ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 27 : ขอให้สนุกกับการถูกสังหาร

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 27 : ขอให้สนุกกับการถูกสังหาร

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

กฎการลองดีในห้างสรรพสินค้า รูล แอนด์ รอส

‘ถึงทุกท่านที่พกความกล้ามาลองดีกับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้’ เราใคร่ขอแนะนำกฎที่ท่านต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ท่านมีชีวิตรอดกลับออกไป หรือไม่เช่นนั้นก็เพื่อให้ท่านตายอย่างทรมานน้อยที่สุด

  • เมื่อท่านเข้ามาในพื้นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ จงอย่าพยายามกลับออกไปทางประตูที่เข้ามา (ไม่ว่าจะเข้ามาทางประตูกระจกด้านหน้า หรือประตูข้างก็ตาม) หนทางเดียวที่ท่านจะได้ออกไปพบโลกภายนอกอีกครั้ง คือประตูสำหรับพนักงานที่ตั้งอยู่บริเวณฝั่งขวาของอาคารแห่งนี้เท่านั้น
  • เราขอแนะนำพื้นที่ภายในอาคารคร่าวๆ เพื่อให้ท่านมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ดังนี้

๑. ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีจำนวน ๗ ชั้น ได้แก่

ชั้นใต้ดิน หรือชั้น UG คือโซนร้านอาหารทุกประเภท

ชั้นที่ ๑ หรือชั้น G คือโซนธนาคาร และร้านอาหารสำหรับครอบครัว

ชั้นที่ ๒ คือโซนเสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนม

ชั้นที่ ๓ และ ๔ คือโซนสำหรับเสื้อผ้าทั่วไป

ชั้น ๕ คือโซนสำหรับเสื้อผ้าสำหรับเด็กเล็ก ร้านอาหาร รวมถึงสถาบันกวดวิชาต่างๆ

ชั้น ๖ คือโซนยานพาหนะและอุปกรณ์ไฟฟ้า และฟิตเนส 

ชั้น ๗ คือส่วนของโรงภาพยนตร์ สวนหย่อม ศูนย์แสดงสินค้า และเวทีงานประกวด

 

๒.  ลานจอดรถจะอยู่ฝั่งซ้ายของอาคาร เมื่อหันหน้าเข้าหาประตูทางเข้าหลัก มีเจ็ดชั้นเช่นเดียวกันกับ

ตัวห้างฯ รองรับรถยนต์ได้เกินห้าร้อยคัน แต่หลังจากการเสียชีวิตปริศนาของผู้ใช้บริการนับร้อยคน รถยนต์แทบทั้งหมดจึงถูกปล่อยทิ้งไว้

หากเข้าไปยังบริเวณลานจอดรถแล้ว แล้วขอให้ท่านพยายามอย่าอยู่กับที่นานเกินไป

๓. ลิฟต์มีทั้งหมดสามจุด หนึ่งคือลิฟต์แก้วที่ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของห้างฯ สองคือลิฟต์ฝั่งอาคารจอดรถ ทั้งสองจุดสำหรับผู้เข้าใช้บริการทั่วไป ‘สาม’ คือลิฟต์ขนส่งสินค้าที่อยู่ฝั่งขวาของอาคาร โดยผู้ใช้บริการจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงบริเวณนี้ มันจะถูกปิดโดยกำแพงทึบ มีป้ายว่าเขตของพนักงาน ห้ามบุคคลภายนอกเข้า

โดยด้านในจะเป็นเหมือนอีกอาคารหนึ่งและมีทางเดินเชื่อมไปยังลานจอดรถ ส่วนของโกดัง และ

ทางออกของกลุ่มพนักงาน พื้นที่ส่วนนี้มีไว้สำหรับขนถ่ายสินค้าของผู้ประกอบการในช่วงที่ห้างปิดบริการ (หลัง ๒๒.๓๐ น.)

