหาคุณดิวาห์ได้ทุกเวลาหลังออกจากแผนกแล้ว เขาจะทำการลงทะเบียนให้ท่านลางานในวันนั้นได้โดยไม่ถูกตัดค่าจ้างแต่อย่างใด

“ดิวาห์จึงใส่คำแนะนำเพิ่มเข้าไปในกฎของแผนกบัญชีสินะ”

“ใช่ จากนั้นฉันกับพี่ก็เริ่มวางแผน โดยเริ่มจากเรียนให้จบคณะบัญชี เพื่อจะได้มีสิทธิ์ในการเข้าสมัครงานที่คอนน์ รีเทลลิ่ง และฝึกฝนร่างกายอย่างหนักให้พร้อมเอาชีวิตรอดจากกฎ ส่วนพี่ดิวาห์ก็สนับสนุนเรื่องต่างๆ รวมถึงการบีบให้ UHRR รีบซ่อมแซมส่วนที่โดนไฟไหม้ โชคดีที่ทางสถาบันนั้นมีโครงการปรับปรุงอยู่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมดิวาห์ไม่ช่วยให้มากกว่านี้ล่ะ หลายครั้งก่อนหากพวกเราไม่ไปพบธาม ธามคงตายตั้งแต่แรกแล้ว หรือว่า…”

“ใช่แล้ว พี่ดิวาห์จงใจให้เฮลป์เปอร์เข้ามายุ่งตั้งแต่แรก เพราะจะช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น ตัวเขาเองก็มีธุระต้องจัดการมากมาย หากออกตัวมากไปแล้วเกิดเรื่อง กิจการทั้งหมดมีหวังล่มตามกัน”

ว่าแล้วธามทศก็เริ่มลุกขึ้นมาแต่งตัวอีกครั้ง ต่างกันที่ไม่แก้ผ้าแบบคราวก่อน แต่กลับไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำแทน

“รู้มาก่อนหรือเปล่าว่าคุณมัยทำงานในเฮลป์เปอร์” กานต์ตะโกนถามเข้าไป

และเสียงดังกังวานถูกส่งตอบกลับออกมา “สาบานได้ว่าไม่รู้”

ธามทศเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเดินออกจากห้องน้ำ สีหน้าไม่สู้ดี “ฉันไม่เคยต้องการให้มัยเป็นอันตราย สาบานได้เลย…และเอาเข้าจริง พี่ดิวาห์เองก็คงเกลียดฉันมาก แค่ต้องใช้ประโยชน์ในการช่วยพ่อเลี้ยงและพี่น้องคนอื่นเท่านั้น อาจคิดในใจว่าเมื่อจบเรื่องแล้วฉันน่าจะตายไปได้ก็ดี”

“ถ้าให้เดา ไอเดียการล่ากฎพวกนี้เป็นของนายใช่ไหม”

“ใช่ พี่ดิวาห์มองว่าการปลุกธุพาณขึ้นมาคือทางสู่หายนะ แต่ว่า…ฉันทำใจไม่ได้เอง ฉันเฝ้าโทษตัวเองหลังจากที่รู้เรื่องอาการของพี่น้องและพ่อเลี้ยง”

“อาคนนั้น น้องสาวของธุพาณ คนที่หลอกให้ธามเขียนกฎเข้าไป เธอมีชื่ออะไรหรือ”

อดีตคนรักขมวดคิ้ว “ชื่อพินธา…ทำไมหรือมัย”

แค่นั้นแหละที่เธอและกานต์ต้องหลับตาเพราะความตึงในสมอง ใช่จริงๆ ด้วย

 

สิบนาทีต่อมา ทั้งสามคนอยู่ในลิฟต์ที่กำลังไต่ขึ้นชั้นบนของอาคาร เตรียมตัวไปยังห้องของประธานพินธา ด้านนอกอาคารมืดสนิทแล้ว

ธามทศที่เพิ่งทราบว่าพินธาคือหัวหน้าของเฮลป์เปอร์ กล่าวในลำคอราวกับพูดให้ตัวเองฟัง “ที่อาสร้างเฮลป์เปอร์ขึ้นมา อาจเพราะต้องการไถ่บาปที่หลอกให้พวกเด็กๆ สร้างกฎขึ้นมาสินะ”

