ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 20 : ชีวิตคล้ายดาวตก

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 20 : ชีวิตคล้ายดาวตก

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

 

กานต์เห็นภาพบาดตา วินิมัยและธามทศยืนสวมกอดกันบนพื้นหน้าลิฟต์สีสนิม เจ็บปวดเหมือนถูกไฟเผาอก สงสัยจริงว่าความร้อนในใจกับเพลิงที่เขาเคยวางใส่สถาบันแห่งนี้อย่างไหนจะร้อนกว่ากัน ในสมองนึกย้อนไปถึงช่วงที่สูญเสียพี่ชายไปเพราะลิฟต์ตัวนี้

วันนั้นเมื่อสามปีก่อน ‘เกม’ พี่ชายที่แสนดีมารับเขาที่สถาบันกวดวิชาแห่งนี้ ชายผู้เพิ่งได้บรรจุเป็นนักบินเอกชนหมาดๆ มารับน้องชายเพื่อไปทานอาหารเย็น

เพราะน้องชายสุดห่วยนั้นยังทำข้อสอบไม่ผ่านเกณฑ์ภาษาระดับสูง จึงต้องติวเสริมยาวยันหกโมง เป็นเหตุให้พี่ชายต้องหาอะไรทำ และสิ่งที่เกมใช้ฆ่าเวลามาตลอดชีวิต มันคือการอ่านนิยาย

เกมไม่รอช้าเดินทางไปยังอาคารเรียนรู้ด้วยตนเองทันที และแน่นอนว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันนี้ต่างทราบถึงกิตติศัพท์ของลิฟต์ตัวนี้ ไม่มีใครใช้งานมันและเลือกที่จะเดินขึ้นบันได้แทน แต่ไม่ใช่กับเกมที่ไร้ซึ่งความสนใจต่อเรื่องพวกนี้ เขาเข้าไปในลิฟต์ประตูสนิม พร้อม ‘เสื้อยืดแขนสั้นสีกรมท่า’

และพี่ชายผู้แสนดีก็ไม่ได้กลับมาออกมาทั้งที่ยังมีลมหายใจ

ร่างของพี่เกมถูกพบในสภาพที่กานต์รับไม่ไหว หลังเสร็จพิธีศพ เขาไม่รอช้ารีบติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องทันที

‘ไอ้พวกเชี่ย ทำไมมึงถึงไม่ตัดไฟที่ลิฟต์เวรตัวนี้ ห่ะ’ นั่นคือหนึ่งในประโยคที่เขาด่ากราดใส่พวกมัน แต่ไม่มีใครสนใจ แย้งกลับมาเพียงว่า ‘คนที่เข้ามาในเขตสถาบัน ควรจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว’

กานต์ไม่รู้จะเถียงกับพวกไม่ยอมรับผิดอย่างไร มาทราบภายหลังว่าพวกมันมีเส้นใหญ่คอยหนุน และสิ่งเดียวที่เขาทำได้…คือล้างแค้น

วันต่อมาเพลิงก็กระหน่ำทำลายพื้นที่ของสถาบันไปเกินครึ่ง แน่นอนว่าเขาเป็นคนทำ ชายหนุ่มดีใจที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และนั่งฟังข่าวดีนี้อยู่ที่บ้านอย่างสงบ รอคอยให้เจ้าหน้าที่มาจับกุม

‘แต่ไม่มีใครมาสักคน’ สองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ กานต์มิได้ตั้งใจหนีความผิด แค่ไม่มีอารมณ์จะไปมอบตัว ทั้งที่ตนเพิ่งเสียพี่ชายไปก่อนหน้าเหตุเพลิงไหม้แท้ๆ ไม่ต้องเป็นนักสืบยังเดาออกเลยว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัย

แต่ไม่มีใครติดต่อมาเลย นอกเสียจากพินธา…

พินธาในชุดดำมาพบเขาที่หน้าบ้าน เมื่อเชื้อเชิญก็เข้ามานั่งจิบชาโดยไม่แสดงท่าทีคุกคามแม้แต่นิด ซ้ำยังชักชวนให้เข้าร่วมทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคม

วันต่อมา เขาก็กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของเฮลป์เปอร์ และตั้งใจลดการสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์จากกฎเฮงซวยพรรค์นี้อย่างเต็มกำลัง

 

ใจกลับมายังปัจจุบัน กานต์นั่งมองธามทศที่นั่งพิงหัวเตียงสีขาว สภาพเหนื่อยล้าเจียนสลบ วินิมัยนั่งอีกฝั่งของเตียง พยายามหลบสายตาเขา

ไม่ทราบเหมือนกันว่าที่หน้าหล่อๆ นั่นดูซีดเป็นผี เพราะความเจ็บปวดจากแผลทั่วตัว หรือเพราะเรื่องที่เขาเล่าออกไปกันแน่

“พี่ชายของนาย ชื่อเกมใช่ไหม…”

กานต์ไม่ออกเสียง เพียงพยักหน้า

“เขาตายเพราะกฎพวกนี้สินะ”

“ใช่…” กานต์เค้นคำพูดจากในคอ ใจหนึ่งกลัวจะหน้าแตกหากโพล่งอะไรในใจออกไป แต่ความโกรธนั้นเกินจะห้ามหักไหวแล้ว

“กฎพวกนี้ มาจากพวกธุพาณกับนายใช่ไหม”

วินิมัยตาเบิกกว้าง ดูท่าจะไม่ทราบเรื่องนี้ ส่วนเจ้าตัวธามทศนั้นหลับตาอย่างขื่นขม ท่าทางว่าเขาจะเดาถูก กานต์วางภาพของธุพาณที่สำเนามาจากหนังสือพิมพ์เก่าลงบนเตียง ตั้งใจให้วางพาดไปที่ขาของธามทศ

มันเป็นภาพที่ริลนามอบให้ในวันก่อน เธอลงทุนไปค้นข้อมูลนี้จากแหล่งข้อมูลเก่าในห้องสมุดของบริษัทการบินเอกชน ที่ซึ่งเกมเคยทำงานอยู่ เห็นว่าเคยได้ยินข่าวนี้มาก่อนในอดีต แต่ลือกันแค่ในวงการนักบินเท่านั้น

ริลนาทำงานด้านการตลาด แม้ได้ชื่อว่าเก่งในการค้นหาข้อมูลเป็นพิเศษ แต่ไม่คิดว่าจะหามาให้ได้จริงๆ ขอบคุณเท่าไรก็คงไม่พอ

ในภาพนั้น มีธุพาณในวัยเกือบสามสิบที่โทรมอย่างกับคนตายกำลังนอนขดในเปลสนาม สวมชุดขาดวิ่นที่จินตนาการไม่ออกว่าไปเจอกับอะไรมา ทว่าอ้อมอกนั้นกลับกอดกกบางสิ่งที่คุ้นตา

มันคือกระดาษปึกหนึ่ง ไม่หนามาก ถ้าให้คาดคงประมาณสิบกว่าแผ่นได้

“ดูเหมือนจะเป็นข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่จัดทำขึ้นภายในบริษัทการบินเท่านั้น จึงยังมีข่าวที่ถูกสั่งลบไปแล้วจากแหล่งภายนอกอยู่ด้วย เนื้อข่าวบอกว่าเมื่อยี่สิบเจ็ดปีก่อน กรรมการของคอนน์ อิเล็กทรอนิกซ์ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินส่วนตัวตกที่ประเทศ Q และสูญหายไปในป่าหลายสัปดาห์ ก่อนจะถูกคนพื้นถิ่นในชุมชนข้างเคียงมาพบเข้าในช่วงหาของป่า จากนั้นจึงเรียกทางการมาช่วยเหลือ” เขาชี้ที่อ้อมกอดของธุพาณซึ่งกำลังปกป้องปึกกระดาษราวกับลูกในไส้

“สิ่งที่พ่อบุญธรรมของนายกำลังกอด ‘มันคือสิ่งที่ฉันเคยเห็นในกระเป๋าสะพายของนาย’...