๔. ส่วนของโกดังสินค้า ส่วนนี้ท่านไม่ต้องสนใจเท่าไรนัก หากไม่โชคร้ายจริงท่านจะไม่มีทางมาถึง

หรอก แต่หากเกิดหลงเดินเข้าไปในส่วนนี้ ท่านจะรู้ได้ทันทีจากเหล่าสินค้าที่ถูกวางทิ้งไว้จำนวนมหาศาล ขอให้ท่านรีบออกจากพื้นที่ตรงนั้นเสีย จะใช้บันไดเลื่อนหรืออะไรก็ได้ในการออกไป ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในสินค้าเหล่านั้น

๕. ส่วนของสำนักงาน ส่วนนี้จะไม่มีทางเชื่อมจากตัวห้างสรรพสินค้า เนื่องจากถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง คุณมาถึงตรงนี้ไม่ได้

๖. ส่วนของสวนหย่อมในห้าง บริเวณชั้น ๗ เป็นส่วนของพื้นที่สีเขียวซึ่งเชื่อมไปถึงดาดฟ้าด้านนอก แต่บัดนี้ถูกผ้าใบคลุมปิดไว้ถึงบนเพดานอย่างถาวร ท่านจะมองไม่เห็นทิวทัศน์ของแสงดาวแต่อย่างใด อย่าพยายามดึงผ้าใบออก รวมถึงอย่าพยายามเปิดประตูที่เชื่อมไปสู่ดาดฟ้า ท่านไม่อยากเห็นหรอกว่าบริเวณภายนอกนั้นเป็นอย่างไร

ประตูขาออกสำหรับพนักงานนั้นจะตั้งอยู่ติดกับลิฟต์ในโซนสาม หรือก็คือลิฟต์ขนส่งสินค้าที่

อยู่ฝั่งขวาของอาคารนั่นเอง โดยประตูนี้จะมีทุกชั้น แต่ประตูที่จะพาท่านออกไปได้นั้นมีเพียงประตูชั้นสามชั้นเดียวเท่านั้น

เมื่อไปถึงประตูพนักงานชั้นสามแล้ว หากเคราะห์ดี ท่านจะมีโอกาสได้กลับออกไป แต่หากคุณหลงไปออกส่วนของลานจอดรถ โกดังหรือกลับมาที่ตัวอาคาร ขอให้คุณตั้งสติและหาทางออกอีกครั้งหนึ่ง

การออกจากสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องยาก มีอุปสรรคเพียงไม่กี่สิ่งเท่านั้นที่กันท่านจากโลกภายนอก หนึ่งคือแมงมุมสีดำสิบขาสิบตาที่มีขนาดประมาณหกเมตร สองคือผีหุ่นโชว์จำนวนนับไม่ถ้วน และสามคือมือขวาปริศนาที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวมนุษย์ถึงสองเท่า

ทั้งสามสิ่งนี้จะตามล่าและฆ่าท่านอย่างสยดสยอง ค่อนข้างแน่นอนว่าท่านจะถูกมันสังหารอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะท่านจะฟื้นขึ้นมาที่ชั้นใต้ดินในสภาพไม่ต่างกับก่อนตายแต่อย่างใด โปรดทำตามกฎอย่างเคร่งครัดเช่นเดิม และหาทางออกไปให้ได้

ท่านจะถูกมันสังหารสักกี่ครั้งก็ได้ เพราะท่านจะได้เริ่มต้นใหม่ที่ชั้นใต้ดินเสมอ แต่ขอเตือนไว้อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ถูกสังหาร พวกมันจะเร็วขึ้น ดุร้ายขึ้น บาดแผลที่ถูกมันทำร้ายจะเจ็บปวดทรมานมากขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งถูกสังหารบ่อยครั้งเท่าไร โอกาสที่ท่านจะได้ออกไปจากที่แห่งนี้ก็จะยิ่งลดน้อยลงไปเท่านั้น

อย่างที่บอกไว้ ว่าท่านจะเริ่มใหม่กี่ครั้งก็ได้ แต่หากทำไม่สำเร็จสักที ท่านก็จะหลงวนเวียนอยู่ในนี้ไปตลอด ท่านจะไม่แก่ชรา แต่ก็จะไม่ได้ตายอย่างสงบ ต้องทนวนเวียนถูกสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าตราบชั่วนิรันดร์

หรือในอีกกรณี เมื่อท่านยอมแพ้จากใจจริง ยอมรับว่าตนคงมิได้ออกไปจากที่แห่งนี้แล้ว เมื่อนั้นแหละที่ท่านจะตายจริง และจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย…

