ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 12 : ปักษาหวนรัง

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 12 : ปักษาหวนรัง

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ธามทศรอดชีวิตมาออกมาจากแผนกบัญชีและการเงินได้ ร่างที่เหนื่อยล้านอนหอบที่หน้าอาคารในยามเช้าตรู่

เหนื่อยและบาดเจ็บไปหมดทั้งร่าง แต่ก็ผ่านพ้นการเผชิญหน้ากับกฎสยองครั้งแรกมาได้ทั้งที่ยังไม่หมดลม

แสงสว้างส่องจากฟ้า น่าจะสักหกโมงครึ่ง กลุ่มป้าภารโรงเดินมาสอบถามอาการ ก่อนจะพยุงเขามานั่งที่เก้าอี้หน้าอาคาร แต่การพักผ่อนไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้

มือขวาเริ่มความหาโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง จากนั้นจึงกดโทร.ทันที ไม่นานก็มีคนรับสาย

“ฮัลโหล…ใครกันห่ะ”

เสียงตอบรับนั้นฟังดูหงุดหงิดมาก นั่นเพราะเจ้าของเสียงควรจะตื่นหลังจากนี้อีกครึ่งชั่วโมง

มัย เราเองนะ’ เขาอยากจะกล่าวไปแบบนี้ แต่ก็ทำได้แค่กดสายทิ้ง

เธอปลอดภัยดี ที่ถูกฆ่านั่นเป็นแค่ภาพลวงตาไม่ก็วิญญาณร้ายที่ตั้งใจจะหลอกเขา

จากนั้นภาพรอบตัวเริ่มดำมืดลง มืดลง การฝันถึงเรื่องราวในอดีตคงจบลงเท่านี้

ธามทศลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาตรงไปที่เพดานสีขาว เขารู้จักสถานที่แห่งนี้ มันคือห้องพยาบาลของเหล่าเฮลป์เปอร์นั่นเอง

 

วินิมัยกับกานต์เดินมาทางซ้ายของนิทรรศการ ดูเหมือนว่าซุ้มของ ‘โครงการพัฒนาบุคลากรวัยเยาว์อันยั่งยืน’ จะอยู่ในสุดของห้อง

ระหว่างทางพบร้านขายของว่างและเครื่องดื่ม ทั้งสองจึงซื้อขนมปังเนยมาทานคู่กับนมสด และพบว่าอร่อยโคตร คงเพราะเหนื่อยล้าและไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เที่ยง

เดินเข้ามาอีกจึงเริ่มรู้สึกได้ว่าบรรยากาศด้านในเริ่มแออัดน้อยลง แต่ก็ไม่ได้โล่งขึ้นถึงระดับรู้สึกผิดแผกอะไร ไม่ช้าก็เริ่มเห็นเลขซุ้มที่ต้องการอยู่ไกลออกไป ทว่าก่อนจะเดินถึง สายตาก็ถูกดึงความสนใจโดยซุ้มของโครงการ ‘ช่วงชีวิตของธุพาณ’

เธอหยุดดู ส่วนกานต์ที่เดินตามมาก็สนใจเช่นกัน “ดูท่าจะเป็นห้องแสดงวิถีชีวิตทั่วไปของธุพาณนะครับ”

“เราเข้าไปดูกันเถอะ ที่ผ่านมาเรารู้กันแค่ว่าเขาหายตัวไปเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะได้รายละเอียดอะไรเพิ่มอีก”

กานต์ผงกหัวเห็นด้วยแล้วเดินนำเข้าไป ดูท่าจะอยากรู้เช่นกัน

ภายในซุ้มจัดเป็นห้องโถงกว้าง รู้สึกเหมือนเป็นนิทรรศการย่อมๆ ที่ถูกซ่อนในนิทรรศการขนาดใหญ่

เริ่มแรกเป็นประวัติแสดงหุ่นขี้ผึ้งของธุพาณในวัยเยาว์และครอบครัว เขามีน้องสาวที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด ไม่แน่ว่าหากเด็กคนนี้โตขึ้นมาน่าจะมีชื่อเสียง ส่วนพ่อและแม่นั้นแต่งตัวเรียบๆ และดูใจดี

ถัดไปเป็นส่วนของห้องทำงานประจำที่จำลองมาจากของจริง เป็นโต๊ะไม้ขนาดพอประมาณ มีสมุดและแปลนร่างรายละเอียดของพวกอุปกรณ์ต่างๆ อีกโต๊ะมีลักษณะเดียวกัน แต่มีแบบเสื้อผ้าวางอยู่แทน

