ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 9 : สารพัดกฎ

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 9 : สารพัดกฎ

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

วินิมัยเดินไปมาในห้องพัก ขนาดไม่กว้างมากทำให้รู้สึกเป็นห่วง รู้ดีว่าธามทศไม่ชอบที่แคบ ไม่ชอบอากาศร้อน ค่อนข้างเอาใจยาก การที่ต้องทนพักในห้องนี้ คงเพราะมีเหตุผลหลายอย่างสินะ

รู้สึกเหมือนภาพในอดีตกำลังไล่ตามหลังมาราวกับคลื่นทะเล ไม่นานก็วนมาดักข้างหน้า ส่งผลให้ในหัวนั้นย้อนไปถึงวันวานโดยไม่อาจขัดขืน

ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่เพียงลำพัง เฝ้าตามหาใครสักคนมาเคียงข้าง แต่พอมีคนสนใจก็กลับผลักไสออก เรื่องมากกระทั่งอยากทึ้งผมตนเอง แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อพบกับเขา

ใช้เพียงสัญชาตญาณว่าควรเรียนคณะอะไร จากนั้นมุ่งมั่นเจียนตายเพื่อให้สอบติด มั่นใจว่าจะพบบางสิ่งที่สำคัญที่มหาวิทยาลัย และในคาบเรียนแรกที่วินิมัยไปสาย เธอได้เห็นธามทศกำลังนั่งหน้าบูดที่หลังห้องเรียนสีขาว สวมกางเกงยีนส์ที่เหมือนไม่เคยซักมาสักสองปี จ้องหน้าเธอเหมือนรอจะเจอกันมาตลอดชีวิต

ทั้งคู่กลายเป็นคนรักกันในวันต่อมา แน่ล่ะว่ามีหลายอย่างที่จูนกันไม่ติด แต่เธอก็พยายามปรับกระทั่งเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ…

แต่แล้ววินิมัยก็ถูกเขาบอกเลิกในช่วงปิดเทอมใหญ่ ธามหายไปจากชีวิต ส่วนเธอเองนั่งเสียใจแทบบ้า

จะตายก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าเขาอาจจะกลับมาเมื่อไรก็ได้ เธอไม่อยากตายฟรี

ในช่วงนั้นวินิมัยได้แต่ดื่มเหล้าเมามายอยู่ในห้องพักตัวเอง แทบไม่กินไม่นอน หากเป็นช่วงเปิดเทอมคงถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว หัวใจโคตรปวดร้าว สมองปั่นป่วนไปกับคำถามว่า ทำไมธามจึงจากไป เธอทำอะไรผิดงั้นหรือ

แต่ความจริงก็พอทราบดี ระยะหลังเริ่มยอมรับง่ายขึ้นด้วยซ้ำ

วินิมัยนั้นขี้หึงหวงขั้นรุนแรง อาจเพราะมองว่าตัวเองดีเลิศกว่าคนอื่นมาตลอด จึงรับไม่ได้หากธามจะถูกใครแย่งไป แม้เพียงสายตาก็ตาม

ไปทานข้าวครั้งสุดท้ายก่อนเลิกรา เธอตบหน้าของอีสาวต่างคณะเสียแทบสลบ แค่เพราะมันดันส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้เขา

นั่นสินะ เป็นใครก็คงไม่อยากอยู่ด้วยหรอก

เธอนั่งลงบนเตียงของธามทศ  หันไปมองกำแพงด้านซ้าย มีปฏิทินแขวนอยู่ เมื่อเห็นแล้วถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ใช่เลย เขาเกลียดการดูปฏิทินผ่านมือถือที่สุด

เพราะรู้สึกโหยหาจึงเดินไปดูใกล้ๆ พบว่ามีลายมือของเขาที่จดเรื่องสำคัญลงบนปฏิทิน แต่กลับอ่านไม่ค่อยได้ความ นั่นเพราะถูกปากกาขีดฆ่าทับไปหมดแล้ว คงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนไปเผชิญกับกฎสยองเหล่านั้นละมั้ง

แต่เมื่อดูต่อก็เห็นว่ายังมีช่องวันที่หนึ่งที่ยังไม่ถูกขีดทับไป

วันที่ ๑๔ ธันวาคม ข้อความที่เขียนไว้ด้วยหมึกแดงคือ UHRR

และมันเป็นตัวย่อของสถาบันกวดวิชาด้านภาษาและการคำนวณแห่งหนึ่ง…

 

“บริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง งั้นหรือ…” ริลนาทวนคำ “บริษัทอิเล็กทรอนิกซ์ที่เดี๋ยวนี้เริ่มเบนเข็มมาทำแบรนด์เสื้อผ้าไง เมื่อก่อนจะรู้จักกันในชื่อ คอนน์ แอนด์ อิเล็กทรอนิกซ์ น่าจะขายของประเภทโดรนกับกล้องอินฟาเรด”

นึกออกแล้ว ส่วนแบรนด์เสื้อนั้นจดทะเบียนการค้าในชื่อ คอนน์ แอนด์ รูล

กานต์เองก็รู้จัก อันที่จริงในตู้เสื้อผ้าก็มีสินค้าของแบรนด์นี้อยู่สักสามสี่ชิ้น จำได้ว่าเป็นแบรนด์โปรดของวินิมัยด้วย เพราะครอบคลุมทั้งชุดลำลองไปถึงทางการ ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกซ์ของแบรนด์ไม่ได้โด่งดังเท่ากับส่วนของเครื่องแต่งกาย

“โห พลาดจากบริษัทดีๆ แบบนี้ มิน่านายถึงได้เครียด”

ภากรตอบกลับทันทีว่า ‘ใช่ไหมเล่า’ และเริ่มจ้อต่ออีกชุด

ส่วนกานต์นั้นก้มหน้าใส่สมาร์ตโฟน กำลังค้นชื่อนายภากรจากระบบค้นหาในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง แต่ก็พบว่าไม่มีข้อมูลอะไร จึงทำการใส่ชื่อของภากรกับชื่อบริษัทในเว็บค้นหาภายนอก

โป๊ะเช๊ะ ลิงก์ของเว็บค้นหาสากลยังพอมีข้อมูลอยู่

และเมื่อเข้าไปยังส่วนของรูปภาพ ก็ปรากฏภาพตัวอย่างของเอกสารจำนวนหนึ่งหน้า แน่นอนว่าพอกดเข้าไปดูก็ขึ้นเป็นลิงก์เสีย แต่แค่นี้ก็พอแล้ว เขาย้อนกลับไปตัดภาพเอกสารที่อยู่ในหน้าตัวอย่างขึ้นมา และนำเข้าโปรแกรมขยายรูป

มันไม่ชัดแต่ก็พออ่านตัวหนังสือในหน้าเอกสารนั้นออก และหัวข้อของเอกสารนั้นก็น่าสนใจ

ประกาศผลรับสมัครงาน ตำแหน่งนักบัญชีและการเงิน สำนักงานใหญ่ วันที่ ๑๐ ๐๙ ๒๐๒๓

ห้าวันก่อนจะเกิดคดีทำร้ายร่างกายสินะ และเมื่อส่องลงไปยังรายชื่อก็ต้องร้องในใจว่า กูคิดไว้แล้ว’

การรับสมัครนักบัญชีครั้งนี้จึงมีผู้สอบผ่านแค่เพียงคนเดียว ซึ่งก็คือภากร แต่กลับมีผู้สอบผ่านติดตัวสำรองถึงสิบคน และแน่นอนว่าตัวสำรองอันดับหนึ่ง ก็คือนายธามทศนั่นเอง

ธามทศคงผิดหวังที่ตนไม่ได้เข้าทำงาน จึงทำร้ายภากรให้บาดเจ็บสินะ คิดแบบนี้คงไม่เคลื่อนจากความเป็นจริงนักหรอก แต่ทำไปเพื่ออะไรเล่า จะบอกว่าอยากทำงานที่มั่นคงงั้นหรือ

ไม่หรอก มันต้องเกี่ยวข้องกับกฎสยองอะไรอีกแน่นอน

 

ทุกสัปดาห์ พ่อจะพาผู้หญิงคนใหม่มาดูแลพวกผม

โมนากับเดชเข้ากับพวกผู้หญิงคนใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะหน้าตาและนิสัยเป็นอย่างไร ต่างกับผมที่ถูกกันออกจากกลุ่มตลอด

พี่ดิวห์เป็นคนเดียวที่พยายามพูดคุยกับผม แต่ก็แป๊บเดียว พวกโมนาก็ชวนเขาไปจากผม

ผมเกลียดโมนา แต่ก็ไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ ดวงตากลมโตและแก้มป่องนั้นทำให้ใจเต้นอยู่เสมอ

