ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 32 : ผมเอาด้วย

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 32 : ผมเอาด้วย

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

https://www.groovebooks.com/blog/นิยายใหม่จาก-groove-next-anowl-ลูกองุ่น-เปิดให้สั่งจอง-25-มี-ค-67/62

สองชั่วโมงก่อน

พินธาลืมตาขึ้นมาและพบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ริมทางเดินเท้าแห่งหนึ่ง ฟ้ามืดดำมีจุดกำเนิดแสงแห่งเดียว นั่นคือจากหลอดไฟถนนที่ตั้งอยู่ข้างทางนั่นเอง

แยกไม่ออกว่าแผลที่โดนกัดตามตัวนั้นเรียกว่าเจ็บแสบหรือปวดร้าวกันแน่ แต่น่าจะเป็นทั้งสองอย่าง เธอยกท่อนบนขึ้นเตรียมจะลุกมานั่ง แต่ก็ฝืนไม่ไหวและปล่อยตัวลงนอนอีกครั้ง

แต่หัวไม่ทันได้ฟาดกับเก้าอี้ กลับมีมือมารองไว้อย่างอ่อนโยน

เงยขึ้นไปมองก็พบว่าเป็นหญิงสาวที่เธอไม่คุ้นหน้า สวยหวาน แต่เจือความเศร้าหมอง ปากน้อยๆ นั้นเริ่มการสนทนาอย่างแผ่วเบา

‘สวัสดีค่ะคุณพินธา ฉันชื่อริลนา เป็นพี่สะใภ้ของกานต์ เขาวานให้ฉันมารับตัวคุณกลับไปรักษา’

ริลนาค่อยๆ พยุงพินธาขึ้นมา ร่างบอบบางนั้นมีเรี่ยวแรงเอาเรื่อง ไม่ช้าก็พากันขึ้นรถเอสยูวีมาได้ เมื่อหย่อนร่างลงนอนที่นั่งข้างหลังก็ครางออกมาด้วยความปลดปล่อย รู้สึกเหมือนตนปลอดภัยแล้ว แอบลุกขึ้นชะเง้อมองไปนอกกระจก เห็นริลนาเอาสมาร์ตโฟนเก่าๆ ไปวางตรงจุดที่เธอเพิ่งลุกจากมา

พินธามั่นใจว่าเป็นสมาร์ตโฟนของตัวเอง

 

ทางรอดที่ดิวาห์เสนอคือการส่งวินิมัยเข้าไปในกฎการลองดีของห้างรูล แอนด์ รอส

‘กฎของห้างนี้อยู่ในรูปแบบที่สองที่ผมเคยกล่าวถึง คนที่เข้าไปลองดีจะคล้ายกับถูกส่งไปยังอีกภพหนึ่งที่วันเวลาจะดำเนินไปไม่ตรงกับโลกของเราเท่าไรนัก แล้วถ้าหากในเวลาที่ธามทศกำลังเอาชีวิตรอดอยู่นั้น กลับมีคนอื่นเข้าไปในห้างอีกล่ะ คนคนนั้นจะถูกส่งไปยังภพเดียวกับธามทศ หรือไปคนละภพกัน หรืออาจจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็ได้ อย่าลืมว่ากฎนี้เพิ่งมีผลหลังจากธามทศเคลียร์เงื่อนไขได้แล้ว

คำตอบนั้นไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่นอนคือมีโอกาสหนึ่งในสามที่คุณจะเข้าไปสนับสนุนธามทศได้ และมั่นใจได้เลยว่าธามทศยังไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้นเขาจะยังคงเวียนว่ายอยู่ในห้างนั้นแน่นอน…ฟังดูน่าลองเสี่ยงใช่ไหมล่ะ และผมเสนอให้เป็นคุณวินิมัยเข้าไป เพราะคนที่จะจบเงื่อนไขของกฎนี้แล้วทำให้พวกเพื่อนๆ ของธามทศตื่นขึ้นมาได้ คือคนที่ถูกหลอกหลอนโดยผีสองตัวนั่นเท่านั้น’ เสียงจากสปีกเกอร์น่ารำคาญขึ้นทุกที วินิมัยแอบสบถว่า ‘น่ารำคาญฉิบหาย’ออกมา แม้เธอจะแอบเห็นด้วยก็ตาม

