ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 16 : เรื่องที่ปิดบัง

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 16 : เรื่องที่ปิดบัง

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ไม่นานหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ วินิมัยมาส่งกานต์ที่สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด

“ขอโทษจริงๆ แต่ฉันมีธุระสำคัญ กานต์ช่วยกลับรถไฟฟ้าเถอะนะ”

แววตานั้นดูอ้อนวอนอย่างที่ไม่คาดว่าจะได้พบเจอ ไม่คิดว่าเธอจะทำสายตาเช่นนี้ใส่เขา

กานต์ไม่ได้โกรธเคือง มั่นใจว่าตนไม่ได้รู้สึกเจ็บช้ำเท่าที่วินิมัยรู้สึกอยู่แน่นอน ทั้งหมดที่มีในใจคือความสงสัย เขาเดินลงจากรถแต่โดยดี

วินิมัยขับออกไปแล้ว ส่วนเขาตั้งใจจะแวะทานราเม็งก่อนกลับ ร้านชื่อดังตั้งอยู่ในสถานีรถไฟฟ้าที่ห่างออกไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

เป็นหนึ่งในร้านที่อยากชวนวินิมัยมาทานในสักวัน

เขาไม่เคยได้ทานข้าวสองต่อสองกับวินิมัย…อันที่จริงก็เคยนะ แต่เป็นโรงอาหารของบริษัท ส่วนการชวนไปทานร้านข้างนอกนั้นเป็นเพียงฝันที่ถูกปฏิเสธแบบนุ่มนวลมาโดยตลอด

เสียงสมาร์ตโฟนดังปลุกจากความเศร้า เป็นฝ่ายออกแบบที่ส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือจากเป็ดน้อยอย่างเขา

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง กานต์ไม่ได้แวะที่ร้านราเม็ง เรื่องทั้งหมดผสมกับภาระหน้าที่ประจำตำแหน่งส่งผลให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินจะขยับไปไหน จึงได้แต่นั่งหงอยอยู่บนรถไฟฟ้า ในหัวแสนสงสัยว่าวินิมัยปิดปังอะไรเขา

ทว่าจู่ๆ ก็มีสายจากริลนาเข้ามา ขอนัดเจอกันเป็นการด่วน เขาจึงได้นัดกันที่สถานีต่อไป

เมื่อไปถึงและยืนรออยู่สักสิบห้านาที ก็พบริลนาลงจากรถไฟฟ้าขบวนที่เพิ่งจอดเทียบชานชาลา เธอตัดผมสั้นแค่ไหล่ สวมเดรสลำลองสีขาว

“แค่ส่งมาทางข้อความก็ได้ครับ ไม่เห็นต้องลำบากถ่อมาเลย”

แม้จะเอ่ยดวยความเกรงใจ แต่ริลนาส่ายหัวเป็นคำตอบ “เพราะช่วงนี้ ถ้าอยู่คนเดียวคงฟุ้งซ่านน่ะ”

นั่นทำให้เขาชะงัก รู้สึกผิดและเจ็บปวด คงเพราะริลนาหวนกลับมาเกี่ยวข้องกับกฎพวกนี้อีกครั้ง ทำให้แผลใจสมัยคบกับพี่ชายของเขาถูกแหวกออก

ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต้องการ จากนั้นจึงพูดคุยเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกลับ โดยที่เขาไม่ได้ทักเรื่องที่เธอตัดผมให้สั้นลง รู้ดีว่าริลนาตัดด้วยตนเอง และตัดเพราะต้องการระบายความทุกข์บางอย่าง

ใช้เวลานานกว่ารถไฟฟ้าจะพาเขาเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง กานต์ไม่ได้มุ่งกลับบ้าน แต่เข้าไปยังออฟฟิศของเฮลป์เปอร์ นั่งสะสางงานที่ไม่ได้เร่งรีบอะไร

เวลาในขณะนั้นคือสามทุ่ม ทำไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงแกร็กบริเวณทางขวามือซึ่งเป็นตำแหน่งที่วางตู้ใส่เอกสารและข้าวของ ทีแรกคิดว่ามาจากพวกแมลงจึงไม่ได้หันไป แต่ผ่านไปครู่หนึ่งกลับรู้สึกถึงอุ่นไอที่คุ้นเคย เขารีบหันขวับกลับไปมอง