ข้าวของในห้องนอนไม่ได้มีอะไรมากมาย แค่ตู้เสื้อผ้าสีขาว กล่องกระจกใส่ดอกไม้ ข้างกันนั้นคือรูปภาพของธุพาณในวัยหนุ่ม อายุน่าจะประมาณสามสิบ อยู่ในชุดนักบินสีเทาถ่ายคู่กับสิ่งที่น่าจะเป็นเครื่องบินส่วนตัว มันถูกใส่ไว้ในกรอบรูปสีน้ำตาล นอกจากนั้นกำแพงก็ประดับด้วยรูปภาพสีน้ำที่ดูไม่ออกว่าต้องการสื่ออะไร ที่เหลือคือพวกของจิปาถะ

เดินเลยไปก็พบว่าด้านหลังของซุ้มเป็นทางเชื่อมไปยังซุ้ม ‘โครงการพัฒนาบุคลากรวัยเยาว์อันยั่งยืน’ แต่เพราะยังไม่ต้องการออกไปไหน จึงย้อนกลับมาทางเดิม เดินอีกนิดก็มาถึงส่วนของซุ้มดอกไม้ที่ประดับใต้รูปของธุพาณ โดยรูปนั้นมีขนาดประมาณกำแพงห้องได้

เป็นรูปของธุพาณในชุดสูทลายตารางสีกรม ยืนกอดอกโดยมีเครื่องบินส่วนตัวอีกลำจอดนิ่งที่ฉากหลังไกลออกไป สีขาวตกแต่งด้วยสีแดงต่างกับลำในรูปเมื่อครู่ที่เป็นสีฟ้า ดูท่าจะชอบเครื่องบินมาก

กานต์มองแล้วทำหน้าเหยใส่รูปและเหล่าดอกไม้ “ทำเหมือนว่าเขาตายไปแล้วเลยแฮะ”

เธอก็คิดเช่นเดียวกัน แต่ก็นะ ดูท่าว่าศาลจะสั่งเป็นบุคคลสาบสูญไปแล้วด้วย

น่าสนใจตรงดอกไม้สี่ห้าดอกซึ่งถูกกลัดอยู่ตรงกรอบรูปด้านขวาบน ทั้งที่ดอกอื่นถูกวางกับพื้นแท้ๆ

เมื่อเพ่งมองก็พบว่าเป็นดอกไม้ที่แม้ไม่ทราบชื่อแต่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด มันแลคล้ายกับดอกโคลเวอร์ แต่มีด้วยกันเจ็ดกลีบ เป็นสีน้ำตาลออกกากี ถ้ามองให้ดีจะพบว่าสีของแต่ละใบนั้นไล่ลำดับความอ่อนไปเข้ม ตามเข็มนาฬิกา

“มันชื่อดอกปักษาหวนรังครับ”

กานต์อธิบายอย่างหน้าตาเฉย ลืมไปเลยว่าเขามีความรู้เรื่องดอกไม้ อันที่จริง กานต์ก็มีความรู้ในทุกเรื่องนั่นแหละ และทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย แต่พอคิดเรื่องความรู้ที่เขามีในหัวแล้ว ก็แอบปลื้มใจโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ถ้าจำไม่ผิดครอบครัวธุพาณจะมีพื้นเพจากประเทศ C ซึ่งคนพื้นเมืองของที่นั่นจะมอบดอกไม้ชนิดนี้แก่ญาติของคนที่หายสาบสูญหรือขาดการติดต่อไปนานๆ ครับ โดยเชื่อว่าจะช่วยดึงให้บุคคลที่หายตัวไปนั้นกลับมา หรือจะวางไว้ในห้องของผู้สูญหายหรือประดับรูปไว้อย่างนี้ก็ได้”

พอฟังคำอธิบายเรื่องการวางไว้ในห้องของผู้สูญหาย วินิมัยก็นึกออกทันใด

มันเป็นดอกไม้ชนิดเดียวกับที่ประดับในกล่องกระจกบนโต๊ะของพินธา…ประธานของพวกเธอนั่นเอง