‘มันเสี่ยงเกินไป ใครจะกล้าลอง’ กานต์ขัดขึ้น แต่แล้วก็เริ่มนิ่งไปราวกับนึกอะไรออก ‘พวกมันถือกำเนิดจากกระดาษแห่งกฎทั้งนั้น ถ้าผีเปรตกับผีห่มเลือดไม่สามารถไปอยู่สองสถานที่พร้อมกันได้ อะไรสักอย่างในกฎนี้ก็น่าจะทำไม่ได้เช่นกัน’

แม้จะเข้าใจ แต่เธอยังคงส่ายหัวกับความคิดนี้ ‘ต่อให้ฉันเข้าไปได้ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ขนาดธามทศที่เตรียมตัวมาอย่างดียังไม่น่าไหว เข้าไปก็มีแต่จะไปถ่วงแข้งถ่วงตีนเขาเท่านั้นแหละ’

เอ๊ะ พูดจบสมองของเธอก็เริ่มเฉลยคำตอบให้กับตัวเอง

‘อะไรบางอย่างที่ตามฆ่าคนที่เข้าไปในห้างจะเร็วขึ้นทุกครั้งที่เราตายใช่ไหม…’

แม้จากตรงนี้ก็รู้สึกได้ว่าดิวาห์กำลังยิ้มแสยะอยู่

‘ใช่แล้ว และนั่นคือช่องโหว่ของกฎที่ควรจะสมบูรณ์แบบนี้ไงครับ’

และเมื่อดิวาห์บอกไอเดียส่วนที่เหลือให้ฟัง ก็ถึงเวลาที่ทั้งสามต้องเตรียมตัวไปทำหน้าที่ของตัวเอง

แต่วินิมัยยังไม่จบเรื่อง

‘ดิวาห์ อย่าเพิ่งวางสาย… ฉันมีอะไรจะถาม’

ได้ยินเสียงหายใจถี่ คงเริ่มกังวลเช่นกัน

‘ไม่ต้องห่วง ฉันยังไม่เอาเรื่องไลฟ์สดไปบอกตำรวจหรอก แค่อยากถามว่าคุณจะทำอย่างไรต่อไป หลังจากธามทศรอดออกมาแล้ว…’

กานต์สะกิดไหล่ราวกับจะบอกให้หยุด แต่เธอต้องถาม

‘ธุพาณจะล้างแค้นธามทศ อาจจะยึดกิจการของคุณคืนตามสันดาน และน้องๆ ของคุณก็จะถูกผีสองตัวทรมานไปถึงวันตาย แม้ตายก็ไม่น่าจะหลุดพ้น’

‘คุณรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ธามทศคงบอกสินะ’

‘เห็นว่าบุกไปตบหัวพ่อคุณมา เลยรู้อะไรเพิ่ม’ น้ำเสียงดิวาห์เริ่มจืดลงแล้ว ‘ไม่มีทางที่คุณจะไม่เตรียมตัวรับมือ’

อยากจะเสริมว่าธามทศไม่มีวันปล่อยให้เธอเป็นอะไรหรอก แต่พูดไม่ออก ในขณะที่กานต์กระซิบใส่ข้างหู

‘พูดอะไรแบบนั้น เราเชื่อใจมันไม่ได้นะครับ’

ยังไม่ทันได้อธิบายเหตุผลกับกานต์ ดิวาห์ก็ตอบกลับ

‘เราฆาธุพาณไม่ได้หรอกครับ เขาห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ แล้ว ถ้าให้หาเหตุผลก็คงเพราะถูกของเข้าตัวนานไป หรือไม่ก็…กฎใหม่ที่ทำกับผีสองตัว มันตราไว้ว่าพวกมันจะเป็นดั่งแขนขาและดวงตา’

ดิวาห์พูดไม่จบ แต่กลับเงียบเสียงไป กานต์จึงเอ่ยแทรก ‘กลายเป็นว่ากฎนี้มันส่งผลตามตัวอักษรใช่ไหม แขนขาและดวงตาของธุพาณจึงเหมือนจะถูกเชื่อมกับผีสองตัว’