ตรงหน้าตู้เก็บเอกสารมีชายคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้น ตรงไหล่มีบั้งลายทางสีทองสลับดำประดับอยู่ ใบหน้านั้นเละเทะ

กานต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืนเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ใช่คน

“พี่เกม” เขากล่าวเสียงสะอื้น

กะพริบตาอีกครั้ง ร่างนั้นก็หายไป ส่วนตู้เอกสารที่เคยลงกลอนไว้ บัดนี้ประตูเหล็กนั้นถูกแง้มออกมาเล็กน้อย… ด้านในมีพวกเอกสารพัสดุที่ยังไม่นำส่งให้ฝ่ายบัญชี รวมถึงโทรศัพท์มือถือที่เขาใช้สำหรับอัดไฟล์วิดีโอโดยเฉพาะ กานต์มีโทรศัพท์สองเครื่องเสมอ

เขาหยิบมือถืออกมา เสียบเชื่อมเข้าที่คอมพิวเตอร์ มั่นใจพอควรว่ามีอะไรน่าสนใจอยู่ในนั้น

มือเลื่อนไปเปิดไฟล์ที่อัดไว้ในห้องของธามทศ ดูซ้ำๆ ไปมาสองรอบก็พบจุดสังเกต ปฏิทินติดกำแพงนั้น มันต่างจากที่จำได้ในช่วงที่กลับไปหลังจากเจอนายภากรแล้ว จำได้ว่ามีรอยลิควิดขีดฆ่าอยู่บางจุด แต่ในวิดีโอนั้นไม่มี

พอกดหยุดเล่นชั่วคราวและขยายเข้าไปยังตำแหน่งนั้นก็พบตัวหนังสือที่ทำให้ใจสั่น

วันที่ ๑๔

อาคาร UHRR

ไอ้เชี่ยเอ๊ย กานต์สบถในลำคอ รู้แล้วว่าวินิมัยปิดบังอะไรจากเขา

 

ถ้าให้ธามทศคาดเดาเหตุผลที่ผีผู้หญิงเลือดท่วมทำร้ายพยาบาลชื่อกมล คงเพราะอาหารที่เธอเอามาให้นั้นมียาพิษ มันอยู่ในสองจานสุดท้าย ผีตนนั้นต้องการให้เขาทำงานสำเร็จจึงมาช่วย

ธามทศทราบดีว่ากมลไม่ได้เป็นคนวางยา แต่น่าจะเป็นคนที่มีอำนาจกว่านั้นมาก คนที่ไม่ต้องการให้ธุพาณ คอนเนอร์ฟื้นขึ้นมา

เวลาสายของวันที่ ๑๒ เขาเดินทางมายังสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง มันเก่าแก่และไร้ผู้คน บริเวณลานจอดมีรถยนต์ไม่กี่คัน ส่วนใหญ่จะถูกทิ้งไว้ให้อาบฝุ่น แต่มีคันหนึ่งที่ยังใหม่อยู่ รถทรงเล็กสีแดงดูโดดเด่นอย่างผิดกาลเทศะ

เปิดประตูฝั่งคนขับพบว่ามีกล่องโฟมวางอยู่ ด้านในคือสิ่งที่ดิวาห์เตรียมให้เขา

มันมีทั้งยาโด๊ปที่ต้องการ ปืน กระสุน ยาแก้ปวด และของจิปาถะ

แต่แล้วก็มีเสียงแว่วมาจากด้านหลัง “หาให้ได้เท่านี้ ที่เหลือคงต้องจัดการเอง”

ธามทศหันขวับไปพร้อมเล็งปืนใส่ พบว่าเป็นดิวาห์ที่ยืนนิ่งพร้อมรอยยิ้ม ในมือถือร่มบังแดดอยู่

“โทษทีที่ทำให้ตกใจ ที่จริงก็ส่งคนมาวางของไว้ให้ตามนัดแล้ว แต่พอดีมีเวลาว่างนิดหน่อยก็เลยคิดว่ามาเจอกับตัวน่าจะดีกว่า”

เขาลดปืนลง รู้สึกใจสงบเมื่อเจอพี่ชาย “แดดเปรี้ยงขนาดนี้ก็ไม่น่าใส่สูทหกกระดุมนะครับ”

