ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 14 : ผีเปรต!

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 14 : ผีเปรต!

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

กานต์ขับรถไปพลาง พูดเออออตอบคู่สนทนาในหูฟังไปพลาง

“เกินคาดแฮะ” เขาเกาหัวเมื่อปลายสายตัดไป แต่ทางวินิมัยไม่ได้ตอบอะไร เธอหลบสายตาแถมยังหน้าแดงก่ำ ดูท่าจะยังโกรธดิวาห์ไม่หาย

ส่วนเขาพยายามสรุปเรื่องที่คุยเมื่อครู่อีกครั้ง “พอลองถามเพื่อนที่ทำงานในวงการเสื้อผ้าดูแล้ว เหมือนจะมีข่าวลือว่าธุพาณไม่ได้หายสาบสูญไปไหน เพียงแต่ป่วยหนักใกล้ตาย ทว่าเพราะกลัวอะไรไม่ทราบ ทางกรรมการและผู้ถือหุ้นจึงตัดสินใจออกข่าวว่าหายตัวไปแทน ดอกปักษาหวนรังดอกที่สองก็คงนำมาติดเพื่อความสมจริง”

“แล้วจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร”

“ผมก็ไม่แน่ใจ บางทีการหายตัวไปรอบแรกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ก็อาจจะเป็นเรื่องโกหกเหมือนกันก็เป็นได้”

“แล้วทำไมถึงมีดอกไม้นั่นที่โต๊ะประธานพินธาด้วยล่ะ”

เขาครุ่นคิดคู่หนึ่งแล้วตอบในสิ่งที่คาดไว้

“น่าจะเป็นคนละเรื่องกันเลย ในวัยเด็กประธานเองก็สูญเสียครอบครัวไปในเหตุการณ์สยองใช่ไหมล่ะ ตัวประธานแม้จะถูกพบหลังจากนั้นไม่กี่วัน แต่ก่อนหน้านั้นคงมีญาตินำมาให้ หรือไม่ประธานก็เป็นคนหามาเอง เพื่อหวังว่าวันหนึ่งพ่อและแม่จะกลับมา ดอกไม้นี้มีขายในวงการคนเล่นพืชพรรณอยู่ทั่วไปครับ อาจจะไม่เป็นที่นิยมเท่ากุหลาบ แต่ถ้าถามคนขายหรือคนเล่น ใครๆ ก็รู้จัก”

วินิมัยพยักหน้า ไม่สบายใจเท่าไรนักที่เอาเรื่องส่วนตัวของเจ้านายมาถก คนที่ทำงานในเฮลป์เปอร์ต่างทราบดีว่าพินธาเจอเรื่องเลวร้ายมาในวัยเยาว์ แต่นอกจากเธอ กานต์ และพวกระดับสูงแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีใครทราบรายละเอียด

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยไหม” เธอทำหน้าบูด หยิบสมาร์ตโฟนออกมากดแล้วนำไปแนบหู สักพักก็บ่นอุบ

“แย่จริง ประธานไม่รับสายเลย” วินิมัยที่นั่งข้างๆ ทำสีหน้ากังวลหนัก

คราวนี้เธอสลับให้กานต์เป็นคนขับ การเดินทางจึงดูเชื่องช้าลง เพราะเขาไม่กล้าเหยียบคันเร่งของรถที่ตนไม่คุ้น

“บางทีประธานอาจกำลังประชุมสำคัญอยู่ก็ได้ครับ ท่านงานยุ่งจะตาย”

แม้จะบอกไปเช่นนั้น แต่เขายอมรับว่าตนแอบสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่เหมือนกัน ดิวาห์รู้จักประธานและเหล่าเฮลป์เปอร์ได้อย่างไร

