ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 21 : ORIGIN OF RULES

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 21 : ORIGIN OF RULES

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ธุพาณหลุดยิ้มออกมาท่ามกลางสถานการณ์น่าตระหนก มันคือแสงนำทาง! มันคือทุกสิ่งที่ตามหาและรอคอยมาตลอด

ตัวเขามิได้ลบหลู่เรื่องพรรค์นี้ ตรงกันข้ามยังเป็นผู้ชักจูงพ่อและแม่ที่แสนอ่อนหัดให้เข้าไปติดกับดักของกฎสยองเมื่อไม่กี่ปีก่อน ส่งผลให้ตนมายืนในตำแหน่งประธานเช่นทุกวันนี้

และเมื่อถึงวันที่กำลังประสบปัญหา แสงส่องทางก็มาเยือนแก่เขา โดยไม่ต้องพยายามเสียด้วยซ้ำ

ธุพาณหลับตาลง ความเหนื่อยล้าและหิวโหยบรรเทา ประสานมือไว้บริเวณใต้เอว และเริ่มขอพร…

และทันทีที่เริ่มขอ แม้ยังไม่ลงรายละเอียดให้ชัดเจน เสียงสาปแช่งก็ดังขึ้นจากไกลๆ ครู่เดียวก็ลามมาถึงข้างหู ข่มขู่ว่าเขาจะไม่ได้ออกไปจากที่แห่งนี้ ก็จริงของมัน พรเดียวที่ผู้หลงเข้ามาควรร้องขอ คือการออกไปจากป่าหลอนแห่งนี้อย่างปลอดภัย แต่ไม่ใช่กับธุพาณ คอนเนอร์…

เขาหยุดการขอพรครู่หนึ่ง ทำใจให้โล่งตามกฎที่ตราไว้ ไม่มีความตื่นตระหนกแต่อย่างใด นั่นเพราะโชคชะตาเป็นฝ่ายเดียวกับเขา

ไม่ให้ ไม่ให้ มึงต้องตาย’ เสียงแสบแหบหลอนเหล่านั้นค่อยๆ จางลง จางลง และหยุดไป ไอ้พวกไร้ค่าเอ๊ย

จากนั้นการขอพรจึงถูกดำเนินต่ออีกครา พร้อมกับเสียงของแมลงจำนวนมากบนพื้นดินที่ยืนอยู่ เสียงไม่คล้ายกับจิ้งหรีดหรืออะไรที่เคยได้ยิน ธุพาณไม่เผลอลืมตา ไม่นานก็สัมผัสได้ว่าพวกมันบินกระพือขึ้นด้านบน เริ่มไต่ตามหัวไล่ ลำคอ รักแร้ หน้าอกของเขา!

และเริ่มกัดกินผิวหนังทั้งเป็น

ความเจ็บปวดจากเนื้อหนังที่หลุดไป ความร้อนยามพวกมันไล่เดินไปตามเส้นเลือด กระตุ้นให้ร้องออกมาไม่เป็นภาษา แต่ไม่นานเขาก็กลั้นใจขอพรต่อโดยไม่ยอมแพ้

ดวงตาถูกคว้าน รูหูเต็มไปด้วยหนอนชอนไช ลามเข้าไปยังสมอง แต่เขามิได้หวั่นกลัว

ความปรารถนาของกูต้องเป็นจริง นั่นคือสิ่งเดียวที่สำคัญ

และรูปปั้นพติก็ตอบสนองต่อความปรารถนานั้น

 

“ธุพาณ คอนเนอร์ พ่อเลี้ยงของพวกฉันได้รับพรที่ปรารถนา นั่นคือเครื่องมือในการสร้างกฎของตนเองออกมา”

ธามทศรู้ตัวดีว่าเสียงสั่น แต่ทำไงได้เล่า ตนกำลังถูกบังคับให้เล่าเรื่องที่ไม่สมควรจะเล่าอยู่

“และนั่นก็คือกระดาษชุดนั้นสินะ”

“ใช่…”

วินิมัยเสริม “และเป็นสาเหตุให้เขาต้องยอมทรมานและเดินวนเวียนอยู่ในป่าลึกเกินสิบวัน กว่าที่จะมีใครไปพบเข้า”

“ไม่ยอมขอให้ตนออกมาจากป่าได้งั้นหรือ” กานต์พึมพำ

“พ่อเลี้ยง…ธุพาณ คอนเนอร์ เป็นคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอย่างแรงกล้า หากฝังใจแบบไหน ก็จะมุ่งเป้าไปโดยไม่สนใจเรื่องอื่น”