“พอดีว่ามีเหตุผลในเชิงธุรกิจน่ะ” ว่าแล้วก็ทัดผมยาวไขว้หูซ้าย “…อยากจะส่งข่าวว่าพ่อเลี้ยงอาการดีขึ้นมาก ส่วนพรีมและวิคเตอร์ก็ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว”

พ่อเลี้ยงอาการดีขึ้นมากงั้นหรือ นั่นไม่ใช่ข่าวดีสำหรับธามทศเลย เมื่อได้ยินแล้วก็เหงื่อตก จากนั้นอาการบาดเจ็บก็ส่งผลให้หมดแรงเกือบจะวูบไปกับพื้น เคราะห์ดีที่ดิวาห์ทิ้งร่มแล้วเข้ามาโอบไว้ทัน

พี่ชายพยุงเขามานั่งที่เบาะรถด้านหลัง

“ถ้าบาดเจ็บขนาดนี้ พักเสียก่อนไหม”

“เวลามันกระชั้นเข้ามาแล้วครับ ผมกลัวจะไม่ทัน” น้ำเสียงเจือความเจ็บใจของธามทศกระตุ้นให้ดิวาห์หน้ามุ่ย

“ขอโทษนะ สถาบันนั่นถูกขายสิทธิ์ไปนานแล้ว”

ธามทศยิ้มตอบ ไม่ได้โกรธเคืองอะไร  “เราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี พอผมโผล่มาก็เอาเรื่องมากวนไม่หยุด ทั้งที่พี่ดิวห์ก็งานยุ่งตลอดแท้ๆ ขอโทษนะครับ”

ดิวาห์ไม่ตอบอะไร แต่แอบอมยิ้มแบบเนือยๆ เป็นท่าทางประจำตัวที่แสดงออกมาเวลาช่วยเหลือเขาในสมัยเด็ก แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเล็กน้อย เอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“คนชื่อวินิมัย เขามาหาฉันที่ออฟฟิศ”

ได้ยินแล้วถึงกับตกใจ แต่ดิวาห์ยกมือปรามไว้ “ไม่ต้องใส่ใจ ทางฉันไม่ได้ทำอะไร พ่อเลี้ยงเองก็ไม่มีเวลาจะยุ่งกับพวกเฮลป์เปอร์ตอนนี้ นายเองสนใจแค่ ‘ภารกิจ’ ก็พอแล้ว ขาดเหลืออะไรก็บอกได้ตลอด ยกเว้นพวกคอนแทกต์เลนส์ที่ไปหาซื้อเองน่าจะดีกว่า พอดีว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของพ่อเลี้ยงน่ะ”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก” สองมือเริ่มเก็บข้าวของ เตรียมตัวจะไปแล้ว

“คงแคร์มากสินะ ผู้หญิงที่ชื่อวินิมัยน่ะ”

ธามทศสะอึก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไป ดิวาห์คือพี่ชายที่พึ่งพาได้ตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ก็เป็นไม่กี่คนที่ยอมรับในตัวเขา แม้จะไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่พี่ชายกำลังคิดได้เลย ทว่าความช่วยเหลือของดิวาห์ก็จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับภารกิจที่กำลังทำอยู่

อีกฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจท่าทีของธามทศ เพียงแค่เอ่ยว่าแล้วเจอกัน พร้อมกำชับว่า “ดูแลตัวเองด้วย หากเป็นไปได้ก็อยากให้ใช้ประโยชน์จากพวกเฮลป์เปอร์มากกว่านี้”

พอเอ่ยถามถึงผีทั้งสองตัวก็พบว่าดิวาห์โบกมือไม่สนใจ และหันหลังเดินจากไปเงียบๆ

 

ธามทศกลับออกมาจากสถานีรถไฟด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

ที่ผ่านมาชายหนุ่มใช้เวลาช่วงเรียนมหาวิทยาลัยในการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ เพื่อรับมือกับกฎพวกนี้ แต่พอเอาเข้าจริง มันช่างเกินความสามารถไปไกล จะตายเมื่อไรก็ไม่แปลก

