ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 29 : ทางรอด?

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 29 : ทางรอด?

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

คนอย่างมึงมันมีแค่อำนาจแต่ไร้สมอง สักวันก็จะหล่นลงมา!

นั่นคือเสียงตะโกนของพินธาที่ดังทะลุกำแพงห้องออกมา หากไม่ถูกวางยาให้หลับ พวกเด็กๆ คงตื่นขึ้นมาแล้ว

เขารีบกลับมาจากต่างจังหวัดพร้อมพ่อเลี้ยง เพราะเจ้าตัวยืนยันว่าอยากจะทรมานพินธาต่อ

ขณะนี้เสียงสาปแช่งของหล่อนเงียบไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ธุพาณสั่งให้นำตัวพินธามาขังที่บ้านพักเดียวกับพวกเด็กๆ มาถึงจุดนี้ก็หลายวันแล้ว สภาพนั้นยับเยินหมดมาดประธานแห่งเฮลป์เปอร์เลย

ดิวาห์เปิดประตูเข้าไป เวลาเดียวกับที่ธุพาณกำลังจะเดินออกจากห้อง ร่างที่เริ่มมีน้ำมีนวลของพ่อเลี้ยงหยุดกึกเมื่อเห็นเขา “มันตายห่าไปแล้ว แต่ยังไม่ยอมบอกเรื่องที่อยากรู้”

เขามองข้ามไหล่ของธุพาณไป เห็นพินธาถูกมัดติดกับเก้าอี้ มีรอยแผลมากมาย ดูท่าพวกผีเปรตจะลงมือหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ยังคงปากแข็ง ไม่ยอมให้ ‘เรื่องนั้น’ หลุดจากปากแม้เพียงนิด

“ไปเรียกตาเฒ่าเฟดมาจัดการกับศพด้วย”

“เธอยังไม่ตายหรอกครับ ยังมีลมหายใจแม้จะแค่เล็กน้อย แล้วทางลุงเฟดก็กำลังเตรียมข้าวของเครื่องใช้ประจำวันของพวกเด็กๆ อยู่”

ธุพาณตอบว่า “งั้นเรอะ”  และเดินจากไป ในหัวคงหมกมุ่นอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยก่อน

ดิวาห์เดินเข้าไปใกล้พินธาทีเริ่มร้องครวญด้วยความเจ็บปวด

“คุณน่าจะรู้ตอนจบดีอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เอากระดาษแห่งกฎไปให้พวกนั้นเล่น” เขาคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น เริ่มใช้ผ้าสีขาวมาเช็ดใบหน้าของเธอ

“ทำไมถึงใจดีกับฉันล่ะ” น้ำเสียงนั้นฟังดูประชดชอบกล แต่ดิวาห์ไม่ใส่ใจ

“เพราะทางเฮลป์เปอร์ก็ช่วยธามทศไว้มาก โดยเฉพาะวินิมัยกับกานต์ ขาดใครไปสักคน ธามทศก็ตายไปสามรอบแล้ว”

พินธาหัวเราะทั้งที่หัวและคอยังอ่อนอยู่ “ถ้ารักน้องชายขนาดนั้น ทำไมถึงไม่…”

“ผมอยากจะช่วยธามทศมากกว่านี้อยู่แล้ว แต่เขาขอร้องไว้ คงไม่ต้องการให้พี่ชายที่เหลืออยู่มารับเคราะห์ อีกอย่างเขาก็ย้ำว่าผมต้องแบกความรับผิดชอบหลายด้าน ทั้งกิจการ ทั้งดูแลพ่อเลี้ยงที่ช่วงนั้นยังไม่ฟื้นอีก”

“แล้วพวกฉันก็โง่เข้ามาช่วยธามทศสินะ”

“ช่วยคนจากกฎสยอง มันเป็นหน้าที่ของพวกเฮลป์เปอร์อยู่แล้ว ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก”