ทั้งบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง ทั้งกฎหลอนที่ธามทศพยายามหาเรื่อง และตัวเฮลป์เปอร์เอง ทั้งหมดอาจจะเกี่ยวพันกันก็เป็นได้ ใจหนึ่งเถียงตัวเองว่าไม่ใช่หนังสืบสวนนะเว้ย แต่อีกใจกล่าวว่าแค่ใช้หัวคิดและจินตนาการก็เดาได้แล้วว่าต้องเกี่ยวข้องกันชัวร์

วินิมัยกดโทร.อีกหลายครั้ง ก่อนจะร้องเอ๊ะ และเพ่งตาใส่สมาร์ตโฟน

“ประธานส่งเมลเข้ามาเมื่อกี้ ฉันจะกดเข้าไปดูนะ” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ชำเลืองมองดูก็รู้ว่าหน้าจอขึ้นแสดงเนื้อหาก่อนจะพูดอีก

“มันเป็นโลเคชันของสักที่ อยู่จังหวัด R ไกลออกไปโขเลยแฮะ”

“ทำไมจู่ๆ ประธานถึงส่งโลเคชันมาให้คุณมัยล่ะ…”

วินิมัยส่ายหัว เวลาเดียวกับที่สมาร์ตโฟนของเขาซึ่งถูกวางในช่องเก็บหลังเกียร์เกิดสั่นขึ้นมา มีอีเมลเข้า

วินิมัยเปิดดูแล้วแจ้งทันทีว่าเป็นโลเคชันเดียวกัน

“โทรกลับไปก็คงไม่มีคนรับ อาจจะเป็นการตั้งเวลาส่งละมั้ง หรือไม่ก็ส่งในช่วงพักการประชุม ฉันว่าเราไปที่ตำแหน่งนี้กันเลยเถอะ”

เขาเห็นด้วย แต่แอบแย้งเบาๆ “จากตรงนี้ กว่าจะไปถึงก็สักครึ่งชั่วโมง หรือไม่ก็ชั่วโมงเต็มๆ ถ้าคุณธามทศเกิดตื่นขึ้นมา…”

“ช่างเถอะ ถึงฉันจะอยู่ ธามก็ไม่คุยด้วยหรอก”

อย่างน้อยก็น่าจะไปห้ามหน่อย ไม่สมกับเป็นวินิมัยเลย พฤติกรรมแบบนี้คิดได้ทางเดียว นั่นคือเธอทราบดีว่ายังพอมีเวลาก่อนที่ธามทศจะไปยังกฎถัดไป เธอน่าจะรู้อะไรแต่ไม่บอกเขา ทำไมล่ะ ทั้งที่พยายามช่วยถึงขนาดนี้แล้ว กานต์สงสัยแต่ไม่กล้าเอ่ยถาม

หัวใจที่ปวดร้าวสั่งการได้เพียงอย่างเดียว คือขับรถต่อไป

และรถยนต์สีดำนั้นพุ่งไปด้วยความเร็วกว่าปกติวิสัยมาก

 

ท้องฟ้ายามเย็นไม่น่ามอง แทบไม่มีเมฆหมอก และเงียบอย่างน่าฉงน กระทั่งได้ยินแม้แต่เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาถึงที่นั่งคนขับ

เมื่อลงจากทางพิเศษก็พบว่าถนนเปลี่ยนจากใหม่เอี่ยมเป็นค่อนข้างผุพังในทันใด ขับต่อมาตามทางสักพักก็เริ่มไม่มีรถร่วมทางแล้ว จะมีก็เพียงรถบรรทุกทรายและอิฐที่ขับสวนกันนานๆ ครั้ง แม้แต่ไฟจราจรยังไม่ทำงานด้วยซ้ำ

ไม่คิดว่าแถวนี้จะร้างขนาดนี้ เขาแอบบ่น รอบข้างสองฝั่งนั้นมีเพียงอาคารเตี้ยๆ ที่ไม่มีใครอยู่ พื้นที่รกร้าง หรือไม่ก็บ้านเก่าๆ ดูท่าว่าจะเกิดการย้ายถิ่นเมื่อหลายปีก่อน เพราะเจอทั้งน้ำท่วมแถมยังควันพิษอีก ไม่รู้เลยว่าประธานส่งโลเคชันนี้มาให้ทำไม