ธามทศตั้งใจจะแวะที่ห้องพักอีกครั้งเพื่อมาเอาของอื่นๆ ที่ดิวาห์ไม่สามารถหาให้ได้ ช่วงที่ออกมาจากห้องพยาบาล เขาได้คุยกับพยาบาลชื่อกมล เธอจึงมอบกุญแจห้องคืนมา ทีแรกก็ลังเลว่าจะกลับไปดีไหม กลัวว่าเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นหอมของวินิมัย บรรยากาศเก่าๆ จะวนกลับมา และเขาจะอ่อนแอลง แต่คิดแล้วก็คงต้องกลับ เพราะคอนแทกต์เลนส์สำรองกับพวกอุปกรณ์บางอย่างยังอยู่ในนั้น หวังว่าทางเฮล์เปอร์คงไม่ได้ยึดไปนะ

เป็นห่วงคุณพยาบาลชื่อกมลเหมือนกัน แต่เธอบอกว่าไม่เป็นไร แถมเจ้าหน้าที่คนอื่นก็แห่กันมาช่วยแล้ว คงไม่เป็นไรจริงๆ นั่นแหละ

อย่างไรก็ตาม การที่พวกผีเปรตและผีหญิงเปลือยจะมีอำนาจแตะต้องคนอื่นได้แล้ว มันเกี่ยวข้องกับการที่เขาเอาชนะกฎหลอนพวกนี้แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด…

บางที การเอาชนะกฎพวกนี้คงทำให้พวกมันกล้าแกร่งขึ้น…ตัวดิวาห์เองก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขา

แต่เขาหยุดไม่ได้ หากไม่ทำต่อ จะมีคนต้องเดือดร้อน

วินิมัย ยกโทษให้เราด้วยนะ’

 

ช่วงเวลาแห่งการสำนึกหมดแล้ว ธามทศเดินทางไปยังสถานที่ถัดไป

ตรงหน้าของเขาคือซอยขนาดใหญ่ ใหญ่ราวกับถนน มันเชื่อมต่อกับถนนใหญ่กลางเมือง แต่กลับไม่พบว่ามีรถเข้าออกเท่าไรนัก ส่วนหนึ่งคงเพราะด้านในซอยนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากอาคารสูงซึ่งกำลังก่อสร้างตรงฝั่งซ้ายและกำแพงอิฐที่ฝั่งขวา

เดินตรงเข้าไปและหักศอกขวา รวมระยะทางเกือบหนึ่งกิโลฯ สุดซอยคือเขตของสถาบันภาษาแห่งหนึ่งที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต มีชื่อว่า UHRR

วันนี้เพิ่งเปิดให้บริการ และพรุ่งนี้จะมีพิธีเปิดสถาบันอีกครั้งหลังจากถูกปิดในระยะหนึ่ง เนื่องด้วยเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน เรียกได้ว่าภายในเขตสถาบันเสียหายถึงเจ็ดส่วน ความรุนแรงของเพลิงกินไปยังคอนโดมิเนียมข้างเคียง จึงเกิดประเด็นการขู่ฟ้องร้องกันพอสมควร แต่เพราะสถาบันแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับตัวธุพาณและบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง ทุกอย่างจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ถูกเผาไหม้ไปจากเปลวไฟ นั่นคืออาคารที่ตั้งของลิฟต์ประตูสนิม ซึ่งตั้งอยู่มุมซ้ายของพื้นที่สถาบัน

เดิมตรงนั้นเป็นอาคารเรียนรู้ด้วยตนเอง มีไว้สำหรับอ่านหนังสือ แต่กลับไม่ค่อยมีใครเรียกว่าห้องสมุดเท่าไรนัก แทบไม่มีใครใช้บริการอาคารนี้หรือต่อให้มีก็ใช้วิธีเดินเท้าขึ้นบันได เนื่องด้วยตัวลิฟต์มันขึ้นชื่อเรื่องอาถรรพณ์และความสยอง นานๆ ครั้งจะมีคนลองไปใช้ลิฟต์ตัวนี้ และไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

ไม่มีใครกล้าใช้ แต่ก็ไม่กล้าทำลาย หลังเหตุอัคคีภัย ตัวลิฟต์และพื้นที่อาคารข้างเคียงยังคงตั้งเด่น แม้พื้นที่อื่นนั้นแทบจะเหลือแต่โครงเหล็กก็ตาม

