ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 13 : ครอบครัว…อย่างนั้นหรือ?

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 13 : ครอบครัว…อย่างนั้นหรือ?

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ทั้งสองไปพบดิวาห์ที่กำลังนั่งรอในร้านอาหารขนาดเล็กสำหรับรับแขก ซึ่งตั้งอยู่อีกอาคาร ดูท่าจะไม่อยากให้ไปพบที่ห้องทำงาน

หน้าตาไม่ต่างกับในรูปบนเว็บไซต์ เป็นชายร่างสูงบาง หน้าตาได้รูป สวมแว่นตากรอบเหลี่ยมสีน้ำตาลที่เข้ากับโครงหน้า ผมยาวตรงถึงหัวไหล่ ใส่ชุดสูทผ้าแกเบอร์ดีนแบบหกกระดุม ซึ่งเธอรู้สึกไม่คุ้นตา ไม่เคยรู้เลยว่าทำสูททรงนี้ขายด้วย คิดมาตลอดว่าผู้มีตำแหน่งระดับสูงจะต้องใส่ชุดแบรนด์ของตัวเองเท่านั้น

สีหน้าความไม่แยแสของดิวาห์ทำให้รู้สึกอึดอัด ปกติแล้วผู้ชายที่ไม่รู้จักสันดานกัน เมื่อเห็นหน้าครั้งแรกมักต้องหลงใหลในตัวของเธอสิ แต่สายตาที่ดิวาห์มองมานั้น คือสายตาสัตว์ร้ายที่จ้องศัตรูมากกว่า

มีชายในชุดสูทดำสองคนยืนข้างหลังราวกับบอดี้การ์ด เมื่อทั้งสองเดินมาใกล้ ดิวาห์ขยับตัวขึ้นเล็กน้อย ผายมือเชิญให้นั่งลงตรงข้าม แต่แอบดูรำคาญใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมมีธุระด่วนมาก รบกวนสรุปใจความ” จากนั้นมองมาอย่างดูถูก

“เราแค่จะถามเรื่องของคนชื่อธามทศ กับพวกกฎต่างๆ น่ะค่ะ”

สายตานั้นหรี่ลง ออกแนวแปลกใจ คงไม่คิดว่าเธอจะใส่ตรงๆ แบบนี้

“ผมไม่ถนัดในการรับมือกับพวกเฮลป์เปอร์เท่าไรนัก รบกวนเข้าประเด็นทันที ถ้าตอบได้จะตอบ แล้วกรุณารีบกลับไปเสีย”

คราวนี้เธอกับกานต์มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ชายตรงหน้ารู้เรื่องของเฮลป์เปอร์งั้นหรือ

แม้จะตระหนกกับเรื่องเกินคาด แต่สายตากานต์บอกมาว่าเป็นประเด็นรอง อย่าลืมว่าเรามาที่แห่งนี้เพื่ออะไร

วินิมัยหันไปจ้องหน้าดิวาห์ สายตานั้นดูแคลนพวกเธอทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด

“เรารู้ว่าคุณช่วยธามทศเรื่องกฎของแผนกบัญชี แต่เขาต้องการเอาชนะกฎพวกนั้นไปทำไม เพื่อขอพรอะไรงั้นหรือคะ”

ดิวาห์เผยรอยยิ้มออกมา แต่แววตาดูถูกยังคงอยู่ “ผมเชื่อว่าตัวธามเองคงไม่ได้หวังอะไรยิ่งใหญ่อย่างนั้นหรอกครับ”

“แล้วเป้าหมายของเขาคืออะไรครับ”

“ผมว่าเรื่องนี้คุณควรไปถามเจ้าตัวเองดีกว่าไหม หรือว่าไม่ได้รับความไว้วางใจมากพอที่จะรู้ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกคุณไม่ควรจะรู้สินะ”

สีหน้าน่าหมั่นไส้นั้นไม่เปลี่ยน วินิมัยใช้ฝ่ามือขวาจับข้อมือซ้ายอย่างไว เกือบยกขึ้นตบแล้ว

“เอาเป็นว่าเขาเคยทำงานในบริษัทนี้จริง แต่เพราะสร้างปัญหาพอสมควรจึงต้องขอให้ลาออกไป แต่ทางเราก็จ่ายเงินชดเชยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยทั้งที่ยังไม่ผ่านช่วงทดลองงาน ถ้าจะฟ้องกระทรวงแรงงานก็คงจะเจอปัญหาหน่อยนะครับ”