และเธอก็เพิ่งพบเห็นดอกไม้ชนิดนี้ จากจุดอื่นในงานนิทรรศการด้วย

เมื่อคิดได้จึงคว้าแขนของกานต์แล้วลากกลับไปยังห้องทำงานจำลองของธุพาณ

และเมื่อมาถึง…วินิมัยก็ทราบทันทีว่าตนจำถูก

บนโต๊ะทำงานที่ทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อน ข้างแปลนอุปกรณ์ไฟฟ้า มีดอกปักษาหวนรังกำลังลอยนิ่งกลางอากาศในกล่องกระจกใส

“รูปนี้ถูกถ่ายในวัยหนุ่มใช่ไหม”

“ก็น่าจะใช่ครับ” กานต์ที่ดูปลื้มปริ่มกับการถูกคล้องแขนกล่าวเสียงสั่น

“ถ้าธุพาณหายตัวไปเมื่อประมาณ…ตีกว้างๆ ว่าสิบปีก่อน ตอนนั้นอายุก็น่าจะสักสี่สิบปลายๆ เกือบห้าสิบ แต่ทำไมถึงมีดอกไม้นี้วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาในวัยหนุ่มล่ะ”

“อาจจะวางไว้หลายจุดก็ได้นะครับ”

“โต๊ะนี้มีคำอธิบายไว้ว่าเป็นโต๊ะทำงานเก่าที่นำอุปกรณ์ของจริงมาวางแสดงนะ การจะนำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ของใช้ในเวลานั้นของธุพาณมาวาง ไม่น่าจะเหมาะสมหรอก” วินิมัยก้มหน้าลงไปพิเคราะห์ดอกไม้ กานต์ลองทำตามดูแล้วก็ส่งเสียงเฮ้ยออกมาเบาๆ

“ดอกนี้น่าจะมีอายุเกินยี่สิบปีแล้วครับ”

เธอขมวดคิ้วทันที ในขณะที่กานต์เอาไฟฉายจากมือถือส่องไปที่ใบของมัน พบว่ามีลายสีแดงปรากฏขึ้นทั่วไปหมด ราวกับเส้นเลือดเลยทีเดียว

“ปกติปักษาหวนรังจะไม่ค่อยเปื่อยเฉา ลายเหล่านี้ในใบที่ยังอ่อนจะออกสีน้ำตาลเข้มเมื่อต้องแสง ยิ่งแก่ยิ่งมีสีแดง” ความคลั่งไคล้ด้านดอกไม้ดูจะมีประโยชน์ในช่วงเวลานี้

“แล้วทำไมดอกปักษาหวนรังถึงมาอยู่ที่โต๊ะทำงานของธุพาณในวัยหนุ่มล่ะ”

กานต์ไม่ได้ตอบอะไร แต่รีบถ่ายรูปโต๊ะตัวนี้ ทุกซอกทุกมุม

“ไม่แน่ว่าธุพาณอาจจะไม่ได้หายตัวไปเพียงครั้งเดียว…” เขาสรุป

 

ธามทศขยับตัวไม่ไหว เขาคาดว่าตัวเองคงจะบาดเจ็บเอาการ

เมื่อพยายามเอียงคอมองไปที่หัวเตียงด้านซ้าย พบว่ามีนาฬิกาตั้งโต๊ะวางอยู่ สามโมงครึ่งของวันที่ ๑๑ ธันวาคม

ยังพอมีเวลาพัก…อีกสามวันจึงจะไปยังกฎถัดไปได้ เมื่อคิดเช่นนั้นจึงหลับตาลง หวังจะหลับสักพักหนึ่งเพื่อฟื้นกำลัง แต่ทันทีที่สติเริ่มจะหลุดจากร่าง มันก็ถูกดึงกลับมาใหม่ พร้อมกับเสียงสยองที่ข้างหูขวา

“วี้ด วี้ด”

ธามทศสะดุ้งตื่น เผลอออกแรงเพื่อชันตัวขึ้นมานั่ง แต่ก็ทำได้แค่ยกหัวขึ้น แรงจากการเกร็งกระดูกและกล้ามเนื้อส่งผลให้แผลที่เย็บไว้ตรงท้องไว้เกือบจะฉีกออก

เขาเปล่งเสียงร้องอ้ากแข่งกับเสียงสะอื้นไห้ของผีหญิงเปลือยที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียง เผลอมองไปทางนั้นครู่หนึ่งก็เห็นภาพคุ้นตา

หญิงสาวที่ลูกตาข้างหนึ่งห้อยออกมาจากเบ้า จมูกกับปากมีเลือดทะลักชวนคลื่นไส้ เสียงร้องจากปากที่ด้านในที่แทบไร้ฟันฟางนั้นเสียดไปถึงสมอง และหากมองให้ดีก็จะพบว่าลิ้นนั้นเละเทะเหมือนมีรอยบาดเต็มไปหมด