กานต์กับวินิมัยไม่ได้แสดงความเห็นในประเด็นนี้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธ

วินิมัยเห็นธามทศกุมขมับ ดิวาห์เองก็ไม่ได้บอกอะไรเขาทุกอย่าง ดูท่าว่าคนที่วางยาในอาหารเมื่อคราวก่อนก็คงเป็นพินธาเองนั่นแหละ

เมื่อเข้ามาที่ห้องก็พบว่าไม่มีใครอยู่ เลขาฯ หนุ่มหล่อของพินธาแจ้งว่าไม่พบตัวมานานแล้ว และไม่ทราบว่าออกไปเมื่อไรด้วย และเนื่องจากทำงานในวงการนี้มานาน เลขาฯ จึงทราบดีว่าผิดปกติแล้ว

 

เพราะมีวินิมัยมาด้วยจึงได้รับอนุญาตให้ค้นในห้องทำงาน และสิ่งที่พบก็คือสมาร์ตโฟนของพินธาที่หล่นอยู่ตรงใต้ตู้เก็บเอกสาร หน้าจอแตกกระจุย รวมถึงมีรอยครูดที่พื้นเป็นทางยาว

คงจะถูกพาตัวไปแล้ว กานต์สรุป และเขาก็เห็นด้วย

วินิมัยกล่าวอย่างใจเย็น “แต่ยังไม่ตายหรอก ไม่อย่างนั้นคงฆ่าทิ้งในห้องไปแล้ว ส่วนสมาร์ตโฟนนั่นน่าจะมีบันทึกพวกกฎต่างๆ ที่ธุพาณเขียน ฉันอยากรู้ว่ามันมีรายละเอียดยังไง โดยเฉพาะกฎของผีสองตัวนั่น” ว่าแล้วก็ส่งให้กานต์ลองค้นหาข้อมูลในเครื่อง

“รู้รหัสเข้าเครื่องงั้นหรือ” ธามทศถาม

กานต์ตอบว่าพอเดาได้ ส่วนวินิมัยเสริมว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้เก่งทุกด้าน รวมถึงเป็นคนช่างสังเกตด้วย จึงพอจะเดารหัสของพินธาออก

นั่นทำให้เขารู้สึกตึงๆ ในใจพอสมควร สองคนนี้ดูสนิทสนมกันเกินไป แต่ตนซึ่งเป็นคนทอดทิ้งวินิมัยเองก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไร

ภาพในมือถือนั้นมีบันทึกไว้ในอัลบั้ม มีกฎทั้งหมดแปดใบ

‘กฎแห่งการเลี้ยงดูเปรตนั้นอยู่แผ่นที่ ๗’ วินิมัยและกานต์อ่านจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง เพียงแค่อ่านดูก็คงเครียดขึ้นสมอง

ทว่าหลังเปิดอ่านไปมา กานต์เผลอหลุดเสียงออกมาเบาๆ “เอ๊ะ”

“ทำไมหรือกานต์” วินิมัยที่ดูแทบจะไม่มีสติแล้วถามขึ้น

“เปล่าครับไม่มีอะไร” กานต์โกหกออกไป เพราะแม้ในหัวเริ่มมองเห็นภาพทั้งหมดออกแล้ว แต่ยังเร็วไปที่จะพูดออกมา

ส่วนธามทศนั้นหยิบสมาร์ตโฟนจากมือกานต์ไปขยายภาพกฎข้อที่ ๗

“เพราะกฎที่ฉันเขียน ทำให้ผีทั้งสองตัวไม่มีแหล่งอาหาร มารู้ทีหลังก็ช่วงที่ติดต่อกับพี่ดิวห์แล้ว”

“ประธานเองก็มีส่วนรับผิดชอบนะ” วินิมัยทำลายความตึงเครียดด้วยประเด็นที่เครียดพอกัน และกานต์เองก็ยอมรับในข้อนี้ พอมาคิดดูแล้วจะโทษมันคนเดียวก็ดูไม่มีเหตุผลเท่าไรนัก

“ก็จริงของคุณมัย ธามทศในตอนนั้นก็ยังเด็กอยู่ด้วย”

“ว่าแต่ทำไมถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากพวกเราตรงๆ ล่ะ ทำไมถึงหนีไปเรื่อยๆ”