 

ธุพาณ คอนเนอร์ในวัยเกือบหกสิบนั่งมองไปยังร่างน้องสาวที่สลบอยู่บนเก้าอี้ ถูกมัดอย่างกับนักโทษอุกฉกรรจ์ มีร่องรอยการถูกทำร้ายโดยผีเปรตและผีหญิงห่มเลือด แต่นั่นยังไม่พอกับสิ่งที่พินธาเคยทำกับเขา

“อือ” เสียงในลำคอของพินธาดังขึ้น ทำให้ธุพาณทราบว่ามันได้สติอีกครั้งแล้ว ตามมาด้วยเสียงเพรียกที่เปี่ยมความโหยหา “พ่อคะ แม่คะ”

เขาขบปากดังกรอด มันเป็นเสียงเรียกผู้ปกครองของเขาและพินธา ยายน้องสาวส่งเสียงไม่ต่างกับวันที่มันรอดตายจากกฎสยองในวัยเด็ก

สมองของเขายังทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่เสียงนั่นกลับชวนให้ฝันร้ายย้อนกลับมาเป็นฉาก ไล่เรียงสลับไปมาน่าปวดหัว

เด็กชายคนนี้จะมีชีวิตคล้ายดาวตก สุกสกาววูบเดียวแล้วก็หล่นร่วงจากฟ้า ขับเคลื่อนด้วยความหยิ่งผยองและความประมาท เป็นสันดานที่แก้ไม่หายและไม่ยอมแก้

คำทำนายที่เย็นชาและโคตรเสียดแทงใจนี้คือสิ่งที่พ่อและแม่พ่นออกมาประจำ พวกเขาเชื่อหมอดูหญิงคนนั้น และมองว่าธุพาณจะไปไม่ถึงจุดสูงสุด หรือถ้าถึง ไม่นานก็จะร่วงลงมา

ไร้สาระ ดาวตกมันก็พุ่งไปทางทิศทางของมัน ไม่ใช่หล่นจากฟ้าสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยประมาท ที่กิจการผลิตโดรนนั่นล้มเหลวก็เป็นเพราะโชคไม่ดีและขาดคนเก่งๆ สนับสนุนต่างหาก

เขาเป็นที่สองเสมอในบริษัท ทุกอย่างถูกพ่อและแม่ประเคนให้พินธา…

แต่ชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อเขาในวัยหนุ่มได้รู้จักกับกฎหลอนตามสถานที่ต่างๆ ไม่นาน ‘ยายน้องสาวกับพ่อแม่ก็หายตัวไป’ ถูกผู้ไม่หวังดีหลอกให้ไปที่บ้านร้างแห่งหนึ่งซึ่งมีอาถรรพณ์ และพวกนั้นคงทำตามกฎไม่สำเร็จ

นั่นคือสิ่งที่เขาคิด ซึ่งก็พลาดไปบางส่วน

พินธารอดกลับมาในหกวันต่อมา มันรอดจากกฎมาได้ แต่แลกกับอาการช็อกกระทั่งลืมเรื่องราวทั้งหมด เขาคิดว่ามันจะไม่เป็นภัยต่อเขา แต่ก็คิดผิดไปไกล…

ดอกปักษาหวนรังที่วางประดับไว้บนโต๊ะทำงานของพินธา ดูท่าว่าจะทำงานตามที่ร่ำลือกันมา เขาเป็นคนวางไว้เอง…ไม่คิดว่านังน้องสาวจะรอดกลับมาจริงๆ รู้เช่นนี้ไม่แกล้งทำตัวเป็นห่วงเป็นใยจะดีกว่า

เขาในตอนนั้นเพิ่งจะยี่สิบเก้า ก้าวมาทำหน้าที่ประธานของบริษัท คอนน์ อิเล็กทรอนิกซ์ แทนพ่อและแม่อย่างภาคภูมิ

ทว่าด้วยภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจ กิจการเริ่มประสบปัญหาการเงินอย่างรุนแรง น้องสาวที่อยู่ในสภาพเหม่อลอยสลับกับคลุ้มคลั่งชั่วคราวก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้…