บางครั้งผมก็แอบหวัง ว่าเธอจะทำดีกับผมบ้าง แต่ก็คงไม่มีวันนั้น

วิคชอบต่อยผม ฟันหน้าของผมหักเพราะมัน โตขึ้นผมจะเรียนวิชาต่อสู้ทุกอย่าง เพื่อทำร้ายทุกคนที่ไม่ชอบผม…

ธามทศฝันเห็นภาพตัวเองในอดีตกำลังทำร้ายผู้ชายคนหนึ่งเพื่อตัวเองอยู่ มันแย่งตำแหน่งตัวจริงไปจากเขา

อันที่จริงเขาควรจะได้ตำแหน่งนั้น แต่เพราะการโกงกินในบริษัทและเส้นสายของนายภากร ทุกอย่างจึงเคลื่อนไปหมด

ต้องกำจัดมัน…

เขาเห็นภาพตัวเองอีกครั้ง น่าจะเมื่อประมาณสองเดือนก่อนเข้าสู่กฎสวนแสงหวนรัง สวมชุดสูทสีกรมสำหรับทำงาน กำลังเดินไปมาให้ห้องขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยโต๊ะทำงานและกองเอกสาร นับได้หลายสิบโต๊ะ

ไม่ช้ามุมมองสายตาปัจจุบันก็ไปรวมกับสายตาของตัวเองในอดีต พอมองไปทางขวามือ ไกลออกไปสุดเป็นประตูห้อง จำได้ว่านอกประตูนั้นจะมีป้ายสีเงินติดด้านบน

ระบุไว้ว่า ‘แผนกบัญชีและการเงิน’

ธามทศเดินไปมาต่ออีกสักสองนาที รู้สึกได้ว่าใจเต้นแรงแทบจะวิกฤติแล้ว จึงนั่งลงที่โต๊ะประจำตัว มันอยู่มุมขวาสุดของห้อง เหมาะสำหรับเด็กใหม่อย่างเขา

ไม่มีใครอยู่แล้ว นาฬิกาแบบเข็มที่ติดบนกำแพงบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบ

อีกสิบนาที เขาบอกกับตัวเอง ยังคงทรมานจากเสียงหัวใจและความจุกแน่นที่หน้าอก อยากจะกระโดดจากหน้าต่างให้รู้แล้วรู้รอด

ไม่ช้าก็มีชายชราในชุดภารโรง ใช้ไม้ม็อบไล่ถูพื้นใต้โต๊ะทีละตัวๆ ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ทางเข้าออกมีทางเดียวคือประตูกระจกด้านหน้าห้อง และมันถูกล็อกจากด้านใน

เมื่อถูไล่มาถึงโต๊ะของเขา ก็พบว่าเป็นลุงที่หน้าตาซีดเซียวเหมือนคนตาย ร่างแกร็นไว้หนวดที่ดูไม่เป็นทรง และมีกลิ่นคล้ายคลอรีน

‘พ่อหนุ่มไม่รีบกลับงั้นหรือ รู้ใช่ไหมว่าตึกนี้ไม่ควรอยู่หลังเที่ยงคืน’

เป็นการเข้าประเด็นที่ไม่เลว ธามทศแอบชื่นชม

‘ผมว่าจะเคลียร์งานต่ออีกหน่อยครับ พวกมูลค่าเพิ่มยังไม่ลงตัว’ ผมโกหกออกไป อันที่จริงหากไม่จำเป็น ก็ไม่เคยคิดจะทำงานในบริษัทแบบนี้อยู่แล้ว

ลุงภารโรงพยักหน้าเชื่องช้า ช้าราวกับไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยซ้ำ ‘อืม อืม ถ้างั้นลุงก็ช่วยอะไรไม่ได้’ พูดจบก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของชุดเอี๊ยมสีน้ำเงิน วางลงบนโต๊ะทำงาน

กระดาษนั้นเปื่อยแทบจะยุ่ยแล้ว เมื่อบรรจงหยิบมันขึ้นมาอ่าน หางตาก็พบว่าลุงนั้นหายตัวไปแล้ว