หันไปมองเห็นวินิมัยนอนเอียงคอไปพิงกระจก ดูท่าแล้วคงไม่ได้หลับสนิทมาหลายวัน ใบหน้าสวยหวานกับแก้มอิ่มได้รูปนั่นเกือบทำให้ลืมไปว่าตนขับรถอยู่

แต่ทันทีที่กลับมาตั้งสติกับพวงมาลัย วินิมัยก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา

เขาสะดุ้งกับเสียงในลำคอของวินิมัย เธอลืมตา มองไปข้างหน้าพร้อมหอบหนักๆ

“เป็นอะไรไปครับ ฝันร้ายหรือครับ หรือว่าหายใจไม่ออก”

วินิมัยยกมือขึ้นเป็นนัยว่าไม่เป็นอะไร รีบเปิดขวดน้ำที่วางตรงกลางรถออกมาดื่ม

“ฝันเห็นพวกผีเปรตน่ะ”

เขาร้องครางด้วยความเห็นใจ อยากจะถูกหลอกแทนจริงๆ แต่เดี๋ยวก่อน…

“เดี๋ยวสิครับ พวกมันเข้าไปในฝันด้วยหรือ”

“ช่วงนี้เหมือนจะรังควานหนักขึ้น นอกจากสถานที่ที่แดดส่องถึงแล้ว ที่อื่นก็มากวนได้ตลอด”

วินิมัยตอบเพียงเท่านี้จึงหยิบสมาร์ตโฟนมาเล่น ดูเหมือนไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อแล้ว

มันเกี่ยวข้องกับธามทศและกฎประหลาดๆ แน่นอน กานต์ทราบดี

“อีกสิบกว่านาทีก็ถึงแล้ว”

วินิมัยบอกแล้วเริ่มนั่งตัวตรง

ไม่ช้าระบบนำทางก็บอกให้เขาเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังทางลูกรังแคบๆ กานต์ทำตามแต่โดยดี  ทว่าด้านในนั้นขรุขระเอาเรื่อง แถมที่โล่งหญ้ารกสองฝั่งถนนนั้นก็มืดสนิท ทั้งที่เพิ่งจะห้าโมงเย็นเท่านั้น

ยิ่งขับเข้าไปลึกทัศนวิสัยก็ยิ่งมัวมืด แต่แน่ละว่าทั้งสองนั้นไม่ได้กลัว ไม่ช้าก็มองเห็นที่ราบอยู่ไกลออกไป คล้ายกับสวนหย่อมส่วนตัว ถัดไปเป็นบ้านทรงคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาว พอขับเข้าไปในระยะค่อยมองเห็นว่ามีรั้วไม้เตี้ยๆ อยู่ ท้องฟ้าสว่างขึ้นพอควร

รั้วไม่เข้ากับตัวบ้านเลย เขาแอบคิด แต่ไม่ได้บอกออกไป

ทั้งสองตัดสินใจจอดรถที่หน้ารั้ว มันมีที่ว่างด้านซ้ายที่ไม่มีหญ้าขึ้นผิดกับพื้นที่ข้างเคียง เดาได้ว่าคงเป็นที่จอดรถสำหรับส่งของ บ้านใหญ่ขนาดนี้และออกแนวสันโดษ คงต้องรับข้าวของจากภายนอกแน่นอน

ไม่มีตราหรือป้ายบอกแสดงความเป็นเจ้าของ รั้วก็ไม่ได้ล็อก เขามองหน้าวินิมัยว่าเอาอย่างไรต่อดี เธอนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะดันประตูรั้วเข้าไปอย่างไม่ลังเล

“คุณมัยครับ เดี๋ยวจะโดนข้อหาบุกรุกนะครับ”