หลายคนบอกว่าปัญหาเกิดจากความใจร้อนและไม่ฟังใครของเขา แต่ธุพาณมองว่าเป็นเพราะตนขาดที่พึ่งพามากกว่า

อำนาจมาถึงมือเขาช้าเกินไป และมาในวันที่สาย เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลยทั้งที่ตนมีความสามารถสูง…

สิ่งเดียวที่ปลอบอารมณ์ให้สงบคือการเดินทางไกลโดยใช้เครื่องบินส่วนตัว เขาให้คนนำไปจอดในสนามบินบริเวณชายแดนประเทศ C จากนั้นจึงเดินทางไปรับเครื่องที่นั่น และขับไปยังประเทศ Q ที่อยู่ข้างเคียง

บริเวณนั้นเป็นป่าเขาสีเขียวอมส้ม แทบจะมองได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกะพริบตา

สวยงามนัก ภาพของพื้นที่ป่าเขตร้อนที่เขามองจากบนฟ้า มันช่างพาให้ใจชื้นขึ้น แม้จะได้ชื่อว่าเป็นป่าที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ก็เถอะ แต่ถ้าไม่ลงไปก็ไม่มีอันตรายอะไร ตั้งแต่เด็กแล้วที่ตนมองว่าความกลัวคือเครื่องมือที่มนุษย์ควรนำไปใช้ บัดนี้ก็ยังคงความคิดเดิมอยู่

เขาเคยอ่านบทความการแพทย์ที่กล่าวว่าสีเขียวช่วยผ่อนคลายสมอง และพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าเป็นความจริง ตัดสินใจได้ในทันทีว่าหลังจากทริปนี้ ตัวธุพาณจะขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง และให้คนที่มีความสามารถมาดูแลกิจการแทน ส่วนตนจะหลบลี้หนีหายไปถาวร อาจจะใช้มีดสักเล่มปาดที่คอหอย หรือฝังลูกตะกั่วเข้าที่ขมับซ้าย แต่ตัวเลือกนี้ยังไม่ตัดสินใจ อาจเพราะยังกลัวความตายอยู่

ทว่าแผนที่วางมักพลาดเสมอ จุดจบมักมาเยือนเร็วกว่าที่คาดไว้ เมื่อเครื่องยนต์คู่ใจนั้นดับลงกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งทะยานตามแรงโน้มถ่วงลงสู่ป่าเบื้องล่าง

ไม่มีทางรอด และเขาก็ไม่ได้กระทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการเอาชีวิตรอดเช่นกัน เพียงหลับตารอคอยความตายเท่านั้น

ทว่าธุพาณกลับฟื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าตนกำลังนอนเดี้ยงอยู่บนพื้นดินนุ่มๆ สายตามุ่งไปที่ตรงหน้าเห็นภาพท้องฟ้าสีทะมึน ต้นไม้สูงเติบโตอยู่รอบกาย แต่มิได้แออัดพอจะช่วยเป็นเปลพยุงหรือรองรับแรงกระแทกจากความสูงระดับนั้นได้หรอก

ไม่มีอารมณ์จะหาสาเหตุ ธุพาณลุกขึ้นมาเผชิญกับอากาศร้อนชื้นในยามเย็น สำรวจพบว่าตนมิได้บาดเจ็บหนัก แต่ก็มีเลือดออกหลายจุด กลิ่นของเลือดอาจดึงดูดสัตว์ใหญ่ หรือที่น่ากลัวกว่าคือแมลงและแมงนับพันชนิด เขาต้องห้ามเลือดและล้างแผล

เดินมาพักหนึ่งก็พบว่าท้องฟ้าสว่างขึ้นพอควร แต่ยังคงห่างไกลจากคำว่าสดใส ไม่พบแหล่งน้ำหรืออะไรที่ปิดแผลได้เลย สัมภาระติดตัวมีเพียงเสื้อผ้าชุดนักบินสีเทาที่นุ่งห่มเท่านั้น