เป็นไปตามสูตรเลยสินะ และบนกระดาษแผ่นนั้น คือกฎที่เขาต้องทำตาม

ธามทศสูดหายใจ แม้จะรู้รายละเอียดอยู่แล้ว แต่ก็ควรจะอ่านมันอีกครั้ง เพื่อชีวิตของตัวเอง

ประโยคที่เขียนด้วยลายมือบริเวณบรรทัดบนสุดคือ

กฎการทำงานในห้องฝ่ายบัญชีและการเงินหลังเที่ยงคืน อาคารคอนเนอร์ ชั้น ๖

กฎการทำงานในห้องฝ่ายบัญชีและการเงินหลังเที่ยงคืน

อาคารคอนเนอร์ ชั้น ๖

 ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัทไม่มีนโยบายและไม่แนะนำให้ผู้ร่วมงานทุกท่านทำงานล่วงเวลา โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืนไปแล้ว

ทางเรามีความตั้งใจจะสนับสนุนให้ทุกท่านทำงานที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จในเวลาทำการ เพื่อพวกท่านจะได้ใช้เวลาที่เหลือของวันสำหรับการพักผ่อนกับครอบครัวหรืองานอดิเรก

อย่างไรก็ตาม หากตัวท่านประสงค์จะทำงานล่วงเวลาหลังเที่ยงคืนที่แผนกนี้ ทางเราขอเตือนให้ท่านทำตามกฎที่ตราไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์สุขและความปลอดภัยของตัวท่านเอง

ขอเตือนอีกครั้ง เราไม่เคยสนับสนุนให้ท่านทำเช่นนี้

กฎข้อที่ ๑

หลังเที่ยงคืนไปแล้ว ขอให้ปิดไฟของทั้งแผนกในทันที จำไว้ว่าการปิดหลังจากเลยเที่ยงคืนไปแล้วเพียงไม่กี่วินาทีก็เป็นอันตรายได้ หากต้องการเพิ่มความปลอดภัยสักเล็กน้อย ท่านสามารถปิดไฟในช่วงก่อนเที่ยงคืนได้ตามสะดวก

กฎข้อที่ ๒

อนุญาตให้ท่านเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะที่ท่านเป็นเจ้าของเท่านั้น มันสว่างเพียงพอต่อการทำงานแน่นอน ส่วนไฟจากอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก หรือโทรศัพท์มือถือนั้นไม่มีนัยสำคัญเท่าไรนัก แต่ท่านไม่ควรเปิดแสงให้สว่างเกินไป และไม่ควรเปิดเสียงดังรบกวนเจ้าของห้องแห่งนี้

และที่สำคัญ ห้ามท่านพูดคุยหรือติดต่อกับคนภายนอกห้องนี้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการโทร. การส่งข้อความ หรือแม้แต่ภาษามือก็ตาม

 กฎข้อที่ ๓

ในกรณีที่ไฟตั้งโต๊ะของท่านเกิดกะพริบ ขอให้ท่านอย่าละสายตาไปจากโต๊ะทำงานตรงหน้าเด็ดขาด จำไว้ว่าในเวลานั้นรอบตัวท่านจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่น่ามองและไม่ควรมอง สักพักหนึ่งไฟจะกลับมาสว่างตามปกติเอง

 กฎข้อที่ ๔

ห้ามท่านออกจากห้องแผนกบัญชีและการเงินก่อนจะถึงเวลาหกโมงเช้า มิเช่นนั้นจะทำให้ ‘คนคุมห้อง’ โกรธมาก

อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถใช้บริการห้องน้ำที่อยู่นอกแผนกได้ตามสะดวก โดยไม่ถือเป็นการทำผิดกฎแต่อย่างใด เพียงแต่รีบกลับมาในห้องทำงานทันทีที่เสร็จธุระและไม่ควรอยู่ในนั้นนานเกินไป เพราะจะถือเป็นการเสียมารยาทแก่คนคุมห้องเช่นกัน

ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ห้องน้ำ คือห้ามท่านใช้บริการห้องน้ำนอกแผนกหลังจากเวลาตีสามเป็นต้นไป หากท่านละเมิด เราขอแจ้งว่าท่านอาจจะไม่ได้ออกจากห้องน้ำอีก