ไม่มีใครพูดเรื่องประเด็นเงินเดือนเลย ไอ้แว่นเวรพยายามเปลี่ยนเรื่อง

“มิน่าเล่า เขาถึงมีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงาน มัวแต่เทียวไปเทียวมา เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเล่น”

แววตาดูหมิ่นเหยียดหยามถูกลบทิ้งสิ้นด้วยความอำมหิต

ได้ผล ดิวาห์ดูจะมีอาการไม่พอใจเวลาที่เธอกล่าวในทางลบถึงธามทศ

“คุณโตมากับธามตั้งแต่สมัยเด็กใช่ไหม งั้นก็น่าจะทราบว่าที่เขาทำอยู่มันอันตรายมาก ทำไมไม่ร่วมมือกับเราในการหยุดเขาล่ะ”

ดิวาห์ถอดแว่นออกมา เช็ดด้วยผ้าที่หยิบจากช่องเก็บด้านในเสื้อสูท สวมกลับไปพร้อมปั้นหน้าดูถูกอีกครั้ง น่าจะเป็นวิธีที่ใช้ในการคุมอารมณ์ตนเอง “คุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเขา อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป”

กานต์ขยับตัวขึ้นมานั่งใกล้ดิวาห์มากขึ้น เหมือนจะพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ระเบิด

“การสืบหาตัวอดีตประธานธุพาณเป็นอย่างไรบ้างครับ ผมเองก็ติดตามผลงานของท่านมาโดยตลอด ยกเว้นพวกระบบนำทางใต้น้ำนะ อันนั้นเข้าไม่ถึงจริงๆ” เขาพูดพลางหัวเราะดูเป็นมิตร

ดิวาห์มีท่าทีอ่อนลง ดูท่าจะไม่เกลียดกานต์มาเท่าที่เกลียดเธอ “ขอบคุณสำหรับคำชม เรื่องระบบนำทางใต้น้ำ ผมเองก็ยอมรับว่าซับซ้อนเกินความจำเป็นจริงๆ ส่วนเรื่องการสืบหานั้นไม่คืบหน้าเลยครับ เขาหายตัวไปนานเกินกว่าจะหาร่องรอยแล้วด้วย”

“เกี่ยวข้องกับกฎอาถรรพณ์หรือเปล่าครับ ถ้าเกี่ยว ทางผมอาจจะช่วยได้”

ดิวาห์หัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือกลางอากาศ “ไม่น่าเกี่ยวหรอกครับ แต่ถ้าภายหลังพบว่าเกี่ยว ผมจะติดต่อไปเอง เอาเป็นว่าผมขอบคุณละกัน”

กานต์เอียงคอ “คุณมีนามสกุลเดียวกับเขา เช่นเดียวกับเด็กอีกห้าคน แต่เด็กคนอื่นๆ ในโครงการเดียวกันก่อนหน้านี้กลับไม่ได้นามสกุลคอนเนอร์ พวกเขา…”

นั่นคือสิ่งที่วินิมัยไม่ได้สังเกตเลย เกือบจะร้องอ๊ะออกมาด้วยซ้ำ

“พวกนั้นไม่ผ่านการทดสอบครับ” ดิวาห์แย่งตอบก่อนกานต์จะจบคำถาม แต่มีท่าทางภูมิใจ “แต่ผมก็มองว่าพวกนั้นเป็นครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มที่โตมาด้วยกัน”

วินิมัยเหลือบมอง ดิวาห์คงหมายถึงธามทศและพวกโมนา ส่วนกานต์นั้นยังคุยไม่จบเรื่อง

“งั้นหรือครับ แต่ว่าคุณเก่งมากเลยนะครับที่บริหารกิจการมาถึงจุดนี้ได้ ผมทราบมาว่าช่วงหลายปีหลังจากคุณธุพาณหายตัวไป คอนน์ รีเทลลิ่ง เจอปัญหาใหญ่ทีเดียว กระทั่งคุณเข้ามาบริหารเต็มตัว”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมไม่ใช่ผู้มีอำนาจสูงสุดในเวลานี้ แค่มีหุ้นและดำรงตำแหน่งคณะกรรมการเท่านั้น แต่ก็นะ…ตำแหน่งสูงสุดเป็นของคนเก่าแก่ที่ไม่ได้มีความสามารถในการทำงานอะไร” ดิวาห์หลุดยิ้มออกมา