“ยิ่งเอาชนะกฎของเด็กๆ ธุพาณก็ยิ่งแกร่งขึ้น” พินธาออกแรงหัวเราะ “เธอกำลังช่วยคนชั่ว คนที่ทรมานน้องๆ เธอ”

“ผีเปรตและผีหญิงสาวนั่นไม่ทำให้พวกโมนาถึงตายหรอก ที่มันร้ายแรงเช่นนี้ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของคุณนั่นแหละ”

“เสียง…” พินธากระซิบ “เสียงไม่สั่นเลย”

หืม เขาสงสัยในประโยคเมื่อครู่

“ฉันทำงานเกี่ยวกับความกลัว รับรู้ได้ว่าใครกลัวอะไรบ้าง เสียงของเธอที่พูดถึงผีสองตัวนั่นมันไม่สั่นเลยสักนิด” พินธายังพูดไปหัวเราะไปไม่หยุด

ดิวาห์กลืนน้ำลาย เธอรู้แล้วสินะ

“เธอไม่เคยถูกผีสองตัวนั่นหลอกหลอน ธุพาณไม่ได้ใส่ชื่อเธอเข้าไปในปากของผีพวกนั้น แต่ตั้งใจเลี้ยงไว้เป็นผู้สืบทอดจริงๆ”

ไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธ ดิวาห์หัวเราะสู้ “นั่นก็ถูก ผมเห็นพวกมันด้วยตาครั้งแรกก็หลังจากที่พ่อเลี้ยงฟื้นขึ้นมาแล้ว”

“ถูกพี่ฉันสอนอะไรแปลกๆ บ้างล่ะ”

ดิวห์ไม่ยอมตอบ พินธาคงคาดเดาได้ว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง

“ถ้าให้ทาย ธุพาณคงพาเธอติดตัวไปด้วย ในยามที่มันหลอกศัตรูให้ไปเจอกับกฎพวกนั้น ให้เธอมองสภาพศพของคนที่ต่อต้านมัน กดดันให้แบกรับอะไรหลายอย่าง หรือที่เลวร้ายกว่านั้น…”

พินธาเว้นช่วง “คนที่ออกแบบกฎบางข้อให้มัน ก็คือเธอนั่นแหละ”

ดิวาห์ลุกขึ้น โยนผ้าลงบนโต๊ะข้างๆ เดินออกจากห้องโดยไม่พูดอะไร แต่พินธายังตะโกนตามหลัง เสียงทะลุประตูออกมาอีกครั้ง

“โครงการอบรมการล้างสมองนั้นไร้ค่ากับพวกน้องๆ แต่มันกลับควบคุมเธอได้สำเร็จอยู่คนเดียวสินะ ไอ้เด็กน้อย”

 

ธามทศลืมตาขึ้นมาพบกับความมืด ราวกับลูกตาถูกสีดำทาไว้ แต่ไม่นานก็รู้สึกสว่างขึ้นเล็กน้อย พอมองเห็นแขนตัวเองที่ยื่นออกไปในอากาศ อันที่จริงคือยื่นไปยังเพดานสูง

อากาศหนาวเจียนตาย รู้สึกเหมือนมีไอออกจากคอ พอค่อยๆ ชันตัวขึ้นจากพื้นก็พบว่าตัวเองไม่ได้เจ็บป่วยอะไร กระเป๋าสะพายวางอยู่ด้านข้างพร้อมไฟฉาย เมื่อกดเปิดแล้วส่องไฟไปทั่วก็พบว่าตนอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ตัวอักษร B ขนาดใหญ่ที่ถูกทาด้วยสีแดงแปะติดที่กำแพง

เขาอยู่ที่กลางชั้น เป็นลานโล่งที่มีร้านอาหารและฟูดคอร์ตล้อมรอบ

อย่างที่กฎตราเอาไว้ หากถูกฆ่าก็จะมาโผล่ที่ชั้นใต้ดินสินะ…

แม้จะบอกว่าเป็นโซนร้านอาหาร แต่แน่นอนว่าขณะนี้ทุกรวงร้านนั้นร้างรกและฝุ่นเกาะ ไม่มีกลิ่นอายของชีวิตและความตายด้วยซ้ำ เลยจากตรงกลางชั้นไปเล็กน้อยมีบันไดเลื่อนที่ไม่ทำงานแล้วอยู่ ไม่ไหว คิดอย่างไรก็ไม่มีทางรอดจากแมงมุมบ้านั่นได้แน่ ขึ้นไปทางนี้คงมีแต่เสียกับเสีย