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ท่านกำลังเดินทางไปทำธุระที่ห้องน้ำหรือเดินไปไหนก็ตาม หากพบคนคุมห้องและเขาสอบถามว่าจะไปที่ใด ขอให้ท่านตอบไปว่าไปห้องน้ำ หรือเอ่ยประโยคใดก็ตามที่สื่อว่าท่านไม่ได้กำลังจะเลิกงาน หากตอบผิดไปจากนี้ จะทำให้คนคุมห้องโกรธ เพราะนับเป็นการดูถูกอย่างรุนแรง และอย่าได้ตอบช้าเกินควร ทางที่ดีคือตอบทันทีหลังคนคุมห้องถามจบประโยค

อย่างไรก็ตาม การตอบก่อนที่เขาจะถามจบไม่ได้มีผลเสียอะไรมากมาย หากพลาดชิงตอบออกไปก่อน ท่านก็ไม่ต้องใส่ใจนัก

กฎข้อที่ ๕

ในกรณีที่ได้ยินเสียงคนเคาะประตูหรือกดกริ่งหน้าประตูห้อง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ห้ามท่านเปิดประตูกระจกของห้องนี้ให้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าคนคนนั้นจะรู้จักหรือไม่รู้จักกับท่านก็ตาม ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

กฎข้อนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลังตีสามเป็นต้นไป นั่นคือเมื่อได้ยินเสียงหน้าประตู ไม่ว่าจะเป็นเสียงเรียก เสียงเคาะ เสียงกดกริ่ง หรือเสียงใดก็ตาม ‘ห้ามท่านหันหน้าไปทางประตูโดยเด็ดขาด’ แม้ชำเลืองมองก็ไม่ควร

หากท่านพลาดหันไปมองเกินสามครั้ง ขอเรียนว่าท่านอาจจะไม่ได้ออกไปอีก

กฎข้อที่ ๖

ภายหลังเวลาตีสาม มีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ใช้บริการคนอื่นในแผนกบัญชีและการเงินแห่งนี้ ขอท่านอย่าได้รบกวนพวกเขา อย่าได้สนทนาใดๆ และจงมีสติเอาไว้ตลอดเวลา

หากท่านสังเกตได้ว่าในห้องทำงานมีบางสิ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะรอบข้าง หรือกำลังเดินไปมา ขอให้ท่านสงบใจและพยายามทบทวนทันที ว่าก่อนที่จะสังเกตเห็นบางสิ่งที่คล้ายมนุษย์นั้น ท่านได้ยินเสียงเปิดประตูกระจกหน้าห้องหรือไม่

  • หากได้ยิน แสดงว่าสิ่งนั้นคือผู้ใช้บริการคนอื่น ขอท่านอย่าได้สนใจและทำงานต่อไป พยายามทำตามกฎทุกข้ออย่างเคร่งครัด แล้วสิ่งสิ่งนั้นจะไว้ชีวิตท่าน หรือหากท่านพลาดทำผิดกฎ สิ่งสิ่งนั้นจะสังหารท่านอย่างไม่ทรมานเกินไปนัก
  • หากไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลย ขอแสดงความเสียใจด้วย ทางรอดจากแผนกนี้ของท่านนั้นแทบจะหมดสิ้นแล้ว ขอให้ท่านรีบพุ่งไปที่ประตูกระจกหน้าแผนกให้เร็วที่สุด เปิดออกและหาทางรอดไปจากตึกนี้ให้ได้ หากโชคดีท่านจะรอด แต่หากโชคร้าย จะไม่มีใครพบท่านอีกเลย
  • ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือมีผู้เข้าใช้บริการคนอื่นในห้อง โดยที่ท่านได้ยิน/ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู แล้วในเวลาต่อมากลับมีเสียงเปิดประตูอีกครั้งหนึ่ง นั่นเท่ากับว่าในห้องนี้ มีสิ่งสิ่งนั้นอยู่ถึงสองตน

หากเป็นเช่นนั้น ขอให้ท่านรีบพุ่งไปที่ประตูกระจกหน้าแผนกให้เร็วที่สุดเช่นเดียวกัน แต่โอกาสรอดนั้นริบหรี่มาก

หากไม่ต้องการฝืน ขอให้ท่านยอมรับชะตากรรม หลับตาลง มันจะเจ็บปวดแสนสาหัส  ‘ทางเราขอขอบคุณที่ท่านตั้งใจทำงานถึงเพียงนี้’ และอย่าชิงฆ่าตัวตายก่อนเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะยิ่งทรมานมากขึ้นอีก