‘และพวกมันจะปกป้องชีวิตของธุพาณ โดยการเปลี่ยนเขาจากภายใน’ ดิวาห์เสริม ‘เราไม่รู้หรอกว่าเป็นเหตุผลข้อใด แต่เอาเป็นว่ามันฆ่าไม่ตายแน่นอน’

วินิมัยแสร้งขำ ‘ไม่ได้พูดสักคำว่าจะฆ่า คุณคิดไปถึงขั้นนั้นเชียว’

ได้ยินเสียงเฮือกจากดิวาห์ ส่วนริลนาดูไม่สบายใจจึงยกมือถาม ‘ผีสองตัวไม่ทราบใช่ไหมว่าเรากำลังคุยอะไรกัน’

‘ตอนนี้ปลอดภัย เพราะคงกำลังวุ่นกับเรื่องในห้างอยู่ ถ้าธุพาณเป็นคนสั่งโดยตรง ต่อให้เกิดเรื่องทั้งสองตนก็จะไม่ไปเตือนและไม่มาทำร้ายเรา พวกมันทำงานซ้ำซ้อนได้ไม่ค่อยดี เพราะมีช่องโหว่อย่างนี้กระมัง จึงเปลี่ยนให้ธุพาณดูแลตัวเองได้แทน’

‘เรื่องการชมเชยพ่อคุณน่ะไว้ทีหลังเถอะ ฉันมีแผนจะเสนอ…แต่ก่อนหน้านั้นขอฟังแผนของคุณก่อน’

รู้สึกได้เลยว่าดิวาห์ถูกกดดันอย่างหนัก สุดท้ายก็ยอมแต่โดยดี ท่าทางคงจะถูกยึดกิจการไลฟ์สดไปจริงๆ ตามที่กานต์คาดไว้

วินิมัยกับดิวห์แลกเปลี่ยนแผนให้อีกฝั่งฟัง และนั่นทำให้ดิวาห์ถึงกับส่งเสียงว้าวออกมา

‘ไม่คิดว่าคุณจะทำทุกอย่างเพื่อธามทศอย่างนี้ แต่ได้ ผมเอาด้วย’

 

‘เราเชื่อใจดิวาห์ไม่ได้หรอกครับ’ กานต์กล่าวในขณะที่หักเลี้ยวรถเข้าถนนใหญ่ ‘แต่คงไม่มีทางเลือกอะไรสินะ เริ่มเข้าใจความรู้สึกของนายธามทศแล้ว’

วินิมัยที่นั่งข้างๆ ไม่ตอบอะไร คงกำลังเตรียมใจอยู่ ทว่าครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่ว

‘ที่ฉันเชื่อใจดิวาห์ ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ธุพาณทำร้ายธามทศกับพวกเราแน่นอน เพราะสายตานั่น…สายตาที่ดิวาห์จ้องฉันในครั้งแรกที่พบกัน มันคือสายตาของฉันในวัยเรียนที่เคยใช้มองธามทศในอดีต’

กานต์เข้าใจทุกอย่างในทันที ‘รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไรครับ’

‘สักพักแล้วละ’ หญิงสาวตอบ ‘แต่ตอนนี้สายตาของฉันกับดิวาห์น่าจะต่างกันพอสมควร’

ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่ออะไร แต่ในใจชายหนุ่มไม่ปวดร้าวเท่าที่คิด

รถเริ่มติดอีกแล้ว…นั่นเพราะข้างหน้ามีกั้นฉากเตรียมก่อสร้างอยู่ ดีเลย จะได้ใจเย็นลงหน่อย

‘ป่านนี้พี่ริลนาคงไปรับประธานแล้วมั้งครับ’

วินิมัยพยักหน้า ไม่รู้เลยว่าคิดอะไรอยู่ เธอสวมเสื้อยืดแบรนด์เนมแขนกุดสีดำกับกางเกงยีนส์วินเทจ ดูทะมัดทะแมงและมีเสน่ห์ เหมือนพร้อมจะไปลุยแล้ว