-นอกจากสามสิ่งนี้แล้ว คุณสามารถพบกับยามประจำห้างได้ เขาจะมีลักษณะคล้ายกับศพเน่าๆ ในชุดยามสีฟ้า ทุกก้าวที่เขาเดินจะมีรอยเท้าเปื้อนเลือดประดับอยู่บนพื้น ไม่นานก็จางไป

หากเจอเขาแล้วเข้าไปเดินใกล้ๆ จะช่วยกันพวกมันทั้งสามสิ่งไม่ให้เข้ามาทำร้ายท่านได้ แต่อย่าเดินติดชิดนานเกินไป เพราะหากยามไม่พอใจ ท่านจะตายอย่างเจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกพวกมันฆ่าเสียอีก โดยหากตายด้วยฝีมือของยามแล้ว ท่านจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเช่นกัน แต่จะไม่ทำให้พวกมันทั้งสามอันตรายขึ้นแต่อย่างใด

ป.ล. ๑ โดยสถิติแล้ว หากท่านถูกฆ่าตายเกินสามครั้ง นั่นหมายความว่าท่านจะไม่มีทางได้ออกได้อีกแล้ว

ป.ล. ๒ พื้นที่ภายในห้างแห่งนี้จะไม่ตรงตามที่เห็นภายนอก อย่าพยายามเดินหาทางออกโดยอ้างอิงจากแปลนที่หามาได้ เพราะจะยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง

ป.ล. ๓ กฎทั้งหมดที่กล่าวมาจะมีผลก็ต่อเมื่อมีผู้รอดชีวิตจากกฎทั้งสามที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎการทำงานในห้องฝ่ายบัญชีและการเงินหลังเที่ยงคืน อาคารคอนเนอร์ ๖’ ‘กฎการใช้งานสวนแสงหวนรังหลังอาทิตย์ตกดิน’ และ ‘กฎการใช้ลิฟต์ประตูสนิม’ มิเช่นนั้นห้างนี้ก็จะเป็นแค่สถานที่รกร้างว่างเปล่าธรรมดาเท่านั้น

ขอให้สนุกกับการถูกสังหาร

แม้จะเคยอ่านมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังอดกลืนน้ำลายเอื๊อกไม่ได้ มันเป็นกฎที่ยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไม่มีมีดคัตเตอร์แล้ว ทุกอย่างดูมืดมนไปหมด แถมยังบังคับให้ต้องผ่านกฎอีกสามข้อมาแล้วจึงจะมีผลได้อีก

ธามทศพับกระดาษแห่งกฎที่เก่ากรอบนั้นใส่ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต ค่อยๆ เดินไปตามทาง ครู่เดียวก็เข้าสู่โถงใหญ่ชั้น G ของห้างแห่งนี้

ห้างร้างนั้นมืดแทบมองไม่เห็นหากปราศจากแสงไฟฉาย อับชื้นเหมือนมีเชื้อราในปอด สินค้าที่วางตามบูธนั้นมีผ้าใบเก่าๆ คลุมไว้ ทางเดินก็หนาไปด้วยฝุ่นเทาซึ่งทำให้ลื่นกว่าที่คิด สายไฟตามทางก็ดูจะเป็นอุปสรรคเช่นกัน

เหมือนมีควันลอยไปมาในอากาศ ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองไหม ด้านนอกอาคารเริ่มมีฝนตกซาๆ ทำลายสมาธิในการฟังเข้าไปอีก รู้สึกเลยว่าโอกาสตายสูงมาก

เขาส่องไฟฉายไปรอบตัว พยายามมองหาโซนของพนักงาน

มันน่าจะถูกปิดด้วยกำแพงที่มีประตูทางเข้าสำหรับพนักงานที่มีกุญแจเท่านั้น แต่เพราะทัศนวิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แถมยังมีของวางเกลื่อนกลาด  บ้างเป็นกล่องไม้สูงเป็นเมตร บ้างก็พวกโต๊ะเคาน์เตอร์ รู้สึกตัวอีกทีก็เดินมาถึงลิฟต์แก้วตรงกลางแล้ว

ไม่ไหว แทนที่จะหาโซนพนักงาน สู้เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสามก่อนดีกว่า