เมื่อทนไม่ไหวจึงรีบหันหน้ากลับไปอีกทาง ทั้งที่ควรจะรู้ว่าเป็นความคิดที่โง่มาก แล้วก็ตามนั้น เฉียงไปทางซ้ายประมาณห้าเมตรนั้นมีตัวอะไรบางอย่างโผล่มาที่หางตา มันคือผีเปรตตัวสีดำ ดำราวกับความมืดบนฟ้าที่ไร้ดาว ดำเหมือนรวมความชั่วร้ายทั้งหมดไว้ที่ตัว

ผีเปรตเดินมาทางเตียงช้าๆ ไม่ต้องจินตนาการก็ทราบว่าหัวของมันกำลังครูดไปกับเพดานห้อง กระทั่งเกิดรอยเลือดและหนองสีดำเป็นทางยาว

ปากเท่ารูเข็มส่งเสียงวี้ๆ พยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าเป็นการสาปแช่งหรือไม่ก็ขู่จะเอาชีวิต

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเจอกับพวกมัน ตั้งแต่วัยเยาว์ที่ถูกตามหลอกหลอน บ้างถูกทำร้ายยามเผลอกระทั่งกลัวขี้หด แม้ไม่ถึงตายแต่ก็หวิดไปหลายครั้งแล้ว ยิ่งกลัวยิ่งถูกรังควานหนักขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อจ้องตาของพวกมันสลับไปมา ไม่นานผีทั้งสองก็หายวับไป

เขาหย่อนหัวลงกับหมอนสีขาว กล่าวโทษตนเองที่เผลอไป พวกมันจะมาหลอกหลอนเมื่อไรก็ได้ และนั่นทำให้ตนมีนิสัยขี้ระแวงและหงุดหงิดตลอดเวลาจากการพักผ่อนไม่พอ

หากสลบไปในทันทีเลยก็คงไม่มีปัญหา แต่สะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นเช่นนี้คือการล่อให้พวกมันมาเยี่ยมแบบเต็มๆ

ไม่ใช่เวลามาสนใจพวกนี้ ต้องรีบหลับสนิทให้เร็วที่สุด ระยะหลังนี้มีหลายครั้งที่ผีสองตนสามารถทำร้ายคนที่อยู่รอบตัวเขาได้ ธามทศไม่อยากให้คนในองค์กรนี้โดนหางเลขไปด้วย

ต้องฟื้นตัวให้หายและรีบจากไป

ทั้งหมดคือปัญหาของเขา ของเขาคนเดียวเท่านั้น

 

ซุ้มโครงการพัฒนาบุคลากรวัยเยาว์อันยั่งยืนไม่ค่อยมีคนมากนักเมื่อเทียบกับตำแหน่งอื่น เรียกว่าโหรงเหรงก็ว่าได้ มันถูกจัดในรูปแบบของทางบังคับเดินที่คดไปมา ซ้ายขวาเป็นบอร์ดสีขาวสูงประมาณสองเมตรที่วางเรียงรายกันไป ที่สกรีนบนผิวบอร์ดคือภาพของธุพาณในวัยต่างๆ กำลังยืนกับเหล่าเด็กน้อย

ข้อมูลของบอร์ดที่แวะอ่านจะไหลไปในเชิงเดียวกัน คือเขาตั้งโครงการรับเด็กกำพร้ามาดูแล เพื่อตามหาผู้ที่มีความสามารถและหัวคิดในการประกอบธุรกิจซึ่งจะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต โดยไม่ชี้เฉพาะว่าจะต้องเป็นธุรกิจแบบเดียวกับที่ครอบครัวของธุพาณก่อตั้งขึ้นหรือไม่ ขอเพียงมีศักยภาพและความฝัน เด็กน้อยจะเติบโตในทิศทางใดก็ล้วนแต่จะได้รับทุนสนับสนุน

ทว่าเดินมาแทบจะสุดทาง ก็ไม่พบอะไรอื่นนอกจากรายละเอียดจำพวกนี้ ไม่มีกล่าวว่าเด็กกลุ่มต่างๆ นับร้อยนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไร มีใครประสบความสำเร็จบ้าง