“ทำไมล่ะ จะสร้างกฎสยองขึ้นมาทำไม แค่ขอพรให้ตัวเองรวยล้นฟ้าก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”

“เพราะต้องการเอาชนะไงล่ะครับคุณมัย สันดานของพวกคนรวยคงรู้สึกเหมือนตัวเองต้องไปง้อรูปปั้น หรือไม่ก็รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า จึงต้องการอำนาจในการสร้างกฎเองเพื่อให้ตนสูงส่งเสมอกับรูปปั้นนั่น”

เขาได้แต่ยอมรับในคำตอบของกานต์ ส่วนวินิมัยดูจะไม่เข้าใจ

“พวกคนรวยมักมีทิฐิแปลกๆ งั้นหรือ ยอมทรมานในป่า เพื่อให้มีคนมาช่วย จะได้ไม่เสียพรไป”

ใช่แล้ว นั่นละคือธุพาณ…

 

หลังจากฟื้นตัว ธุพาณก็เริ่มทำงานหลัก

กฎหลอนพวกนี้เขาเองก็เคยใช้ประโยชน์จากพวกมันมาก่อน เช่นเรื่องที่กำจัดพ่อแม่ของตนเอง แต่ไม่นึกฝันว่าจะมีบุญพอได้มาเป็นคนออกกฎเอง

เพราะอิ่มเอิบเกินจะยัดอะไรลงท้อง ธุพาณในวัยหนุ่มได้แต่นั่งมองกระดาษปึกบางๆ บนโต๊ะทำงานที่มีทั้งหมดสิบสี่แผ่น พลางสูบบุหรี่เข้าปอด มองไปที่ชั้นหนังสือด้านขวามือ

มันเรียงรายไปด้วยนิยายสยองขวัญที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อคิดอะไรในหัวลงตัวก็หยิบปากกาสีดำมาขีดเขียนลงบนกระดาษใบแรก ซึ่งมีตัวหนังสือสีเลือดสลักถาวรด้านบนสุดว่า ‘ORIGIN OF RULES’

ด้วยกระดาษปึกนี้เขาสามารถสร้างกฎสยองขึ้นมาได้ โดยจะลงรายละเอียดเพิ่มเติมได้มากมาย โลกและชะตากรรมจะจัดสรรให้มันลงตัวกับบริบทโดยรอบเอง และรายละเอียดเหล่านี้ คือกุญแจสำคัญสู่ความงอกเงย แถมยังสนองความปรารถนาภายในอีกด้วย

แต่ก็นั่นละ เพิ่งมาทราบหลังออกจากป่ามาแล้วว่า หากเขียนกฎที่ง่ายเกินไป ไร้ความสมดุล หรือเขียนเข้าข้างตัวเองมากไปก็จะนับว่า ‘ขาดความเป็นกฎ’ ส่งผลให้ตัวหนังสือที่ขีดเขียนจางหายไปเองอย่างรวดเร็ว นับเป็นข้อจำกัดที่ยากเอาการ นอกจากนี้หากทิ้งระยะไว้โดยไม่แต่งเติมก็จะถือว่าเป็นอันเสร็จการออกแบบ กฎนั้นๆ จะมีผลทันทีและไม่อาจเขียนแก้ไขอะไรได้อีก

ทว่านั่นมิใช่อุปสรรค เขาเขียนอย่างไม่ย่อท้อ และนาทีที่เขียนเสร็จไปห้าแผ่น ทุกสิ่งที่พึงปรารถนาก็เข้ามาในชีวิตราวกับเทพนิยาย

 

ประธานบริษัทคู่แข่งที่ตามหลอกหลอนนับปี สูญหายไปในถนนสายอาถรรพณ์ที่ธุพาณสร้างขึ้นช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยให้มันขับรถหรูไปบริเวณนั้น

ลูกชายที่สืบทอดกิจการต่อจากมัน ยอมโอนหุ้นทั้งหมดที่มันมีให้เขา ซึ่งเป็นคนที่มันเกลียดชังที่สุด เพราะนั่นคือเงื่อนไขในการรอดชีวิตจากการทำผิดกฎของการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต้องห้าม

และนั่นเป็นแค่ส่วนเดียว…

ธุพาณมิได้มองว่ากฎสยองของตนนั้นวิเศษกว่ากฎสยองอื่นๆ ที่โลกนี้เคยมีมา แต่เชื่อมั่นว่ากฎของตนนั้นเรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้หลากหลายกว่ามาก