กฎข้อที่ ๗

ภายหลังจากหกโมงเช้าแล้ว ท่านสามารถเลิกงานได้ตามประสงค์ หรือจะทำงานต่อก็ได้ตามสะดวก แต่เราแนะนำให้ท่านกลับไปพักผ่อน โดยท่านสามารถติดต่อหาคุณดิวาห์ได้ทุกเวลาหลังออกจากแผนกแล้ว เขาจะทำการลงทะเบียนให้ท่านลางานในวันนั้นได้โดยไม่ถูกตัดค่าจ้างแต่อย่างใด

 

กานต์กลับมาที่ห้องของธามทศในเวลาบ่ายสอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบวินิมัยนั่งเหม่ออยู่บนเตียง สายตาทอดยาวไปที่หน้าต่าง

“ผมคุยกับนายภากรแล้ว” เสียงของเขาเรียกความสนใจของเธอได้

กานต์เล่ารายละเอียดพร้อมยื่นสมาร์ตโฟนที่หน้าจอเปิดข้อมูลของกฎหลอนแห่งแผนกบัญชีให้ เขาเพิ่งได้มาจากนายภากรหมาดๆ

เป็นกฎที่คนทั่วไปไม่รู้จัก แม้กระทั่งทางเฮลป์เปอร์เองก็ตาม

วินิมัยพยักหน้าแล้วหยิบไปอ่านอย่างสนใจ

“เท่ากับว่าธามต้องการเผชิญกับกฎของแผนกบัญชีนี้ จึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องทำทุกวิถีทางให้ได้รับตำแหน่งนักบัญชีให้ได้สินะ” มีความระอาในน้ำเสียงของสาวงาม ช่วงที่ทั้งคู่คบกัน นิสัยดื้อดึงและเอาแต่ใจของธามทศคงรับมือยากทีเดียว

“แต่คราวนี้ต่างกับกรณีของสวนแสงหวนรังที่ยากต่อการหาเจ้าของสถานที่…บริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง ดูจะเข้าถึงง่ายกว่ามาก”

“ผมก็ว่างั้น แต่เราอาจมองในแง่ดีเกินไป หากธามทศไม่ได้ผูกพันอะไรกับบริษัทนี้มากไปว่าหนึ่งในกฎที่เขาต้องเข้าร่วมล่ะ”

“ไม่หรอก เพราะฉันลองค้นข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเขาแล้ว”

เขาแปลกใจเล็กน้อย “คุณเปิดคอมของธามทศได้งั้นหรือ”

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้เข้าเว็บไซต์ต้องสาปหรอก แต่กว่าจะมั่วรหัสได้ก็แทบแย่”

ทีแรกคิดว่าจะเดารหัสไม่ออกเสียอีก แต่อย่างว่า คนมันเคยรักกัน…“ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นวันเดือนปีเกิดของคุณมัยละมั้ง” เขาหยอกออกไป แต่ทางวินิมัยกลับมองตอบด้วยสายตาเศร้าสร้อย

งั้นหรือ เป็นวันเกิดของคุณมัยจริงๆ ด้วย…เขาได้แต่เสียใจที่ถามออกไป แต่ช่างแม่งเถอะ

“แล้วมีข้อมูลของบริษัทนี้ไหมครับ”

วินิมัยพยักหน้า เดินไปเปิดที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มันปรากฏภาพข้อความแชตออนไลน์ขึ้นมา วินิมัยคงตัดภาพออกมาจากแอปพลิเคชันสำหรับการสื่อสารที่ใครๆ ก็ใช้กัน

รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่ริมฝีปากจิ้มลิ้ม “มันคือบทสนทนากับคนที่ชื่อดิวห์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมตัวเข้าทำงานในบริษัท ดูท่าจะรู้จักกันมาก่อนสมัครงานเสียอีก”

กานต์อ่านข้อความที่สนทนากันคร่าวๆ แล้วก็เห็นด้วย

จำไว้นะครับว่าห้ามทำตัวหยาบคาย รู้ว่ายาก แต่ต้องอดทนหน่อย

ขอโทษด้วยที่งานยุ่งในช่วงก่อน เลยทำให้เกิดการฮั้วกันเรื่องผลการเรื่องสอบสัมภาษณ์ แต่นายก็ไม่ควรทำร้ายเขานะ