วินิมัยไม่ตอบ แต่หันมาส่งสายตาที่บิดเบี้ยว พลางชี้ไปยังรถที่ทั้งคู่เพิ่งออกมา และเมื่อหันกลับไปมองตามนิ้วนั่น ก็พบว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยืนอยู่ข้างรถ

มันมีผิวสีคล้ำเกือบดำ ตัวผอมแห้งสูงกว่าต้นไม้ที่ตระหง่านอยู่ด้านหลังเสียอีก

ผีเปรต! เขาเกือบตะโกนเสียงดังออกมา แล้วก็ตั้งหลักได้และหันไปถามวินิมัย สลับกับหันมามองผีเปรต เผื่อว่ามันจะพุ่งมาทำร้าย

“มันคือตัวที่คุณมัยเห็นประจำใช่ไหม แล้วทำไมถึง…” กานต์ถามกระซิบ

“ปกติคนทั่วไปจะมองไม่เห็นหรอก แต่คราวนี้ฉันรู้สึกแปลกๆ แล้วก็ตามนั้น มันมีตัวตนขึ้นมาให้คนอื่นเห็นได้จริงๆ” ใบหน้าหวาดกลัวของวินิมัยเผยให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มา แต่แอบคิดว่าเป็นภาพหลอนเสียอีก

“มันอาจจะมีตัวตนมากกว่าเดิมเพราะอยู่ในอาณาบริเวณนี้ เหมือนกับหนังผีบางเรื่องก็เป็นได้ หรือไม่ก็เพราะสาเหตุอื่น…”

“ไม่แน่ว่าทุกเรื่องจะเกี่ยวพันกันจริงๆ” กานต์พึมพำกับตนเอง แล้วแอบชำเลืองที่ผีเปรตที่ยืนนิ่งอยู่ “มันจะไม่เข้ามาฆ่าเราใช่ไหมครับ”

“ไม่หรอก ถ้าจะทำคงทำไปนานแล้ว หรือที่มันไม่เข้ามาทำร้ายก็อาจเพราะยังมีแดดส่องอยู่” เธอชี้ที่พื้นหน้ารั้วที่ทั้งสองยืนอยู่ แดดจางยามเย็นส่องจากฟ้าลงมาจริงๆ “ถ้าเป็นในห้องหรืออาคาร ต่อให้มีแดดก็ยังถูกเล่นเอาได้แม้จะไม่ร้ายแรงเท่าช่วงมืดๆ ก็ตาม แต่เอาเข้าจริงจะมาแบบไหนก็ไม่ได้เกิดเป็นแผลฉกรรจ์อะไร”

วินิมัยกล่าวจบจึงเดินเข้าไปในเขตบ้านหลังใหญ่ เขากลืนน้ำลายแล้วเดินตาม เมื่อมองใกล้ๆ จึงพบว่าตัวบ้านและหลังคาล้วนเป็นสีขาวเขรอะ

และพอเข้าไปถึงหน้าประตูไม้คู่สีทึบ มันก็เปิดออกจากข้างใน โดยไม่มีใครได้แตะต้องแม้เพียงปลายนิ้ว

 

ผมเกลียดโมนากับวิคเตอร์ เกลียดผู้หญิงที่พ่อพาเข้ามาในบ้าน

บ้านนี้มีตั้งหลายชั้น ทุกคนต่างมีห้องของตัวเอง พวกโมนาจะสลับกันไปเล่นในห้องของแต่ละคน แต่พวกเขาไม่เคยมาห้องผม ส่วนพี่ดิวห์นั้นไม่เล่นกับใครอยู่แล้ว

‘ฤทธิ์เรียนรู้ช้า พัฒนาการต่ำ’ พ่อชอบบ่นกับผมแบบนี้

ส่วนคุณอาผู้หญิงใจดีมาก แต่เธอชอบบอกว่าพ่อเป็นคนใจร้าย ทั้งสองทะเลาะกันบ่อย ผมไม่รู้จะทำอย่างไร