ตัวเขากลายเป็นสาเหตุให้หลายชีวิตล้มหายไปในวงจรทุนนิยมอันบ้าคลั่งนี้ แต่ทำไงได้เล่า ไม่มีใครหวังดีกับเราหรอก มีแต่ต้องเอาชนะเท่านั้น

แต่เขาก็มองว่าตนเองมิใช่คนโหดร้าย เพราะอย่างน้อยตนก็ทำประโยชน์เพื่อสังคมโดยการรับเด็กน้อยน่าสงสารมาเลี้ยงดูจำนวนหลายชุด พร้อมทั้งส่งเสริมศักยภาพความอดทนของพวกมันตามความเหมาะสม

ใช่แล้ว ด้วยกฎข้อที่ ๔ ชีวิตของเด็กน้อยน่าสงสารจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

 

เครื่องปรับอากาศในห้องพักผู้ป่วยส่งเสียงเบาๆ ทว่าลมเย็นไม่ช่วยอะไรนักในยามนี้ เพราะทั้งสามคนนั้นรู้สึกร้อนราวตกนรก

“ธุพาณใช้กฎพวกนี้ฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองสินะ”

เพราะสายตาเกรี้ยวกราดของกานต์ที่จ้องมองมานั้นกดดันเกินจะตอบกลับ ธามทศจึงได้แต่หลบตา

“พ่อเลี้ยงสร้างกฎอะไรไว้บ้าง ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดหรอก แต่ยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนดีสักเท่าไร เด็กหลายคนก่อนหน้ากลุ่มของฉันก็แทบจะเสียสติกันทั้งหมด”

“แล้วพวกผีเปรตกับผีผู้หญิงที่ฉันเจอ เกี่ยวข้องอะไรกับกฎที่พ่อของธามสร้างขึ้น ทำไมจึงไปอยู่ที่บ้านคฤหาสน์หลังนั้นได้”

สิ้นคำถามของวินิมัย เขาใจหายวาบ

“มัยกับคุณกานต์ไปที่บ้านหลังนั้นมาแล้วหรือ”

“ใช่ ที่จังหวัด R ในบ้านหลังนั้น ฉันกับคุณมัยเห็นคนนอนป่วยหนักอยู่สี่คน พวกเขาคือคนที่ได้รับผลกระทบจากกฎของพ่อนายใช่ไหม เหมือนกับที่พี่ฉันได้รับ”

รู้สึกปวดมวนท้อง แต่คงต้องตอบ

“ที่นั่น มันถูกเรียกว่าบ้านแห่งความรัก เป็นที่ที่พวกฉันอาศัยอยู่ในสมัยเด็ก” ธามทศมองกลับไปที่แววตาปวดร้าวสีแดงก่ำ สารภาพความจริงออกไป “พ่ออาจจะสร้างกฎไว้มากมาย แต่ไม่ใช่เขาหรอกที่ฆ่าพี่ชายนาย…”

เขาจุกลมที่ลำคอ ฝืนพูดต่ออย่างปวดร้าว “เป็นพวกฉันเองต่างหาก”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนที่นั่งรอบเตียงส่งเสียงห้ะออกมา เขาจึงลุกขึ้น เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายจากตู้เก็บของ

ครู่หนึ่งจึงหยิบกระดาษจำนวนสี่แผ่นออกมาวางบนเตียง “มันเป็นกระดาษสำหรับเขียนสร้างกฎสยองได้ตามที่ต้องการ ฉันกับเพื่อนร่วมกันเขียนกฎสยองโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ”

กฎการทำงานในห้องฝ่ายบัญชีและการเงินหลังเที่ยงคืน อาคารคอนเนอร์ ชั้น ๖

กฎการใช้งานสวนแสงหวนรังหลังอาทิตย์ตกดิน

กฎการใช้ลิฟต์ประตูสนิม

และกฎการออกจากห้าง รูล แอนด์ รอส หลังเที่ยงคืน

“ทั้งสี่ใบเป็นกฎที่เพื่อนวัยเด็กของฉันเขียนขึ้นมา”

เขากำลังจะพูดต่อ แต่ก็ต้องหยุดปาก เพราะถูกกำปั้นหนานิ่มพุ่งเข้าใส่หน้า รู้สึกได้เลยว่าจมูกถูกอัดด้วยแรงมหาศาล ตามมาด้วยกำปั้นซ้ายที่คาง หมัดของกานต์หนักเอาเรื่อง การจะหลบนั้นไม่ยากหรอก แต่เขาสมควรโดนแล้ว