“ที่ผมทำไปก็ไม่ใช่อะไรที่สมควรได้รับคำชมเชยด้วย ทุกอย่างนั้น…ตัวท่านธุพาณได้ตั้งโครงไว้หมดแล้ว ตัวผมก็แค่ทำไปตามนั้น และอย่างที่คุณว่า ธุรกิจเสื้อผ้านั้นถูกตีจากทุกทาง ผมก็ทำได้แค่ใช้ทุกอย่างที่ท่านประธานสร้างไว้ในการพาพนักงานและผู้ถือหุ้นให้รอด มันก็เท่านั้น”

เรื่องธามทศไม่ยอมตอบ แต่เรื่องตัวเองจ้อไม่หยุด วินิมัยเกลียดคนแบบนี้ที่สุด

“ว่าแต่…” ดิวาห์ว่าแล้วมองวินิมัย คงทราบว่าโดนหมั่นไส้ “รสนิยมแปลกดีนะครับ ดูท่าจะชอบยุ่งเรื่องของครอบครัวคนอื่น”

วินิมัยหน้าชา แต่ยังกัดฟันตอบกลับ

“ในรูปนั้นไม่เห็นมีใครทำหน้าเหมือนอยู่กับครอบครัวเลยนะคะ” เธอหมายถึงรูปในโครงการ “และคนที่เห็นธามทศเป็นครอบครัวจริง จะไม่สนับสนุนให้เขาเอาตัวไปเสี่ยงกับกฎบ้าๆ พวกนั้นหรอก”

“กฎบ้าๆ งั้นหรือ” ดิวาห์หยุดกึก “คุณพูดเหมือนรู้จักธามทศดีมาก”

“เราเคยเป็นคนรักกัน”

ดิวาห์ได้ยินแล้วแสยะ “งั้นหรือ เดาว่าคุณคงถูกเขาทิ้งสินะ…”

วูบนั้นเธอหน้าแดงทันทีด้วยความโกรธ

“และคุณเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่ถูกเขาทิ้ง ดูท่าแล้วคุณจะรู้จักเขาน้อยกว่าผมเสียอีก” มีน้ำเสียงขบขันปนในคำพูด เธอกรีดร้องในลำคอ และเตรียมจะเข้าไปทำร้ายชายร่างบางตรงหน้า

แต่กำปั้นที่พุ่งใส่แก้มของดิวาห์ กลับเป็นของกานต์

เสียงดังผัวะ ท่อนบนของดิวาห์สะบัด…ก่อนจะร่วงจากเก้าอี้ แม้เข่าข้างหนึ่งจะดิ่งลงกระแทกพื้น แต่ใบหน้าเฉยเมยยังคงเดิม เพียงแต่มีรอยช้ำสีแดงที่แก้มซ้าย เลือดกบปากเล็กน้อย

“มึงเองก็ไม่รู้จักคุณมัยเหมือนกัน อย่ามาปากดีนะเว้ย”

เธอลุกขึ้นจะห้าม แต่กานต์เอาตัวเข้ามาขวางด้านหน้าไว้ ราวกับจะบอกว่าผมจัดการเอง

ลูกน้องสองคนปรี่เข้ามาพร้อมท่าทีขึงขัง คงต้องการจะเอาเรื่อง แต่ดิวาห์ส่งเสียงเบาๆ ว่า ‘หยุด’ เพียงแค่นั้น ชายร่างยักษ์ทั้งสองก็ยืนนิ่งไป

“ผมฟ้องคุณได้นะ” ดิวาก์จ้องขึ้นมายังกานต์ที่ยืนค้ำโต๊ะอยู่ น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบไม่เปลี่ยนเลย แต่ดูออกว่าไม่ได้โกรธเคืองอะไรกานต์ จากนั้นลูกน้องจึงพยุงตัวเขาลุกขึ้นมา “แต่เพราะไม่สนใจพวกตัวประกอบอย่างพวกคุณ จึงจะปล่อยไป”

วินิมัยยืนด้านหลังจึงมองไม่เห็นสีหน้าแววตาของเพื่อนร่วมงาน แต่แผ่นหลังอวบหนาของเขา บัดนี้ดูผึ่งผายและอบอุ่น

แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกผิด เพราะตนคือคนหาเรื่อง…วินิมัยทราบดี

ดิวาห์ขยับแว่น “อันที่จริงต้องกล่าวว่ารู้สึกดีด้วยซ้ำที่ถูกชก อย่าลืมเสียล่ะว่าธามทศเป็นคนเต็มใจเข้าไปยุ่งกับกฎพวกนั้นเอง และตัวพินธาต่างหากที่รู้อะไรมากกว่าผม” เมื่อพูดจบก็เดินจากไปพร้อมลูกน้อง ไม่หันกลับมามองสักนิด