กานต์ขับต่อไปอีกสักพัก ทั้งสองก็มาถึงหน้าห้างรูล แอนด์ รอส

บรรยากาศโดยรอบมืดมนราวกับวันสิ้นโลก

พอลงมายืนหน้าห้างได้ครู่เดียว ทั้งสองคนก็เริ่มหายใจลำบาก แค่มองหน้าวินิมัยก็พอจะทราบว่าทรมานปานใด

‘ผมอยากจะเข้าไปแทนคุณวินิมัย แต่ว่า…’

วินิมัยสวมกอดเขาโดยไม่ทันตั้วตัว ร่างอวบหนาของกานต์เกร็งเป็นหินในทันที ‘คุณ…คุณมัย’

‘กานต์ก็มีหน้าที่ของตัวเอง อาจจะอันตรายกว่าของฉันอีก’ เธอแอบส่งเสียงกระซิกเล็กน้อย ‘ขอบคุณมากนะที่คอยช่วย ถ้าไม่มีกานต์ ฉันคงมาไม่ถึงตรงนี้’

‘ผม ผม…’ ยังไม่ทันกล่าวก็สัมผัสถึงอาการสั่นกลัว ไม่ใช่ของเขา หากเป็นของวินิมัย สาวงามนั้นสั่นเทาราวกับลูกนก ไม่แปลก เพราะภารกิจตรงหน้าคือการหาเรื่องกับความตาย…ไม่มีใครควรทำอย่างนั้น

เขาแตะที่หัวของเธอ แผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

‘มันจะสำเร็จใช่ไหม’

‘…ใช่ครับคุณมัย มันจะสำเร็จ’

‘รู้ใช่ไหมว่าที่ฉันตัดสินใจจะเข้าไปในห้าง ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เพราะต้องการช่วยชีวิตคนเท่านั้น’

กานต์ตกใจในคำถาม ไม่กล้าที่จะตอบอะไร

เธอผละออก กางแขนพร้อมร้องฮ้าดังลั่น ‘สบายใจขึ้นแล้ว ขอบใจนะ’

สายตานั้นสดชื่นขึ้น พร้อมกับเย้าให้หัวใจเขาแทบจะหลุดออกมา ชายหนุ่มกัดฟันทำในสิ่งที่ต้องการ ด้วยไม่ทราบว่าจะรอดมาเจอกันอีกไหม

‘คุณมัยครับ’ เขาส่งเสียงดัง ‘มีร้านหนึ่งที่อร่อยทั้งของคาวและหวาน เมื่อจบเรื่องแล้ว ผมขอเลี้ยง…’

ทันใดนั้นกานต์ก็ถูกวินิมัยเอานิ้วชี้อุดปาก ไม่ยอมให้พูดจบ นิ้วเรียวจรดแน่นแทบจะจมเข้าไปถึงฟัน

‘ไว้จบเรื่องแล้ว ค่อยคุยต่อนะ…’ แม้จะหยุดไว้ แต่รอยยิ้มและดวงตารื้นนั้นแทนคำตอบ ‘เชื่อเถอะว่านายอยากจะฟังคำตอบของฉันแน่นอน’

วินิมัยดึงนิ้วออกและเดินจากไป ร่างงามก้าวช้าๆ กระทั่งไปถึงหน้าห้างรูล แอนด์ รอส ลองเปิดประตูกระจกดูและก็บ่นว่าเปิดไม่ออก ‘เรามาหาทางเข้ากันเถอะ กานต์จะได้ไปทำส่วนของตัวเอง’

กานต์ไม่กล้าขออะไรจากวินิมัยต่อ ไม่ใช่เพราะถูกขอร้องเอาไว้ แต่เพราะนึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญ ‘อะไรบางอย่างที่ธามทศโกหกพวกเขาทั้งคู่เอาไว้’ เขาคิดว่าไขปริศนาออกแล้ว

วินิมัยกวักมือเรียกเขาไปที่ข้างอาคารขนาดใหญ่ กานต์เดินตาม แม้จะรู้ดีว่ากำลังก้าวไปบนเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับไปอย่างปลอดภัยได้อีก

 