พอคิดเช่นนั้นก็เริ่มส่องไฟหาบันไดเลื่อน และแสงไฟเป็นวงสีนวลก็เขยื้อนไปสาดใส่บางสิ่งที่มี ‘ลูกตาสิบดวง’

เขาร้องเชี่ยเบาๆ แล้วยืนตัวแข็ง แมงมุมขนาดใหญ่เกินสองเท่าของมนุษย์โตเต็มวัยกำลังจ้องมองมาในระยะสิบเมตร เหมือนไกลแต่ก็ใกล้กว่าที่คาด มันมีสีดำที่กลืนไปกับบรรยากาศรอบตัว มีเสียงลมหายใจเบาหวิว ไม่ขยับกายไปไหน จ้องมองเงียบๆ เหล่าดวงตาใสสีแดงนั้นไม่กะพริบแม้จะถูกไฟฉายส่องอยู่

หรือว่าตายแล้วกันนะ

ไร้สาระ มันคือกฎสยองนะมึง ไม่ช้ามันก็จะไล่กวดราวกับปีศาจแน่นอน ธามทศคิดได้จึงลดไฟฉายลงเล็กน้อย ค่อยๆ ก้าวถอยหลังช้าๆ สองเท้านั้นหนักอึ้ง น่าจะเพราะความตระหนก และเมื่อห่างออกมาเกินยี่สิบเมตร เขาก็เริ่มหันหลังวิ่ง

และก็ต้องล้มลงหน้าคว่ำแทบจะทันที

อะไรวะ! เขารีบลุกขึ้นมา แต่กลับขยับขาไม่ได้ เมื่อมองลงไปดูพร้อมส่องไฟ ก็พบว่าปลายขานั้นมีใยแมงมุมเหนียวๆ ติดหนึบอยู่

งั้นหรือ ที่มันไม่เคลื่อนไหว เพราะปล่อยใยไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้วสินะ แค่รอให้เหยื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็พอ…

ใยนั้นหนักและเหนียวขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา ที่ปลายเท้าหนักๆ คงเพราะเหยียบโดนใยของมัน ส่วนแมงมุมเชี่ยนั่นไม่รีบร้อน มันใช้ขาทั้งสิบก้าวเข้ามาหาช้าๆ อันที่จริงมีข้างหนึ่งที่ยกขึ้นกลางอากาศ ชี้ปลายแหลมมาที่เขา

ธามทศพยายามถอดรองเท้าออก ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า…ต่อให้ใช้เท้าเปล่าเดินต่อ อย่างไรเสียก็ต้องเหยียบถูกใยของมันอยู่ดี

ไม่มีทางรอดเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใยของมันมีอาณาเขตขนาดไหน เขาจึงรีบส่องไปที่พื้น เพ่งดูจึงพบว่าพอจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันเป็นเส้นขาวๆ บางยิ่งกว่าด้าย โปรยไปตามพื้น ดูท่าพอเหยียบถูกนานเข้าจะหนาและหนักขึ้นอย่างที่เข้าใจ ตอนนี้ใยที่พันรองเท้านั้นหนาเป็นนิ้วแล้ว

เมื่อจำรูปแบบการโปรยใยบนพื้นได้แล้ว ธามทศรีบถอดรองเท้าออก แล้ววิ่งทันที ในจังหวะเดียวกับที่มันจิ้มขาหน้าเข้าใส่ เฉี่ยวหัวไหล่ไปเล็กน้อย

วิ่งไป วิ่งไป อย่าหยุด อย่าลืมส่องพื้นดูใยด้วย

แต่เขาวิ่งไม่ออกแล้ว ร่างกายแข็งนิ่งอยู่กับที่หลังจากหนีมาได้ไม่นาน

แผลที่หัวไหล่แสบร้อนราวกับไฟนรก พิษของมันน่าจะแล่นไปทั่วกายแล้ว

‘รู้สึกถึงเงาตะคุ่มด้านหลัง’ ไม่นานเงานั้นก็คลุมร่างของธามทศ แมงมุมยักษ์หายใจฟืดฟาด แม้จะเห็นแค่เงาที่ส่องสู่พื้นห้อง ก็พอจะเดาออกว่ามันกำลังยกขาหน้าขึ้นอีกครั้ง