หัวใจเริ่มระวังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งวกกลับมาจุดเดิมที่ฟื้นสติ เริ่มนึกขึ้นได้ว่าไม่พบซากของเครื่องบินส่วนตัวด้วยซ้ำ ไม่มี ไม่มีแม้เสียงนกร้องหรือเสียงแมลง ความเงียบงันทำให้เขาเริ่มจะคลั่ง

และเมื่อสิ้นหวัง หัวใจเรียกร้องให้วิ่งเตลิดเพื่อระบายความหดหู่ ก่อนจะหกคะมำลงใส่กองโคลนเพราะรากไม้ใหญ่บนพื้น

ธุพาณลุกขึ้นพลางใช้ฝ่ามือปัดดินโคลนออกจากใบหน้า เมื่อสายตาสว่างขึ้นจึงพบว่าตนมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นตา ต้นไม้มีสีสันที่ต่างจากเดิม ดอกไม้โดยรอบนั้นกลายเป็นสีเลือด ป่าที่เคยเงียบสงัดอย่างผิดธรรมชาติบัดนี้กลับมีเสียงครืดคราดที่ฟังดูน่าสยองจากรอบกาย

และเมื่อมองตรงไปในป่า ถัดไปจากกลุ่มต้นไม้สูงใหญ่สีแดงชาด เขาพบว่ามีรูปปั้นยืนตระหง่านอยู่บนฐานสีขาว

อะไรดลใจไม่ทราบจึงเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ เมื่อถึงระยะสายตามองถนัดก็พบว่าเป็นรูปปั้นหินปูนทรงมนุษย์ผมยาวที่ห่มกายด้วยผ้าพลิ้วไหว ดูจากใบหน้างดงามแล้วไม่อาจระบุได้ว่าเป็นเพศใด

ท่าทางของรูปปั้นนั้นราวกับกำลังปลดปล่อยอะไรบางอย่างจากหัวใจ เงยหน้างดงามขึ้นฟ้า สองมือผายออกจากช่วงเอว

แม้จะดูน่าตรึงตาตรึงใจกับฝีมือชั้นบรมครู มันดูทึบแสง แต่มองอีกมุมก็ราวกับจะมองทะลุได้ แม้ลายผ้าก็สลักออกมาสมจริง แต่อีกสองสิ่งที่ดูดสายตานั้นอยู่ที่ฐานของรูปปั้น มันถูกแกะออกเป็นทรงคล้ายเวทีแคบๆ โดยมีด้านล่างกว้างกว่าด้านบนพอสมควร และสูงจากพื้นประมาณเมตรห้าสิบได้ ส่งผลให้ตัวรูปปั้นมนุษย์หน้างามงดนั้นสูงค้ำหัวเขาเลยทีเดียว

และอีกสิ่งที่สนใจ คือกลุ่มตัวหนังสือที่ถูกแกะสลักลงบนฐานด้านหน้านั่นเอง

 

กฎการขอพรจากรูปปั้นหินกลางป่า Q

สวัสดี ท่านผู้หลงเข้ามายังส่วนที่ลึกที่สุดของป่าแห่งนี้

อย่าแปลกใจที่ท่านสามารถอ่านข้อความเหล่านี้ได้ ทั้งที่ไม่เคยพบเห็นภาษานี้มาก่อน

รูปปั้นตรงหน้าท่านคือรูปปั้นของพติ (กรุณาอย่าอ่านออกเสียง) อย่าเข้าใจผิด พติมิใช่เทพเจ้าให้ท่านบูชาหรือกราบไหว้ แต่พติเพียงต้องการให้พรหนึ่งข้อแก่ผู้ที่มาพบรูปปั้นนี้ ทั้งมาพบโดยบังเอิญหรือตั้งใจ การพบกันครั้งนี้จึงนับว่าเป็นโชคแก่ตัวท่านเองยิ่งนัก

ขอกล่าวอีกประเด็นก่อนจะเข้าสู่กฎของการขอพร อย่างที่แจ้งไว้ข้างต้น พติมิใช่เทพเจ้า หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิต (และไม่มีชีวิตในเวลาเดียวกัน) จากนอกสถานที่ที่ท่านไม่อาจเข้าใจ ไกลกว่าทุกมิติที่พึงมี และไกลยิ่งกว่านั้น