ปัจจุบัน

“พวกมันช้าลงมาก แทบไม่เคลื่อนไหวเลยด้วยซ้ำถ้าเทียบกับช่วงก่อนที่มัยจะเข้ามา” ความทึ่งและตะลึงนั้นประดับบนหน้าตาคมคายของธามทศ

นั่นทำให้วินิมัยรู้สึกแปลกๆ มันไม่ได้สร้างความตื่นเต้นเท่าสมัยก่อน แต่เพราะต้องวิ่งไปให้ถึงทางออกด้านนอกอาคาร จึงไม่มีเวลาเพ่งมองเท่าไร

มือยักษ์ตะปบอย่างช้าๆ จากด้านขวา ธามทศดึงแขนเธอให้พ้นจากกรงเล็บของมัน ถามด้วยสีหน้าเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

“เป็นแผนของพี่ดิวาห์ใช่ไหม”

ใช่เลย เธอตอบอย่างมีความหวัง

“ถ้าเทียบกับเกมออนไลน์หรือระบบต่างๆ กฎของห้างนี้มีเพียงเซิร์ฟเวอร์เดียว ต่อให้เข้ามาคนละเวลากัน แต่ก็จะมาพบกันได้”

ทางข้างหน้าเริ่มปรากฏหุ่นโชว์สี่ตัว อาวุธครบมือ แต่กลับเชื่องช้าราวภาพสโลว์โมชัน “เราตายหลายรอบเกินไป ยิ่งตายพวกมันยิ่งเร็วขึ้น แต่พอมัยเข้ามา กฎนี้จึงเหมือนถูกรีเซตใหม่ให้รองรับมัยที่ยังไม่เคยตายใช่ไหม”

เธอพยักหน้า “ดิวาห์พนันว่ามันจะเกิดการรวนของระบบ และก็เป็นจริงตามนั้น”

“แต่ดูจากสีหน้าแล้ว ท่าจะไม่ตรงกับที่คิดไว้ทุกอย่างสินะ”

ธามทศดูเธอออกจริงๆ

“ดิวาห์สันนิษฐานว่าพวกมันจะหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ แต่กลับช้าลงแทน แต่ก็ไม่ได้อันตรายมากอะไร”

“ถ้าความเร็วระดับนี้ เราไม่มีทางถูกมันฆ่าแน่” ธามทศหน้าบึ้งตึง “แต่เราไม่เคยอยากจะให้มัยต้องมาเสี่ยงแบบนี้เลย”

นึกว่าจะถูกด่าว่าจุ้นจ้านเสียอีก แต่กลับซึมใส่ เริ่มรู้สึกว่าต่างจากธามทศที่ตนเคยรู้จักขึ้นเรื่อยๆ “ขอโทษนะ แต่มีทางเดียวจริงๆ”

“ช่างเถอะ…ขอบคุณมากนะ” เสียงทุ้มนั้นกล่าวจบ ทั้งสองก็มายืนที่ทางออกฝั่งพนักงานพอดี ประตูสีขาวกับลูกบิดสีน้ำตาลตั้งอยู่ข้างลิฟต์ขนาดใหญ่

ไม่มีทางออกบันไดหนีไฟ…แสดงว่าบันไดน่าจะอยู่หลังประตู วินิมัยเห็นธามทศเดินไปบิดลูกบิดส่ายหัว

“เปิดไม่ออกแฮะ…ทางออกสู่ด้านนอกต้องใช้ประตูของชั้นสาม นั่นแสดงว่าออกไปแล้วน่าจะมีบันไดสู่ชั้นล่าง”

“แต่ถ้าเราเปิดประตูของชั้นเจ็ดนี้ไม่ได้ แล้วจะไปประตูชั้นสามยังไงล่ะ”

“เราก็ไม่รู้ คล้ายกับเป็นช่องโหว่ของกฎเลย จะมาโซนนี้ได้ต้องผ่านทางเข้าชั้นเจ็ด แต่ทางออกจริงอยู่ชั้นสาม ทีแรกแอบหวังว่าจะมีบันไดเลื่อนในตัวอาคารฝั่งพนักงาน แต่กลับไม่มี”