สีหน้าเด็กน้อยนั้นแจ่มแจ้งไม่อาจบิดบัง “เราไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนอีก พี่ดิวห์บอกให้ใช้ประโยชน์จากเฮลป์เปอร์ก็จริง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำคนเดียว ยิ่งมารู้ว่ามัยก็อยู่ในองค์กร เรายิ่งไม่อยากเสี่ยง ถ้ามัยเป็นอะไรไปเพราะเราอีกคน เรา…คงอยู่ไม่ได้แล้ว”

น้ำตาเริ่มคลอเบ้าของมัน กานต์เห็นแล้วหมั่นไส้ ใจหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าชายตรงหน้าไม่ได้น่ากลัวเหมือนสมัยก่อน แต่เป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโตมากกว่า

“ที่ธามขอเลิกกับเรา เพราะเรื่องพวกนี้ใช่ไหม”

ธามทศพยักหน้า ทั้งสองคุยกันเหมือนเขาไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย

“วันนั้นที่รู้ว่ากฎทำงาน เราจึงหนีจากมัย ไม่อยากให้รู้ด้วยซ้ำว่าเคยทำอะไรชั่วๆ ขนาดนั้น”

วินิมัยน้ำตาคลอเช่นกัน หลายปีที่เฝ้าโทษตนเอง บัดนี้คงได้คำตอบแล้ว

“เราอยากให้มัยมองเราเป็นคนดี อย่างที่มัยชอบชมเรา”

นั่นคงทำให้วินิมัยใจสั่น และเกือบจะอภัยให้ในทุกสิ่ง เขาบ่นเบาๆ ว่าตอแหล แต่ดูเหมือนวินิมัยยังมีอีกเรื่องที่อยากทราบคำตอบ

“แล้วทำไมเราถึงมองเห็นผีสองตัวนั่นด้วยล่ะ”

ธามทศใช้ฝ่ามือกุมหน้าซีกซ้าย “อาจเพราะว่ามัยกับเราสนิทกันมาก พวกมันเลยนับว่าเป็น…คนคนเดียวกันน่ะสิ ในอดีตเพื่อนของเราที่ชื่อโมนา ก็แอบไปเป็นเพื่อนกับเด็กนอกโครงการ และก็มีข่าวว่าเด็กคนนั้นถูกผีเปรตหลอกเอาเหมือนกัน”

เป็นคำตอบที่โคตรปวดใจ แม้รู้ว่ามันกับวินิมัยไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวกันเกินเลย แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี อย่างไรก็ตาม กานต์ไม่เชื่อในเหตุผลนี้สักเท่าไร แต่ยังไม่ใช่เวลาถกกันเรื่องนี้

“สิ่งที่ธามกำลังทำอยู่ มันอาจจะช่วยให้เพื่อนฟื้นขึ้นมาก็จริง แต่จากที่เรากับกานต์ไปดู…ถึงจะมีอยู่สองคนที่ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว แต่…”

“แต่ก็ยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอยู่ดีใช่ไหม”

“ใช่ ฉันกับคุณมัยยืนยันเรื่องนี้ได้ และสองคนที่ไม่มีเครื่องช่วยหายใจนั้น มีเสาน้ำเกลือกำลังถ่ายของเหลวอะไรไม่รู้เข้าร่างกายอยู่”

ธามทศหลับตาราวกับกำลังข่มความปวดร้าว “ดูจากกฎของการเลี้ยงผีเปรตและผีหญิงห่มเลือด บวกกับการที่ผีทั้งสองมีอำนาจมากขึ้นถึงขั้นทำร้ายคนเกือบตายได้ และเรื่องที่เพื่อนสองคนยังไม่ฟื้น คิดได้อยู่อย่างเดียว”

“การที่ธามเอาชนะกฎไปได้เรื่อยๆ คงทำให้ธุพาณกลับมามีสติและทำสัญญาใหม่กับพวกมัน”

“และจากนั้นธุพาณก็ใช้ยาหรือเครื่องมือบางอย่างกับเพื่อนของนายที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ตัวเองควบคุมผีสองตนได้มากขึ้น” กานต์พูดเองยังเสียวสันหลัง พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส นั่นคือสิ่งที่นักธุรกิจชอบทำอยู่แล้ว