และพุ่งปลายแหลมสู่ท้ายทอยของเขาดังปึก ทะลุออกสู่ลำคอ

 

ดิวาห์ในวัยสิบเอ็ดกำลังนั่งอ่านหนังสือในห้องส่วนตัว ส่วนฤทธิ์ที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปีนอนคลุมโปงกลัวเสียงฟ้าร้องอยู่บนเตียงของเขา คืนนี้ไล่ก็คงไม่กลับ มองแล้วแอบคิดไปถึงหมาน้อยกลัวฝนที่เคยดูในภาพยนตร์

แต่อย่างว่า ฤทธิ์เป็นคนเดียวที่ไม่มองเขาด้วยแววตาหมั่นไส้ ไม่เรียกเขาว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงเสแสร้งชวนสำรอก

โมนากับเดชไม่ชอบขี้หน้าดิวาห์ เรื่องนั้นไม่ต้องใช้สมองก็ยังทราบ พวกนั้นมองว่าเขาทำตัวเป็นพี่ใหญ่ ทั้งที่ต่างกันแค่อายุมากกว่าเท่านั้น แต่ดิวาห์ไม่เคยโกรธเคือง ไม่มีเวลาว่างมากพอจะคิดอะไรไร้สาระเช่นนั้น นั่นเพราะเขามีหน้าที่เรียนให้หนักและสืบทอดกิจการต่อจากพ่อเลี้ยง แตกต่างจากพวกโมนา

และนั่นคือสิ่งที่ธุพาณคอนเนอร์คอยเป่าหูดิวาห์ตัวน้อย

จำได้ว่าพรุ่งนี้มีอบรม ส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้สนใจเพราะได้รับสิทธิ์ไม่ต้องเข้าร่วม ต่างกับฤทธิ์ที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูหนังล้างสมอง ทว่าเมื่อฟ้าเปรี้ยงอีกรอบ เด็กน้อยโง่เง่าก็สะดุ้งขึ้นมาและนอนต่อไม่หลับ

ดิวาห์ที่แอบรำคาญ จึงคิดหลอกฤทธิ์ให้สงบด้วยการชวนไปนั่งคุยกับพ่อเลี้ยงที่ห้องทำงาน มองว่าเมื่อถูกไล่ตะเพิด เดี๋ยวก็ยอมกลับไปนอนเอง

แต่ในคืนนั้นธุพาณกลับกำลังกรึ่มได้ที่ จึงพูดคุยกับทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง

ทั้งสองนั่งดูโทรทัศน์จอใหญ่ในห้องทำงาน ส่วนธุพาณนั่งดื่มต่อ เมื่อเบื่อหน่ายกับภาพยนตร์ตรงหน้า ฤทธิ์จึงถามพ่อเลี้ยงด้วยเสียงตื่นเต้น ‘ทำไมพ่อถึงชอบตั้งกฎเกี่ยวกับพวกสยองขวัญล่ะครับ’

ธุพาณมองมาที่เขา สงสัยกระมังว่าฤทธิ์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ก่อนจะแอบบ่นถึงพินธาว่า “ยายน้องสาวปากมากเอ๊ย”

ดิวาห์น้อยเองก็เกลียดพินธาเช่นกัน ‘ยายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์’

แต่กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้มสะใจบนใบหน้า ธุพาณตอบคำถามอย่างอารมณ์ดี ‘เหตุผลเดียวกับที่ฉันชอบนั่งเครื่องบินส่วนตัว เพราะมันน่ากลัวและไม่อาจต่อต้าน วูบเดียวที่เครื่องดิ่งสู่พื้น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ทุกสิ่งที่เราพยายามมาตลอดชีวิตก็จะจบลง’

พ่อเลี้ยงคงรู้ทันทีว่าลูกทั้งสองไม่เข้าใจ จึงแสร้งทำท่าคิดหนักก่อนจะพยายามอธิบายเพิ่ม ‘ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์หรืองานวิจัยอะไรหรอกนะ แต่ฉันมองว่าความกลัวคือสิ่งที่ติดตัวเรามาจากท้องแม่ เด็กทารกหลายคนที่ออกมาเจอโลก อารมณ์แรกที่พวกมันสัมผัสก็คือความกลัว กลัวแสง กลัวกลิ่น กลัวสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย พวกมันร้องไห้เพื่อบรรเทาความกลัวและเรียกร้องให้ผู้ปกครองหรือใครก็ได้มาปกป้อง