ส่วนวินิมัยกับกานต์มองหน้ากันเมื่อได้ยินชื่อของพินธา ประธานรู้อะไรงั้นหรือ

 

ยากที่จะหลับยาวไปเลยเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ ธามทศจึงแบ่งเวลานอนออกเป็นช่วงๆ หลับลึกทุกสองชั่วโมงจะตื่นขึ้นมา คราวนี้ไม่ค่อยถูกรบกวนเท่าไร

เมื่อตื่นแล้วรู้สึกตัวว่าลุกไหวแล้ว เขาจึงชันตัวขึ้นมานั่ง มองไปทางขวาก็พบมีดคัตเตอร์สีดำวางอยู่บนโต๊ะวางของเตี้ยๆ

ยังพอมีหวังอยู่สินะ ธามทศแอบยิ้มกับตัวเอง มันเป็นมีดที่เก็บมาจากร่างของไอ้โรคจิตชื่อเดวิด ผ่านกฎห้องแชตต้องสาป

หลังจากนั้นก็ทุลักทุเลเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าสะพายในตู้เสื้อผ้า สภาพแย่เอาการ แต่ดูเหมือนว่าแบตเตอรี่จะเต็มแล้ว ต้องขอขอบคุณเฮลป์เปอร์

หน้าจอขึ้นแจ้งเตือนว่ามีคนเข้าเมลของเขาจากคอมพิวเตอร์ส่วนตัว คงเป็นวินิมัย…แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร สองมือรีบเปิดเลื่อนดูข่าวออนไลน์ที่บันทึกในเครื่อง ในหัวลังเลว่าจะพักต่ออีกหน่อยดีหรือไม่ ยังพอมีเวลาก่อนจะไปยังกฎถัดไป

แต่ข่าวที่เพิ่งอัปเดตเมื่อครู่ก็บอกกับเขาอย่างโหดร้ายว่า มึงต้องรีบแล้ว

สถาบันกวดวิชา UHRR กลับมาให้บริการอีกครั้งในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ก่อนจะประกาศบูรณะฝั่งอาคารเรียนรู้ด้วยตนเองในวันที่ ๑๔ ธันวาคม

สถาบันกวดวิชา UHRR คือสถานที่ที่ธามทศต้องการจะไป ภายในมีสามอาคาร พวกมันกำลังจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากถูกลอบวางเพลิงครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน อันที่จริงเขาต้องการแค่ไปฝั่งอาคารเรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น ไม่คิดว่าหลังจากเปิดให้บริการเพียงไม่กี่วันก็จะเริ่มปิดบูรณะในส่วนนั้นเลย บ้าชะมัด มันไม่กลัวว่าเด็กที่มาเรียนพิเศษจะได้รับผลจากเสียงและฝุ่นการก่อสร้างหรือไง

บัดนี้คือเย็นวันที่ ๑๑ ธันวาคม ต้องรีบแล้ว ไม่แน่ว่าคราวนี้อาจจะถูกทุบทิ้งเลยก็ได้ และกฎที่ต้องการเข้าร่วมก็จะหายไปตลอดกาล

ระหว่างกำลังจัดแจงแต่งตัว หน้าก็มืดกะทันหัน จริงสินะ ไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้วก็ไม่รู้

มีเสียงก๊อกๆ จากประตูห้อง พยาบาลหญิงผมดำขลับเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารที่วางอยู่บนรถเข็นล้อเลื่อนสีเงินวับ และเมื่อหญิงสาวใช้มืออีกข้างดันปิดประตู เขาก็เห็นผีหญิงเปลือยท่วมเลือดกำลังยืนที่ด้านหลังของเธอ

ดวงตาข้างที่ยังสถิตในเบ้าจ้องเขม็งไปที่หลังหัวของพยาบาลชุดขาว

เขากลืนน้ำลาย ที่ผ่านมาพวกมันจะไม่ทำร้ายคนอื่นที่ไม่ใช่ ‘เป้าหมาย’ แต่ช่วงนี้ต่างออกไป เพราะเริ่มรู้สึกวิตกชอบกลจึงรีบส่งเสียงเรียกให้เธอเดินมาหา

“กำลังรอเลยครับ หิวตาลายแล้ว”