ธามทศเดินไปไม่หยุด สายลมหวิวพัดจากท้ายซอยพุ่งใส่ทั้งตัวราวกับจะทะลุไปด้านหลัง แม้จะใส่แจ็กเก็ตและสะพายกระเป๋า ยังรู้สึกหนาวเย็นถึงเส้นเลือด

คอนโดมิเนียมทางซ้ายไม่มีการก่อสร้างมาสักพักแล้ว ส่วนกำแพงที่เพิ่งถูกก่อด้านขวานั้นยังคงสะอาดอยู่ เดินสักพักก็ถึงทางหักศอก เมื่อก้าวตามทางก็พบว่าไกลออกไปคือเขตสถาบันกวดวิชา

มันถูกแยกจากภายนอกด้วยกำแพงปูนสองฝั่งที่ไม่สูงนัก ส่วนบนของกำแพงสองฝั่งเชื่อมติดกันด้วยแผ่นป้ายบอกชื่อสถาบันกวดวิชา ออกแบบได้ไม่เชยแต่ก็ไม่ล้ำสมัย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

ไม่มีใครแม้แต่ยามเฝ้า ทั้งที่พรุ่งนี้จะมีพิธีเปิดแล้วแท้ๆ ดูท่าว่าคนยุคนี้จะไม่นิยมเรียนพิเศษ หรือไม่ก็เน้นเรียนผ่านระบบออนไลน์มากกว่า เคยคิดว่าจะเป็นผลดีต่อการเผชิญหน้ากับกฎลิฟต์ประตูสนิม แต่พอทราบว่าอาคารที่ลิฟต์นั้นตั้งอยู่จะถูกรื้อและบูรณะในวันพรุ่งนี้ก็แทบอยู่ไม่สุข แอบคิดว่าเป็นเพราะธุพาณต้องการเร่งให้เขาทำภารกิจให้เสร็จเร็วขึ้นหรือเปล่า ทว่าก็รู้ดีว่ากรรมสิทธิ์และกิจการส่วนนี้ไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว

จะอย่างไรก็ช่าง เขาต้องรอดออกไปให้ได้ ต้องทำภารกิจให้สำเร็จก่อนที่ลิฟต์จะถูกรื้อถอน

เดินผ่านรั้วปูนเข้ามา เยื้องไปทางซ้ายมีอาคารสูงที่มีป้ายสีเงินประดับ ‘อาคารเรียนรู้ด้วยตนเอง’ เขาเดินเข้าไปที่ชั้นล่างของอาคาร ด้านในค่อนข้างเรียบ แต่ละชั้นไม่สูงมาก และมีตู้หนังสือเรียงรายทุกชั้น

ลิฟต์อยู่ทางซ้ายของชั้นล่าง รูปร่างคล้ายกับที่รู้มา เป็นบานเลื่อนสองฝั่ง ประตูลิฟต์เป็นสีสนิมเกรอะกรัง ลอกออกมาเป็นสีด่างดูน่าคลื่นไส้ กลิ่นสีอบอวลแม้จะสร้างมานานแล้ว และให้บรรยากาศถูกบีบอัดที่หัวทั้งที่แค่ยืนมองเท่านั้น

เขาเดินตรงไปที่หน้าลิฟต์และกดปุ่ม ‘ขึ้น’

ประตูเปิดออกอย่างช้าๆ รู้สึกช้ากว่าลิฟต์ทั่วไปหนึ่งจังหวะ มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแทบทุกวินาทีที่ประตูเลื่อนออกจากกัน ยังมีไฟฟ้าใช้อยู่ก็นับว่าโชคดี มิเช่นนั้นก็คงหมดหนทางแล้ว

ธามทศเดินเข้าไป ยอมรับว่าลังเล แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว เมื่อหันกลับมาจะกดปุ่มปิด ก็พบว่าบริเวณแผงปุ่มมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะติดอยู่ด้วยเทปเก่าๆ ที่มีเนื้อกาวละลายยืดไหลออกมา

บรรทัดบนสุดบนกระดาษนั้นเขียนไว้ว่า

กฎการใช้ลิฟต์ประตูสนิม อาคารเรียนรู้ด้วยตนเอง 

 



Don`t copy text!