ใช้เวลาสิบนาทีกว่าวินิมัยจะห้ามให้กานต์หยุดต่อยเขาได้ เธอลากร่างใหญ่โตไปที่มุมห้อง ส่วนธามทศนอนแผ่บนเตียงที่เปื้อนเลือดไปทั่ว

เมื่อต่างฝ่ายต่างสงบลง กานต์จึงลากเก้าอี้มานั่งจ้องหน้าเขา ถามต่ออย่างกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น “พวกมึงคิดยังไงถึงเขียนกฎเชี่ยๆ พวกนี้ขึ้นมา”

ธามทศกล่าวขอบคุณวินิมัยที่กำลังซับเลือดจากจมูก

“อย่างที่พอจะเดากันได้ เดิมที…เด็กในโครงการจะถูกตามหลอกหลอนโดยพวกผีทั้งสองตัว แต่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก พอไปขอความช่วยเหลือจากพ่อ ก็ได้แต่ถูกสั่งให้อดทน แต่ละวันจะถูกพาเข้าอบรมอะไรแปลกๆ ระยะหลังจึงรู้ว่าเป็นการอบรมให้ไม่กล้าตั้งคำถามและหวาดกลัวการถูกทอดทิ้ง จึงได้แต่ทนถูกหลอกเรื่อยมา”

เขาหวนนึกถึงเนื้อหาในคาบอบรม ภาพวาดที่ดูไม่ออกว่าเป็นรูปทรงอะไรถูกแปะไปทั่วห้อง วิดีโอที่ฉายบนกำแพงซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรและเนื้อหาที่ไม่เข้าใจ หากทำหน้าสงสัยใคร่รู้ก็จะถูกลงโทษด้วยการอดอาหาร

มันแปลกประหลาด ไม่ได้น่ากลัวระทึกขวัญอะไร แต่มักทำให้กระอักกระอ่วน อึดอัดและจุกเสียดไปหมดทั้งคอและท้อง

“ต่อมาน้องสาวของพ่อที่ดูแล้วไม่ชอบขี้หน้ากันก็มาเยี่ยมพวกเราบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จำได้ว่าคุณอาคนนั้นชอบเอาของกินมาฝาก ตัวฉันเองที่เพื่อนไม่ค่อยคบ ก็มีแค่อาผู้หญิงกับพี่ดิวาห์ที่เชื่อใจได้

กระดาษเหล่านี้ก็เหมือนกัน ช่วงนั้นอานำมาให้พวกฉันเขียนเล่นโดยไม่บอกที่มา กลุ่มเด็กที่ถูกอบรมอย่างหนักทุกวัน ถูกผีตามหลอกหลอน จึงระบายความกดดันออกมาในรูปแบบของกฎพวกนี้ คงเพราะเคยชินแต่กับเรื่องสยองละมั้ง”

“แล้วธามเป็นคนเขียนกฎข้อไหนหรือ”

ธามทศนิ่งไปครู่หนึ่ง

“ที่เราเขียนไม่ได้อยู่ในกองนี้”

ถ้าอย่างนั้น วินิมัยมองหน้า เหมือนว่าเขาไม่ใช่คนผิด ไม่ใช่คนที่ต้องรับผิดชอบต่อการตายของพี่ชายกานต์

กานต์เองก็นิ่งไปเช่นกัน

“ช่างเถอะ ยังไงเสียฉันก็อยากให้นายได้ระบาย” ว่าแล้วหันไปทางวินิมัย “อันที่จริง กฎที่เราเขียนมันเลวร้ายกว่านี้อีก…”

ธามทศกล่าวแล้วหยิบกระดาษอีกใบ นำมาวางไว้บนกระดาษแห่งกฎใบอื่น

และจากนั้นทั้งวินิมัยและกานต์ก็ทำสีหน้าราวกับเขาเป็นฆาตกรชั่วร้าย

 

โมนาทรยศผม ทุกคนหัวเราะเยาะผม แม้อาพินธาจะเอากระดาษมาให้พวกเราเขียนกฎเล่น แต่พวกนั้นก็กันไม่ให้ผมร่วมออกความคิดด้วยเลย

ผมเสียใจมาก แต่ทำไงได้เล่า ผมมันไม่มีใครเอา

แต่อยู่มาวันหนึ่ง อาพินธาก็เดินมาหาผมที่กำลังร้องไห้อยู่คนเดียวบนเตียงน้อย

มาหาผมแค่เพียงคนเดียว

‘รู้ไหม อาจะบอกความลับอะไรให้ เรื่องนี้พวกโมนายังไม่เคยรู้เลยนะ’



Don`t copy text!