อย่าได้หวาดกลัวหรือดูถูกดูหมิ่น เพียงแค่ทำในสิ่งที่เรากำลังจะแนะนำก็เพียงพอแล้ว จำไว้ว่าพติบันดาลได้มากกว่าทุกสิ่ง ทำได้มากกว่าทุกอย่าง แต่จงพึงระวังในสิ่งที่ท่านขอ และทำตามกฎอย่างเคร่งครัด

กฎในการขอพรข้อที่

๑. หลับตา ห้ามขอพรเวลาลืมตาโดยเด็ดขาด หากท่านยังอยากมองเห็นอยู่

๒. ท่านจะสามารถขอพรได้เพียงหนึ่งข้อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเสริมรายละเอียดของพรได้ เช่น วัน เวลา สถานที่ หรือแม้แต่เงื่อนไขต่างๆ แต่ต้องไม่ใช่การร้องขอพรอีกข้อ รายละเอียดที่เสริมต้องสอดคล้องกันกับพรข้อนั้น มิเช่นนั้นจะถูกนับเป็นสองข้อทันที

๓. หากท่านเผลอขอพรข้อที่สอง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ จะมีสายลมหนาวถึงกระดูกพัดผ่านร่างของท่าน ให้ท่านรีบยกเลิกพรข้อสองทันที

ถ้าพติเมตตา ท่านอาจจะรอดและได้รับพรข้อแรก แต่หากไม่…จะมีสายลมพัดผ่านอีกครั้ง และนั่นจะเป็นวินาทีสุดท้ายในชีวิตของท่าน จะไม่มีใครพบศพท่าน อันที่จริง ท่านจะไม่เคยมีตัวตนมาก่อนอีกเลย

๔. ท่านไม่จำเป็นต้องพนมมือหรือจุดธูป หรือหากจะทำก็ไม่เกิดผลร้ายอะไร แค่คิดสิ่งที่ต้องการไว้ในหัวก็พอ ไม่ต้องกังวลนักว่าจะเผลอขอผิดหรือฟุ้งซ่านคิดอะไรที่ไม่ควร ท่านสามารถแต่งเติมรายละเอียดหรือยกเลิกรายละเอียดของพรที่ท่านขอได้ หากเผลอขออะไรที่ไม่เข้าท่า ก็แค่บอกในหัวว่าขอตัดทิ้งในส่วนนั้นๆ

๕. หากท่านได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหูระหว่างขอพร ขอให้ท่านปฏิบัติตามนี้

๕.๑ หากเสียงนั้นเกี่ยวข้องกับการขอความช่วยเหลืออ้อนวอนหรือกล่าวทักทายในเชิงบวก ขอให้ท่านไม่ต้องใส่ใจ เสียงเหล่านั้นจะเงียบหายไปเองหากท่านนิ่งพอ โดยท่านสามารถขอพรต่อได้เลยมิได้รอให้เสียงนั้นจางลง

อย่างไรตาม ไม่แนะนำให้ท่านโต้ตอบหรือสนทนากับเสียงเหล่านี้ มันไม่มีผลร้ายอะไรหรอก แต่ท่านอาจจะเสียสมาธิในการขอพรได้

๕.๒ หากเสียงนั้นเป็นเสียงสาปแช่ง ด่าทอ หรือกล่าวขัดคำขอของท่าน (เช่น หากขอให้หายหิวโหย แล้วเสียงแว่วมาว่าไม่ให้กิน เป็นต้น) ให้ท่านรีบหยุดการขอพรเสีย ห้ามลืมตา พยายามคิดอะไรให้น้อยที่สุดเพ่งสมาธิไปกับเสียงเหล่านั้น