อาชอบชวนเราเล่นของเล่นด้วย มีทั้งโดรนสีขาวที่อาบอกว่าเป็นรุ่นทดลองที่ได้มาจากพ่อเลี้ยง

(พ่อเลี้ยงมีโดรนหลายลำ แต่ไม่เคยยอมให้เราเล่นเลย)

เล่นได้แค่ครู่เดียวก็ต้องหยุด เพราะคุณอามีธุระเยอะมาก แต่พวกเราต่างก็รักท่าน (เวลาที่ท่านมา ผมถึงจะได้เล่นกับพวกโมนา) และรู้สึกเสียใจที่รู้ว่าท่านต้องแยกทางกับคนรัก (ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร แต่พรีมกับพี่ดิวห์บอกว่าอย่างนั้น)

ผมอยากจะชวนทุกคนเล่นด้วย แต่โมนาบอกให้ทุกคนแกล้งหลับ (ผมรู้ดี เพราะอาผู้หญิงบอกผม) ไม่มีคนตื่นมาคุยกับผม…ทั้งที่เพิ่งจะสองทุ่มแท้ๆ  แล้วพอผมหลับไป ทุกคนก็จะตื่นขึ้นมาเล่นกัน เล่าเรื่องสยอง ดื่มน้ำอัดลม หรือไม่ก็แข่งปาหมอน

 

ด้านในบ้านหลังใหญ่ค่อนข้างประหลาด หลังประตูเป็นทางเดินแทบจะในทันที สองฝั่งคือกำแพงทึบไร้การประดับ ไม่มีแม้ห้องรับแขกหรือพื้นที่วางรองเท้าด้วยซ้ำ

บรรยากาศโดยรอบนั้นวังเวงและเย็นเยียบ น่าแปลกที่เธอไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่าไรนัก อันที่จริงกลัวบรรยากาศด้านนอกมากกว่าอีก เมื่อชำเลืองดูสีหน้าท่าทางของเพื่อนร่วมทาง ก็พบว่ากานต์เองก็มิได้ตระหนกอะไร ออกไปทางระแวดระวังมากกว่า

“โดยรวมแล้วไม่ได้มีความสยองอะไรเท่าไรนะครับ แถมพื้นยังดูสะอาดสะอ้านอีกต่างหาก” กานต์พูดกับเธอ แต่จากความหวิวเบาของเสียง ฟังเหมือนตั้งใจจะกล่าวกับตนเองมากกว่า

เดินไปตามทางยิ่งเย็นถึงกระดูก บรรยากาศคุ้นเคยแทบจะเหมือนเพิ่งพบมาเมื่อวาน อาจจะเกี่ยวข้องกับพวกผีเปรตหรือเปล่านะ

กานต์เปิดไฟฉายจากสมาร์ตโฟน นั่นเพราะไฟตามทางเริ่มสลัวลงแล้ว แสงสีขาวตัดกับพื้นหินอ่อนดำและไฟเพดานสีส้ม “ทำไมกลิ่นกับบรรยากาศมันดูคุ้นๆ นะ”

ประโยคนั้นทำให้ทราบว่าที่คุ้นเคยมิได้เกี่ยวกับผีเปรต เพราะตัวกานต์เองก็คุ้นเช่นกัน

สุดทางเดินไปบรรจบตรงที่ไร้แสงไฟพอดี มันเป็นประตูแบบลูกบิดสีดำที่ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความเก่าหรือเพราะสีที่ทาไว้ ร่องใต้ประตูมีไอเย็นโชยออกมา สัมผัสได้ว่าด้านในยิ่งสะอาดกว่าด้านนอกอีก

อีกครั้งที่ประตูเปิดเอง เผยให้เห็นสภาพภายในห้อง

วินิมัยตาค้างเมื่อเห็น กานต์เองก็เช่นกัน ทั้งสองสันหลังเย็นไปหมดก่อนจะค่อยๆ เดินตามกันเข้าไป