จัดการเรื่องนายภากรให้แล้ว จ่ายเงินไปพอควร

ช่างเป็นประโยคที่คล้ายพี่ชายที่คอยประคบประหงมน้องชายที่นิสัยห่ามและห่วยแตกจริงๆ อ่านแล้วยังรู้สึกมวนท้องเลย ไอ้คุณธามทศคงเป็นตัวสร้างปัญหาแก่ทุกคนที่รู้จักแน่นอน ส่วนไอ้นายภากรนั่นก็ตอแหล ที่แท้ก็ได้เงินชดเชยไปแล้ว แต่ดูท่าคงจะไม่ทราบว่าคนชื่อดิวห์นั้นรู้จักกับธามทศหรอก

นาทีต่อมาสมองก็เตือนว่ามีอะไรบางอย่าง

“เดี๋ยวสิ…คนที่คุยกับธามทศชื่ออะไรนะ”

พอถามไปเช่นนั้น วินิมัยก็ตาโตทันที “ใช่แล้ว ดิวห์…”

เขาขอสมาร์ตโฟนคืน แล้วเปิดภาพกฎของแผนกบัญชีอีกครั้ง

ภายหลังจากหกโมงเช้าแล้ว ท่านสามารถเลิกงานได้ตามประสงค์ หรือจะทำงานต่อก็ได้ตามสะดวก แต่เราแนะนำให้ท่านกลับไปพักผ่อน โดยท่านสามารถติดต่อหาคุณดิวาห์ได้ทุกเวลาหลังออกจากแผนกแล้ว เขาจะทำการลงทะเบียนให้ท่านลางานในวันนั้นได้โดยไม่ถูกตัดค่าจ้างแต่อย่างใด

“คุณดิวาห์ก็คือคุณดิว ผมว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน”

เท่ากับว่านายธามทศรู้จักคนที่มีชื่อปรากฏในกฎหลอนของแผนกบัญชีบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง สินะ…นายดิวห์คนนี้เป็นใครกัน กฎข้อนี้มีมาแต่ต้นแล้ว หรือถูกเพิ่มเข้ามาทีหลังกันแน่

“หรือว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ชื่ออาจจะซ้ำก็ได้ครับ”

วินิมัยดูจะไม่ฟังความเห็นเขา แต่เดินไปที่โต๊ะทำงาน แล้วเริ่มรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ของธามทศ หน้าจอคือเว็บไซต์ของบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง

และเมื่อกดเข้าไปที่ ‘บุคลากร’ ก็พบชื่อของ ‘นายดิวาห์ คอนเนอร์ ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพิเศษ’

และหน้าตาของชายผมยาว ดูหยิ่งยโสสวมแว่นใส่สูททางการ มันเหมือนกันกับใบหน้าเพื่อนในห้องแชตของธามทศไม่มีผิด

นายดิวาห์มีตัวตนจริง รู้จักกันกับธามทศ อาจถึงขั้นดูแลไม่ให้เรื่องของนายภากรไปถึงชั้นศาล และ…น่าจะเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ

โดยส่วนใหญ่แล้วชื่อของใครที่สลักไว้ในกฎ จะไม่ค่อยเป็นคนธรรมดาเท่าไรหรอก อาจจะเป็นผู้คุมหรือไม่ก็พวกทำหน้าที่เก็บกู้ร่างผู้เคราะห์ร้ายจากกฎหลอน หรือไม่อยางนั้นก็เป็นวิญญาณที่จะช่วยชี้ทางรอดให้

แต่กับนายดิวาห์ ตะแคงดูอย่างไรก็คนเหมือนๆ เขากับวินิมัยแน่นอน

“แล้วเราพอทราบอะไรเกี่ยวกับเป้าหมายของธามทศไหม หรือกฎต่อไปที่เขาจะเอาตัวเองไปเสี่ยงตายคือที่ไหน”

วินิมัยไม่หันหน้ากลับมา แต่จ้องไปยังหน้าจอ ก่อนจะส่ายหัว “ไม่มีข้อมูลสถานที่หรือกฎหลอนแห่งต่อไปเลย”

เมื่อนั้นแหละที่กานต์รู้สึกเจ็บอก เพราะสิ่งที่หญิงสาวตอบนั้นมันเจือด้วยความหลอกลวง วินิมัยจะไม่หลบสายตาเวลาตอบคำถามใคร

นั่นแสดงว่าเธอกำลังโกหกเขาอยู่…

 



Don`t copy text!