วินิมัยมองไปที่ลิฟต์ประตูสีเงิน ปุ่มกดนั้นดับสนิทเพราะไม่มีไฟไปเลี้ยง

ธามทศใช้เท้าถีบไปที่ลูกบิดประตู เสียงดังปัง ถีบซ้ำอีกสองครั้งแต่ก็ไม่มีผล เขาหันมามองแล้วยื่นมือมาให้

“มัยเอามีดมาไหม” ธามทศคงคิดจะใช้มีดเลาะประตูเข้าไป

“กานต์เอาไปแล้ว เขา…”

“ช่างเถอะ” ธามทศกล่าวแล้วสอดส่ายสายตาไปทั่ว “ถึงมีก็ไม่ช่วยอะไร เราหาทางอื่นกันดีกว่า…โซนนี้ไม่มีบันไดเลื่อนจริงๆ งั้นหรือ”

พักหนึ่งจึงหยิบกระดาษที่เขียนกฎออกมา แล้วชี้ให้เธอดู

ส่วนของโกดังสินค้า ส่วนนี้ท่านไม่ต้องสนใจเท่าไรนัก หากไม่โชคร้ายจริงท่านจะไม่มีทางมาถึงหรอก แต่หากเกิดหลงเดินเข้าไปในส่วนนี้ ท่านจะรู้ได้ทันทีจากเหล่าสินค้าที่ถูกวางทิ้งไว้จำนวนมหาศาล ขอให้ท่านรีบออกจากพื้นที่ตรงนั้นเสีย จะใช้บันไดเลื่อนหรืออะไรก็ได้ในการออกไป ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในสินค้าเหล่านั้น

“แต่ก็คงไม่ไหว…ถึงส่วนโกดังจะมีบันไดเลื่อนก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัย แถมต้องงมหาทางไปโกดังอีก ต่อให้ทางแยกจะมีแค่สามทาง แต่จากกฎนี้ก็พอจะเดาออกว่าน่าจะไปถึงโกดังได้ยากมากๆ ไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ชาติ” ว่าแล้วก็นิ่งไป เหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง “เวลาในนี้ต่างกับโลกภายนอกมากไหม”

เป็นคำถามที่ไม่ค่อยอยากตอบเท่าไร “ตั้งแต่ธามเข้ามาก็เกือบสองวันแล้ว…”

“งั้นหรือ…ถ้านับเฉพาะเวลาที่ยังมีสติ ก็น่าจะนานเป็นสองสามเท่าของข้างนอกได้ แต่เวลาก็ยังไหลไปอยู่ดีสินะ”

วินิมัยไม่พูดอะไร ถ้าตรงตามที่ดิวาห์บอก เธอรู้ดีว่าเพื่อนของธามทศไม่มีเวลาแล้ว จะมัวหาทางไปโกดังคงไม่ไหว ได้แต่อ่านกฎทวนซ้ำอีกรอบ

เดี๋ยวสิ! เสียงตะโกนทำให้อีกฝ่ายถึงกับสะดุ้ง

“ง่ายๆ แค่นี้ ทำไมคิดไม่ออกนะ” เธอหันไปทางธามทศ สีหน้าระรื่นขึ้น “ลานจอดรถไง มันน่าจะมีทุกชั้นใช่ไหม”

ชายหนุ่มเบิกตา อ้าปากค้าง

“เออว่ะ ทำไมถึงคิดไม่ได้นะ คงเพราะไม่ค่อยได้เดินห้างแล้วก็ตายไปหลายรอบเกินมั้ง”

ใช่แล้ว ถ้าเป็นที่นั่นต้องมีบันไดสำหรับคนเดินขึ้นลงแต่ละชั้นอยู่ ทางออกสู่ลานจอดรถก็ไม่น่าจะมีถูกปิดไว้ เพราะในกฎก็บอกเองว่าหากเข้าไปแล้วให้ ‘อย่าอยู่กับที่นานเกินไป’

ทั้งสองคิดได้เช่นนั้นจึงเริ่มวิ่งย้อนกลับไปที่ทางแยก เป้าหมายคือลานจอดรถ

 



Don`t copy text!