จะว่าไปแล้ว ความกลัวก็คือหลักฐานว่าเรามีชีวิต…และมนุษย์ก็อยู่คู่กับความกลัวมาโดยตลอด และทำทุกอย่างเพื่อรับมือกับมัน ทำให้การแพทย์พัฒนาขึ้น การเดินทางพัฒนาขึ้น ทั้งหมดล้วนมีแรงกระตุ้นจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะบรรเทาหรือหลีกเลี่ยงความกลัวต่างๆ’

ธุพาณหยุดจิบเหล้า ยิ้มแย้มสดใส

‘ฉันเองก็เช่นกัน ในยามที่กลัวตัวสั่น ในหัวกลับมองเห็นทางออกของปัญหาเสียอย่างงั้น ราวกับว่ามันกระตุ้นให้สมองทำงานได้มากกว่าปกติ’

ตามที่ดิวาห์ร่ำเรียนมา จำได้ว่าหากกลัวเกินไป สมองจะคิดอะไรไม่ออกต่างหาก แต่เขาไม่ได้เถียง ส่วนฤทธิ์นั้นอยู่ในโครงการอบรมประหลาดของพ่อเลี้ยง จึงไม่น่าเข้าใจอะไรเช่นนี้หรอก

‘แล้วพวกแกรู้ไหมว่าใครที่ไม่กลัว’

ดิวาห์ไม่ขยับปาก ไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรให้คนเมาพอใจ แต่น้องชายไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น

‘คนตายไม่กลัว’

คำตอบนี้ส่งให้ธุพาณหัวเราะลั่น สีหน้าถูกอกถูกใจในคำตอบของเด็กน้อยฤทธิ์

          ‘ไม่ผิดว่ะ ไม่ผิดสักนิด กูชอบคำตอบของมึง’

‘แต่’ ธุพาณกระแอม กลับมาตั้งสติอีกครั้ง ‘ในความคิดของฉัน คนที่ไม่กลัวคือคนที่ใช้ประโยชน์จากความกลัวต่างหาก’

พ่อเลี้ยงหน้าแดงก่ำเริ่มยกเหล้าเข้าปากอีกรอบ เลียริมฝีปากแล้วพล่ามต่อ ‘คนประเภทนั้นไม่รู้สึกกลัว เพราะใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือแสวงหาความสำเร็จไงล่ะ’

ดิวาห์ร้องอ๋อ พอจะเห็นภาพ ส่วนฤทธิ์ผงกหัวกับแนวคิดนั้น

‘เรื่องสยองขวัญสั่นประสาท มันก็แนวทางเดียวกับความกลัวตายและกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวสิ่งที่ไม่เข้าใจ หากเราใช้ประโยชน์จากพวกนี้ได้ เราก็จะไปถึงอีกขั้นของศักยภาพ’

‘ฉันใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน ว่าจะล้างแค้นยังไงไม่ให้ถูกจับ จะเล่นงานศัตรูยังไงให้รอดคุก กระทั่งรู้ซึ้งว่าพวกผีและอสุรกายนั้นโคตรขี้โกง นั่นเพราะกฎหมายทำอะไรผีไม่ได้ไงล่ะ

เพราะฉะนั้นแกไม่จำเป็นต้องไร้ความกลัวหรอก แต่ต้องใช้ให้เป็น ใช้มันเป็นเชื้อเพลิงโดยรีดมันออกจากคนอื่น เช่นพวกน้องๆ ของแกไงดิวาห์’ ธุพาณกล่าวเหมือนไม่เห็นหัวฤทธิ์อยู่ในสายตา

พูดไปพูดมาเริ่มออกทะเล ตามประสาสันดานของธุพาณ แต่ไม่รู้ทำไม ตัวดิวาห์เองก็เริ่มเชื่อในความคิดนั้น อย่างน้อยๆ ประเด็นที่ว่ามาก็มีสาระอยู่ในตัวของมันเอง

 



Don`t copy text!