“น่าจะใช่ เดิมทีผีสองตัวแทบไม่ได้มีตัวตนจับต้องได้ แค่มีหน้าที่ดึงดูดเงิน หากมีอันตรายก็จะคอยเตือนหรือตามไปหลอกหลอนศัตรูเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่อะไรที่พ่อเลี้ยง…ที่ธุพาณจะควบคุมได้อย่างอิสระขนาดนี้”

ทั้งสามหมดแรงจึงย้ายมานั่งที่โต๊ะยาวสำหรับกลุ่มพนักงานด้านนอก ไม่มีใครอยู่แล้วในเวลานี้

เขากดน้ำจากตู้มาให้ ของวินิมัยเป็นน้ำผักไม่เติมน้ำตาล ของธามทศเป็นน้ำเปล่า ส่วนตนนั้นซดกาแฟกระป๋อง

วินิมัยจิบน้ำผักแล้วมองไปทางธามทศ

“ธาม…ธามจะทำต่อใช่ไหม”

เสียงหวานของวินิมัยทำให้ใจของกานต์สั่น รู้ดีว่าใจไอ้ธามทศก็คงเหลวไม่แพ้กัน และคำตอบของมันนั้น เขาเองก็พอจะเดาได้อยู่

“เราคงต้องทำ จะปล่อยให้เพื่อนคนที่เหลือนอนอยู่อย่างนั้นไม่ได้”

“แต่ต่อให้ทำแล้วรอดกลับมาได้ เพื่อนพวกนั้นก็ไม่ฟื้นอยู่ดีเพราะยาที่พวกธุพาณใช้ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยนะ ไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร นอกจากตัวธุพาณเอง”

ทั้งสองเถียงกันแต่กลับใช้เสียงอ่อยอย่างน่าเวียนหัว กานต์เริ่มทนไม่ไหว แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

“ฉันจะลองคุยกับพี่ดิวห์ดู ไม่แน่ว่าพอพ่อเลี้ยงฟื้นตัวเต็มที่แล้ว อาจจะยอมปล่อยพวกโมนาไป”

“เขาจะไม่ปล่อยใครไปหรอก”

ธามทศหันมาทางเขา กัดฟันกรอด จากนั้นจึงหลบตา คงจะเถียงไม่ออก “ฉันเองก็แค้นในตัวพ่อเลี้ยงนะ แถมพอมารู้จากพี่ดิวห์ว่าเขาฆ่าคนไปมากมายแค่ไหนด้วยกฎที่เขาสร้าง ก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าเพื่อนๆ ของฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

“สรุปว่าก็ทำเพื่อให้ตัวเองสบายใจ” กานต์ประชด “ฉันกับคุณมัยเข้ามาในองค์กรนี้เพื่อช่วยเหลือคนจากกฎสยอง แต่ว่าถ้าช่วยแล้วเป็นผลให้ธุพาณมันแกร่งขึ้นและกลับมาไล่ทำร้ายคนอื่นไปด้วย ฉันไม่ช่วยดีกว่า”

“นั่นเพราะเรื่องพี่ชายนายด้วยใช่ไหม”

กานต์ไม่ตอบคำถามธามทศ พูดต่อโดยไม่ใส่ใจ ทั้งที่ในสมองแทบจะระเบิดแล้ว

“อย่างไรเสีย เราก็ต้องตามหาตัวประธานพินธา มีพนักงานอีกมากที่ต้องพึ่งพาท่าน” กานต์พยายามคุยอย่างมีสติที่สุด “นายจะทำอย่างไรก็ตามใจ เราไม่มีสิทธิ์จะห้ามหรอก แต่ฉันกับคุณมัยไม่เห็นด้วยและจะไม่ยื่นมือไปช่วยเด็ดขาด”

วินิมัยชะงักแล้วหันมามอง พึมพำว่าขอบคุณ กานต์เดาอารมณ์ลังเลของวินิมัยถูก เขาคงช่วยให้เธอตัดสินใจได้

“และขอพูดอะไรไว้อย่าง เมื่อธุพาณมองว่าเฮลป์เปอร์หมดประโยชน์กับภารกิจของนายแล้ว คิดว่ามันจะเก็บผลงานของประธานพินธาไว้บนโลกงั้นหรือ”

กานต์เค้นเสียงใส่มัน แต่ธามทศก้มหน้าไม่ยอมตอบอะไรแม้แต่คำเดียว

 



Don`t copy text!