– หากเสียงเบาลงไปเรื่อยๆ ให้ท่านรอให้มันเงียบสนิท จากนั้นจึงขอพรต่อได้

– แต่หากเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ให้ท่านค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ท่านจะพบสิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดในชีวิต ขอให้รีบวิ่งหนีสิ่งนั้นให้เร็วที่สุด อย่าให้มันสัมผัสถูกตัวได้เป็นอันขาด และไม่ว่าท่านจะหันไปลืมตาที่ทิศทางใด มันก็จะรอท่านอยู่ตรงหน้าแน่นอน

การหนีจากมันจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของท่าน แต่ท่านต้องทำ เชื่อเถอะว่ารายล่าสุดที่ถูกมันสัมผัส กลายเป็นแค่ภาพวาดที่ถูกขีดเขียนจากรอยเลือดเท่านั้น การถูกมันสัมผัสโดนเสื้อผ้าหรือสัมภาระนั้นไม่มีผลเสียอะไร แต่อาจทำให้ท่านเสียจังหวะได้ และมันชอบดึงกระเป๋าให้ท่านล้มลงอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เราไม่แนะนำให้ท่านหลับตาวิ่งตั้งแต่แรก เพราะท่านอาจหลงไปชนกับมันได้ หรือไม่ก็อาจจะสะดุดรากไม้ล้มลงกับพื้น ซึ่งท่านไม่อยากสะดุดหรอก

เมื่อวิ่งไปสักระยะแล้ว ท่านอาจจะพบว่าตัวเองออกมาอยู่นอกเขตป่าแห่งนี้ ซึ่งอาจจะพบเห็นบ้านพัก หรือถนนเส้นเล็กๆ ได้อีกด้วย ขอให้ท่านวางใจ ท่านปลอดภัยแล้วและจะไม่ได้กลับมายังที่แห่งนี้อีก

แต่หากวิ่งสักระยะ กระทั่งท่านพบว่าตัวเองวิ่งกลับมายังรูปปั้นแห่งนี้อีกครา ขอแสดงความเสียใจด้วย ท่านจะไม่ได้ออกไปอีก และเมื่อมองซ้ายขวาจะพบว่าสิ่งที่กำลังไล่ตามท่านมานั้นได้หายไปแล้ว เช่นเดียวกับต้นไม้ แสงแดด สายลม หรือแม้แต่รูปปั้น ทั้งหมดจะค่อยๆ จางหายไป และท่านจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางความว่างเปล่าของมิติไปชั่วนิรันดร์ แต่โปรดวางใจ ยังไม่มีใครเคยเจอกับเรื่องแบบนี้ แม้เราไม่ขอรับรองว่าท่านจะมิใช่รายแรกก็ตาม

๖. นอกจากเสียงตามข้อ ๓. แล้ว หากมีอะไรขัดขวางท่านในระหว่างที่ขอพร ขอให้ท่านจงตั้งมั่นในสมาธิและอย่าลืมตาขึ้นมาโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นท่านจะมิได้มีดวงตาไว้เห็นอะไรอีก หรือซ้ำร้าย บางสิ่งหรือบางเรื่องที่รบกวนท่าน อาจจะพรากชีวิตท่านไปด้วย

เราขอเตือนไว้ตรงนี้อีกครั้ง พติทำได้ทุกอย่างโดยปราศจากเงื่อนไข ดังนั้นจึงไม่สมควรที่ท่านจะละเมิดกฎของสิ่งที่สามารถทำเช่นนั้นได้

สำหรับสิ่งมีชีวิต (และไม่มีชีวิตในเวลาเดียวกัน) ที่มาจากมิติอื่นซึ่งได้มาพบกับรูปปั้นนี้ ท่านสามารถทำความเคารพหรืออะไรก็ได้ตามสะดวก แต่ห้ามขอพรเป็นอันขาด พรนี้มิใช่สำหรับพวกท่าน

๗. ขอเตือนให้ทุกท่านที่ต้องการขอพร อย่าได้คิดตีเสมอด้วยการขอพรใดที่มุ่งหวังให้ตนมีอำนาจระดับเดียวกับพติ เพราะนั่นถือเป็นการลบหลู่ และท่านไม่อยากรู้ผลลัพธ์อันสุดเลวร้ายจากการกระทำนั้นๆ หรอก

 



Don`t copy text!