เธอตอบว่าจ้า แล้วรีบเข็นรถมาทางนี้ด้วยสีหน้ารื่นเริง โดยที่หญิงเปลือยไม่ได้เดินตามมา แต่ยืนสงบนิ่งราวกับรูปปั้น สายตาอำมหิตนั้นยังคงจดจ้องพยาบาลอยู่

ธามทศเปิดถาดออกแล้วยัดอาหารอย่างบ้าคลั่ง รีบซดน้ำในเหยือกตาม หวังจะเผ่นออกจากที่แห่งนี้หลังกินเสร็จ

“ค่อยๆ ทานสิคะ เดี๋ยวจะติดคอ” พยาบาลใจดีกระซิบบอก ดูแล้วเป็นคนน่าคบหา

ยังมีอีกสองจานที่ยังไม่ได้ลิ้มรส กะว่าจะกินหลังจากกระดกหมดเหยือกแล้ว และเมื่อน้ำหยดสุดท้ายไหลผ่านคอ เขาหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อซึมซับรสสดชื่นของมัน

ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมา กลับพบว่าถัดไปจากรถเข็นถาดอาหารนั้น ผีหญิงเปลือยกำลังนั่งคร่อมร่างของพยาบาลสาว สองมือชุ่มเลือดนั้นกำลังบีบคอเธออยู่

ตากลมโตของเธอนั้นเบิกกว้างเหลือแต่สีขาว ลิ้นดูสุขภาพดีจุกออกมาจากปาก สองมือนั้นปัดไปมา พยายามเต็มที่ที่จะดึงตัวเองออกจากพันธนาการของสาวเปลือย

มือขาวที่ชโลมด้วยเลือดนั้นบรรจงขับแรงบีบที่คอระหง กระทั่งเส้นเลือดที่ท้องแขนปริแตกออกมาเป็นหนองขุ่น ธามทศเกือบจะกรีดร้องออกมา แต่สัญชาตญาณนั้นผลักให้มือขวาคว้าคัตเตอร์ที่วางอยู่บนเตียงและเลื่อนให้คมของมันออกมาสู่ภายนอก ร่างกายพุ่งเข้าใส่ผีร้ายพร้อมปักปลายมีดเข้าที่กลางกระหม่อมของมัน

ผีเปลือยร้องออกมาไม่เป็นภาษา หยุดบีบคอของพยาบาลทันใด พร้อมยกสองแขนขึ้นตีไปทั่วศีรษะตัวเอง คงเพราะต้องการบรรเทาความปวดร้าวกลางกบาล

อย่าถูกอาวุธหรืออุปกรณ์ของเดวิดทำร้ายโดยเด็ดขาด เพราะแผลนั้นจะไม่มีวันหาย แม้ว่าจะออกจากที่พักไปแล้วก็ตาม มันจะแทงทะลุทุกอย่าง ฝังไปถึงกระดูกและวิญญาณ และเจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชากโดยไม่มีข้อแม้

กฎที่ตราไว้ของห้องแชตต้องสาปนั้นมิได้โกหก อาวุธหรืออุปกรณ์ของเดวิดแม่งเป็นของจริง และสามารถทำร้ายวิญญาณได้อย่างสาหัส

ความจริงอยากได้พวกขวานหรืออะไรที่น่าใช้กว่านี้ แต่ช่างเถอะ หากเป็นเช่นนี้แล้ว โอกาสรอดในกฎถัดไปย่อมสูงขึ้น

พยาบาลสาวที่อยู่ด้านหลังไอแค่กๆ เมื่อได้สติสตังและเห็นภาพน่าสยอง เธอร้องและรีบคลานถอยหลังไปถึงเตียงพร้อมปิดตา แต่ดูท่าทางจะไม่ถึงชีวิต

ทว่าไม่ช้าผีร้ายก็กลั้นใจจับที่คัตเตอร์เพื่อหวังจะดึงออกมา

เขาไม่รอให้มันดึงหรอก ส่งมือขวาประเคนดันเข้าไปที่ปลายคัตเตอร์อีกครั้ง เสียงดังฉึกพร้อมเพลงโหยหวนจากปากของมัน

ก่อนจะจับแน่นที่ตรงกลางด้ามจับ และใช้นิ้วโป้งดันปุ่มสีเงินเลื่อนส่วนคมมีดออกไปให้ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้

เสียงร้องดังขึ้นกว่าเดิม และดับไปในครู่ถัดมา

 



Don`t copy text!