จริงสิ หากเป็นชั้นนี้ดูท่าจะไม่มีพวกมันอยู่ หากหาพื้นที่โซนพนักงานในชั้นนี้ได้ แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนส่วนนั้นไปก็อาจจะปลอดภัย

ไม่สิ ไม่ ไม่ ไม่ โซนของพนักงานอาจจะไม่มีบันไดเลื่อนก็ได้ ไม่แน่ว่าพวกพนักงานจะเดินทางโดยใช้ลิฟต์เท่านั้น บัดซบ เขาต้องหาผังอาคาร อย่างน้อยทุกชั้นก็น่าจะมีผังอาคารบอกสิ

ธามทศรีบร้อนเดินวนไปทั่ว อันที่จริงก็เคยขอผังอาคารแห่งนี้มาจากดิวาห์แล้ว ทว่าแม้แต่ดิวาห์เองก็ไม่อาจหาไฟล์มาให้ได้

ในที่สุดก็พบเรื่องน่ากลัวอีกอย่างของห้างสยองแห่งนี้ นั่นคือมันหลงง่ายมาก ทุกทางที่เดินนั้นมืดและมีไออะไรบางอย่างบดบังวิสัยทัศน์ ต่อให้รู้ผังก็ใช่ว่าจะเดินถูกทาง รู้สึกตัวอีกทีก็กลับมายังฟูดคอร์ตจุดเดิมอีกแล้ว

แม้จะมีเวลาไม่สิ้นสุด แถมยังตายกี่รอบก็ได้ แต่นั่นคือความกดดันแบบขีดสุด รู้สึกเหมือนเร่งรีบแทบกระอักอ้วกอยู่ตลอดเวลา ธามทศที่นึกได้จึงหยุดเดิน สูดหายใจ แล้วค่อยๆ สาดไฟไปรอบตัวอีกครั้ง

ไกลออกไปทางซ้ายมือเยื้องไปด้านหลัง สิ่งที่เจอไม่ใช่ผังอาคาร แต่เป็นกำแพงที่มีสีต่างจากบริเวณอื่น สีของมันออกครีมเหลือง ดูดีๆ จะมีประตูแบบลูกบิดติดตั้งอยู่ด้วย แม้จะเนียนตาแทบมองไม่ออกก็เถอะ

การออกแบบให้มีประตูออกมาสู่ฝั่งผู้ใช้บริการ คงเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินกระมัง แต่ก็นั่นแหละ เขาเจอแล้ว

และเมื่อเดินไปใกล้ ก็พบว่าบริเวณหน้าประตูเข้าฝั่งพนักงานนั้นมีบันไดเลื่อนขึ้นสู่ด้านบนจริงๆ แต่สำหรับคนที่มาเดินเที่ยวแล้วคงไม่ทันสังเกตประตูพวกนี้หรอก ธามทศเดินเข้าไปจับลูกบิดแล้วหมุนสุดแรง และพบมันเปิดไม่ออก

ดูท่าว่าจะต้องไปที่ชั้นสามจริงๆ แต่เมื่อคิดอีกทีก็เริ่มลังเล กฎบอกว่าประตูขาออกที่ใช้ได้คือประตูที่ติดกับลิฟต์พนักงานชั้นสาม แต่ก่อนจะเข้าฝั่งพนักงานได้ก็ต้องเข้า ‘ประตูที่เชื่อมระหว่างเขตผู้ใช้บริการและเขตพนักงาน’ ก่อน และ ‘กฎไม่ได้บอกไว้ว่าประตูเชื่อมบานไหนที่จะใช้เข้าสู่ฝั่งพนักงานได้’

สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่การหลบหนีพวกปีศาจแล้ว แต่เป็นการหาประตูด้วย

แม่งเอ๊ย ธามทศที่ไม่มีทางเลือกตัดสินใจเดินขึ้นบนไดเลื่อนฝั่งนั้น แน่นอนว่ามันไม่ทำงานจึงต้องใช้สองตีนสองเท้าแทน ไม่รู้ว่าเพราะอากาศเย็นเยียบหรือเปล่า แต่รู้สึกระยะทางของบันไดเลื่อนช่างไกลลิบ

พอขึ้นมาถึงชั้น G ก็ไม่รอช้า เดินออกจากบันไดเลื่อนตัวนี้ แล้วพุ่งไปที่บันไดเลื่อนข้างๆ ทันที ถ้าราบรื่นคงจะขึ้นถึงชั้นสองได้ ไอ้แมงมุมคงจะอยู่ชั้น G เท่านั้น หวังว่าประตูขาเข้าที่ใช้ได้จะอยู่ชั้นสองนะ

และเมื่อค่อยๆ เดินออกสู่ชั้นสองอันเป็นโซนเสื้อผ้าและกระเป๋าราคาแพง ภาพความหลังสมัยเก็บเงินซื้อกระเป๋าคลัทช์ให้วินิมัยในวัยเรียนก็แอบแทรกเข้าสู่สมอง

คลัทช์สีดำสายโซ่ราคาสองหมื่นสี่ แลกกับรอมยิ้มแสนหวาน เขาอยากจะพบรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง

แต่ฝันหวานก็จบลง เมื่อพบว่าร้านค้าต่างๆ ที่ปิดไฟมืดนั้นมีบางอย่างที่แปลกตาไป แปลกไปกว่าห้างอื่นๆ นั่นเพราะหลังกำแพงกระจกใสขนาดใหญ่ทั้งหมดในชั้นนั้น…ไม่มีหุ่นโชว์ตั้งอยู่เลย

พวกมันไปไหน เมื่อคิดได้จึงรีบวิ่งขึ้นบนไดเลื่อนอีกฝั่งข้างๆ ทันที หวังว่าจะหนีไปที่ชั้นสาม แต่หางตาก็เจอะกับบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว

อีกฝั่งหนึ่งของห้าง มีกองทัพหุ่นโชว์ที่กำลังตะเกียกตะกายพุ่งเข้ามาทางเขาอยู่ ทั้งเดิน ทั้งวิ่ง และทั้งคลานอยู่กับพื้น

เชี่ยแล้ว ธามทศรีบพุ่งขึ้นบันไดเลื่อนไป แต่ก็อย่างเคย มันชันและไกลเกินกว่าจะคาด ไปยังไม่ถึงกลางบันไดเลื่อน พวกมันก็ตามมาทัน และเริ่มกดเขาลงกับบันได เริ่มกัดกินทั้งเป็น

“ไอ้สั_ว์เอ๊ย ไอ้เชี่ย” เขาตะโกนลั่นและเอาหัวฟาดใส่พื้นชั้นใต้ดิน

ความทรมานที่ได้รับเมื่อครู่มันกำลังหลอกหลอน แต่ไม่ได้ ต้องลืมมันให้ได้ ธามทศสั่งตัวเอง และมันได้ผลพอสมควร ดีแล้วที่เคยฝึกการหายใจเพื่อควบคุมความเจ็บมาบ้าง ไม่งั้นคงเสียสติไปแล้วในช่วงที่ถูกกัดกินทั้งเป็น

ไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้คงไม่ได้ออกไปแน่นอน ตัวโมนาเหลือเวลาอีกไม่มาก จะครบสิบสองปีแล้ว…

ทางเดียวที่จะรอดธามทศเริ่มตั้งสติ ต้องหาข้อมูลของแต่ละชั้น หาข้อมูลการเคลื่อนไหวของพวกมันให้ได้มากที่สุด และตายให้น้อยครั้งที่สุดด้วย