สุดทางแล้ว หากเดินเลยบอร์ดขาวลำดับสุดท้าย จะเป็นทางออกของนิทรรศการนี้ทันที

แต่เหตุผลที่ทั้งสองยังไม่ออกไปไหน ไม่ใช่เพราะต้องการหาคำตอบเรื่องความเป็นไปของเหล่าเด็กน้อย แต่เพราะภาพที่ถูกประทับบนผิวบอร์ดลำดับสุดท้ายนั้น มันมีบางสิ่งที่แสนคุ้นตา

วินิมัยขยี้หัวและชะโงกหน้าเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้

มันเป็นภาพของเด็กจำนวนหกคน หญิงสอง ชายสี่ ทุกคนอายุประมาณไม่น่าเกินสิบปี อยู่ในชุดสูทสำหรับเด็ก กำลังยืนหันหน้าตรงเข้าหากล้อง โดยมีธุพาณในชุดเสื้อโปโลลายทางกับกางเกงยีนส์ยืนยิ้มที่ตรงกลาง

ใบหน้าของธุพาณดูมีความสุขกว่าภาพบนบอร์ดอื่นๆ ทั้งหมด

และมีเด็กน้อยคนหนึ่งผู้แสนจะคุ้นตา สายตาที่มองมานั้นไร้แววชีวิตชีวาและดูรู้ว่าดื้อดึง ปลายริมฝีปากสองฝั่งยักลู่ลงแสดงความไม่พอใจ แต่แฝงไว้ซึ่งเสน่ห์อันไม่อาจต้าน

แค่ชำเลืองยังทราบเลยว่าเป็นธามทศในวัยเยาว์แน่นอน

รายชื่อถูกพิมพ์ที่ด้านล่างเรียงตามลำดับการยืนในรูป ไล่ดูก็พบชื่อของเด็กคนนั้น

ฤทธา คอนเนอร์ (ฤทธิ์)

…นั่นคือชื่อของธามทศในอดีตงั้นหรือ

หากมองจากทางฝั่งของวินิมัย เขายืนอยู่ฝั่งซ้ายของธุพาณ ข้างกับเด็กชายและเด็กหญิงอีกหนึ่ง

เด็กหญิงนั้นยิ้มทะเล้น ทำตาปี๋และหน้าย่น มองไม่ออกว่าหน้าจริงเป็นแบบไหน ทว่าก็พอจะเดาได้ถึงเค้าความสวยงามที่แฝงอยู่

ในขณะที่เด็กชายอีกคนที่ดูจะมีอายุมากที่สุดในกลุ่มเยาวชนนี้ มีสีหน้าที่เหนื่อยหน่าย หนังตาตก สวมแว่นกรอบหนาที่ดูแก่กว่าวัย ส่วนสูงนั้นมากกว่าธามทศพอสมควร

หากสังเกตดีๆ จะพบว่าธุพาณนั้นแอบผายมือข้างหนึ่งมายังเด็กที่ยืนข้างตัว ซึ่งก็คือเด็กชายสวมแว่นคนนี้

ธามทศนั้นรู้จักดี แต่อีกสองคนนี้ช่างเป็นคนที่ดูคุ้นตาจริงๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ใด หันไปทางกานต์ก็พบว่าเขาเองก็ทำหน้าตาสงสัยเช่นกัน

และเมื่อเลื่อนสายมาอ่านชื่อดูอีกรอบก็ต้องร้องอ๋อ เด็กสวมแว่นคือดิวาห์ คอนเนอร์นั่นเอง ส่วนเด็กสาวชื่อว่าโมนา

โมนาน่ะไม่รู้จัก แต่ดิวาห์คือคนที่กำลังรอพบอยู่ แสดงว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับธามทศตั้งแต่ยังเด็กสินะ

ส่วนเด็กทั้งสามคนที่ยืนอีกฝั่ง ชื่อ พรีม วิคเตอร์ และเดช ท่าทางดูร่าเริงดี จะโดดเด่นที่วิคเตอร์ซึ่งมีแผลเป็นที่แก้มซ้าย ลากยาวเกือบถึงคาง ที่เหลือก็ไม่มีอะไรน่าติดใจ

“ธามทศเคยบอกเรื่องนี้กับคุณมัยไหมครับ”

ไม่เลย เธอส่ายหัวงึก รู้สึกสับสนไม่แพ้คนถามเลยสักนิด

เสียงเรียกเข้าดังขึ้น รับสายพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ แจ้งว่าดิวาห์พร้อมจะคุยแล้ว

 



Don`t copy text!