มันเป็นห้องขนาดใหญ่สีขาวโพลน มีเครื่องปรับอากาศฝังติดกับเพดาน ไอเย็นรอบตัวนั้นกรุ่นด้วยกลิ่นของยาฆ่าเชื้อกับสารเคมีบางอย่าง

‘ห้องพยาบาล’ ใช่แล้ว มันชวนให้นึกถึงห้องพยาบาลของเหล่าเฮลป์เปอร์นั่นเอง แต่ก็นั่นแหละ สถานพยาบาลทั่วไปก็คงมีบรรยากาศเช่นนี้เหมือนกัน

แต่ที่ทำให้เสียวสันหลังวาบ มิใช่เพราะผีเปรตหรือภาพสยองอะไรหรอก

หากเป็นเพราะบริเวณกึ่งกลางห้องขนาดใหญ่นี้ มี ‘เตียงพยาบาลพร้อมคนป่วยนอนอยู่ถึงสี่เตียง’

ซ้ายขวาฝั่งละสอง หันหัวเข้าหากัน พร้อมสายระโยงยางเต็มไปหมด เห็นหน้าแต่ละคนไม่ชัด แต่เป็นหญิงสอง ชายสอง แยกเป็นคู่ละฝั่ง ที่ใบหน้ามีผ้าสีเขียวปิดที่ส่วนตา

ชายที่นอนฝั่งซ้าย กับหญิงที่ฝั่งขวา มีเครื่องช่วยหายใจครอบใบหน้าส่วนล่าง อีกสองคนไม่มี

เสียงปิ๊ปดังจากเครื่องที่คล้ายตัววัดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตเป็นระยะ ไม่ได้ทำให้บรรยากาศนิ่งสงัดนี้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

“พวกนี้เป็นใคร”

เธอพูดออกมาเบาๆ ในขณะที่กานต์เดินไปรอบเตียงสี่ตัว จ้องมองอย่างละเอียด ดูท่าจะอยากเห็นใบหน้าผู้ป่วยให้ชัดขึ้น แต่ก็ตระหนักดีว่าไม่ควรเลิกผ้าที่ปิดส่วนตาขึ้นมา ส่วนวินิมัยนั้นได้แต่นิ่งเป็นรูปปั้นหิน

สังเกตเห็นเสาน้ำเกลือแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว “ดูเหมือนน้ำเกลือ แต่ไม่ใช่” กานต์หมายถึงของเหลวอะไรสักอย่างที่กำลังไหลเข้าหลังมือของผู้ป่วยสองคนซึ่งไม่มีเครื่องช่วยหายใจ เป็นของเหลวสีแดงอมม่วง ส่วนอีกสองเสาเป็นน้ำเกลือธรรมดา

ครู่หนึ่ง ทั้งสองที่กำลังงงงันก็ต้องหันไปที่สุดขอบอีกด้านของห้อง มันตรงข้ามกับประตูสีดำที่เพิ่งเข้ามา เพิ่งสังเกตว่ามีประตูอีกบานซึ่งมีสีและรูปทรงเดียวกัน

เสียงเคาะดังก๊อกๆ จากหลังประตูที่ปิดสนิท ไม่ช้าก็เปิดออก ผู้ที่เข้ามาคือชายชราร่างแกร็น อายุน่าจะเกินแปดสิบ อยู่ในชุดสูทพ่อบ้านในหนังฝรั่ง ผมนั้นบางแต่ยังครอบคุลมทั่วศีรษะ หนวดยาวถึงอก

ไอค่อกแค่กสองสามครั้งจึงเริ่มกล่าวอะไรออกมา

“น่าแปลกๆ คุณดิวาห์มิได้แจ้งว่าจะมีคนมาเยี่ยมเยียน” ชายชรากล่าว

 



Don`t copy text!