 

เสียงสายฝนยามค่ำคืนชวนให้เงียบเหงา ท้องฟ้านอกกระจกมัวเป็นสีดำผสมแสงไฟสีส้ม

ที่แผนกบัญชีของเฮลป์เปอร์ ทั้งสามคนกำลังจะเข้าลิงก์ที่อาเนียส่งมาให้ ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ นั้น ถูกเหล่ากรรมการสั่งให้หยุดงานชั่วคราวแล้วเนื่องจากการหายตัวไปของประธานพินธา ดูท่าว่าทุกคนเริ่มกลัวแล้วว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกฎมรณะจะส่งผลเสียตามมาหรือไม่ เธอกับกานต์จึงขออนุญาตเลขาฯ ของพินธาในการเข้ามาใช้งานส่วนต่างๆ ของอาคารนี้อย่างเต็มที่ แลกกับการหาให้ได้ว่าประธานอยู่ที่ไหน

ครั้งแรกที่เข้าลิงก์นี้คือในร้านกาแฟกลางแจ้ง แต่มันขึ้นเตือนว่าลิงก์นี้จะใช้งานได้หลังหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป จึงต้องจำใจต้องเข้าช่วงกลางคืน กานต์ให้ความเห็นว่าควรเตรียมตัวให้ดีก่อนจะเข้า เพราะเหตุนั้นกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็เลยสามทุ่มไปแล้ว

มีดคัตเตอร์อยู่ในมือซ้าย ถ้ามีมันอยู่ก็ไม่มีผีตนไหนกล้ามาแหย็ม แต่จะว่าไปก็แอบสงสัยว่าทั้งที่ไม่มีแสงแดดแล้ว ทำไมจึงไม่เห็นพวกมันแม้สักแวบเดียว

หน้าจอของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะขึ้นข้อความให้ใส่ชื่อและรหัส วินิมัยใส่เบอร์โทรของอาเนียเข้าไปทั้งสองส่วน แต่ยังไม่ได้กดล็อกอิน เธอหันไปมองกานต์และริลนาที่ยืนข้างหลังเพื่อขอคำยืนยัน

และทั้งสองคนมีท่าทีลังเล…ก่อนที่กานต์จะพยักหน้าตกลง เขามีเหงื่อไหลชโลมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่สวมอยู่ ส่วนวินิมัยเองก็เครียดจัดกระทั่งลืมว่าตนใส่เสื้อแจ็กเก็ตไหมพรมแขนยาวตัวนี้ซ้ำมาสองวันแล้ว

สาวงามสูดหายใจแล้วกดเข้าไปทันที วูบเดียวหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ปรากฏหน้าจอย่อยขึ้นมา นับสิบสองจอ เรียงรายกันตามแนวนอนแถวละสี่ ด้านล่างยังมีแถบเลื่อนไปดูหน้าอื่นได้อีก มันเป็นลิงก์ดูไฟล์วิดีโอจากกล้องที่ถ่ายอะไรสักอย่างไว้จริงด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้ตะลึงไม่ใช่จำนวนหน้าจอ แต่เป็นเนื้อหาที่ ‘มันแสดงกำลังให้เห็นต่างหาก’

ชายในชุดหรูที่กำลังหนีจากบางสิ่งที่คล้ายมนุษย์ ต่างกันตรงที่มันมีสี่แขนสี่ขา

หญิงสาวที่กำลังกรีดร้องท่ามกลางแมลงปริศนานับหมื่นตัว

เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนที่กำลังหนีบางสิ่งคล้ายเงาบนระเบียงทางเดิน

และอีกมากมายที่ล้วนแต่เป็นการเอาชีวิตรอดของคนที่กำลังหวาดกลัวสุดชีวิต

เวลาที่แสดงตรงส่วนล่างของแต่ละจอนั้นคือสามทุ่มสิบนาที พอจะยืนยันว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พวกวินิมัยกำลังใช้งานลิงก์นี้อยู่

มันคือการไลฟ์สดของคนที่กำลังเผชิญกับกฎมรณะนั่นเอง!

วินิมัยตัวแข็ง กล่าวอะไรไม่ถูก เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนตายแล้ว ถูกเงาลากไปในห้องเก็บของ แม้จะไม่ได้ยินเสียงชัดเจนแต่ก็พอเดาไว้ว่าคงโหยหวนแสบหู ส่วนหญิงสาวก็กำลังถูกแมลงกัดกินไปทั้งตัว ไส้ที่ไหลออกมาหายวับไปในกระเพาะของเหล่าแมลง

เธอกรีดร้อง และกานต์ก็เช่นกัน

“เป็นการแสดงใช่ไหม ต้องเป็นการแสดงแน่ๆ” กานต์ตะโกนเสียงหลง แต่ริลนากลับกลายเป็นคนที่นิ่งที่สุด หญิงสาวยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดตะโกน

“คุณมัย กานต์ มันน่าจะเป็นของจริงนะ พวกเขาดูไม่เหมือนแสดงอยู่สักนิด”

แม้เสียงนั้นจะสั่น แต่ยังพอดึงสติของวินิมัยกับเพื่อนร่วมงานกลับมาได้

“โทษทีค่ะ พอดีว่าทำงานกับเรื่องพวกนี้มามาก พอมาเจอว่ามีการ ‘ไลฟ์สด’ เลยช็อกไปหน่อย”

ริลนาที่ยืนด้านหลังบอกว่าเข้าใจค่ะ แล้วชี้ไปที่ขวามือสุดของหน้าหน้าจอรวม มีสัญลักษณ์ขึ้นว่า ‘โดรนหมายเลข ๑’

เมื่อวินิมัยกดแถบเลื่อนที่ด้านล่าง หน้าจอย่อยอีกชุดก็ปรากฏขึ้น คราวนี้มุมขวาบนเป็น ‘โดรนหมายเลข ๒’

วินิมัยพยายามคุมความโกรธที่พุ่งทะลุจากอก ดิวาห์เกี่ยวข้องอะไรกับลิงก์นี้

“คุณมัยครับ หน้าจอย่อยมีปุ่มคอมเมนต์ด้วยครับ ลองกดเข้าไปดูหน่อย”

แม้จะสงสัยว่าทำไมถึงมีระบบคอมเมนต์อยู่ในลิงก์กล้องกันนะ แต่วินิมัยก็ทำตามทันที และกล่องแสดงความคิดเห็นก็ปรากฏขึ้นมาจำนวนมาก

ตายสยองใช้ได้ ค่อยคุ้มค่าเงินที่เติมไปหน่อย

ขอบคุณที่ช่วยล้างแค้นไอ้เวรที่โกงเงินผม

คุณดิวห์ช่วยจัดไอ้ต้อมหน่อยสิ หมั่นไส้มันมานานแล้ว ขอแบบโหดๆ เลยนะ ผมจ่ายให้งามๆ

ทั้งสามเข้าใจเรื่องราวในทันที พวกเศรษฐีเงินหนาใช้เงินในการเข้าถึงไลฟ์สยองพวกนี้ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง หรือที่ร้ายกว่าคือการหลอกให้ศัตรูของตนเข้ามาเจอกับวาระสุดท้ายที่น่าเวทนา

เข้าใจแล้วว่าดิวาห์หาเงินมาจากไหน ทำไมสถานที่หลอนๆ บางแห่งจึงยังไม่ถูกรื้อถอน แล้วเพราะอะไรดิวาห์ถึงต้องร่วมมือกับอาเนียที่มีโครงการพัฒนาด้านโดรนกับกล้องส่งผ่านกำแพงเหมือนกัน

แค่เงินถึง ก็สามารถทำการส่งคนที่ไม่ชอบเข้าสู่ลานประหารได้…วินิมัยคิดแล้วสะอิดสะเอียนแทบจะอ้วกออกมา

 



Don`t copy text!