ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 19 : พี่น้อง ผองเพื่อน

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 19 : พี่น้อง ผองเพื่อน

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

หายใจไม่ได้ หน้าอกแสบเหมือนถูกราดด้วยกรด และยังมีมนุษย์กระดาษยืนเอียงคอจ้องอยู่อีก

มันสูงเท่าๆ กับธามทศ ทั้งตัวเป็นกระดาษที่มีตัวหนังสือเขียนเต็มไปหมด แน่นอนว่าไม่มีอารมณ์จะสนหรอกว่าเขียนเรื่องอะไร ส่วนใบหน้านั้นมีร่องบริเวณดวงตากับปาก จ้องผ่านช่องว่างเข้าไปก็พบแต่ความมืด

อู อา มันยังร้องครวญเป็นเสียงสวดไม่หยุด ส่วนลิฟต์เริ่มเคลื่อนลงไปเรื่อยๆ แต่ช้ากว่าเดิมพอควร

ใจเต้นแรงกระแทกอก เจ็บแทบจะตะโกนออกมา สองนาทีครึ่งแล้วที่กลั้นหายใจ และเขายังไหวอยู่

ทันใดนั้นมันก็ปราดเข้ามาทางเขา พยายามใช้เล็บยาวสีดำข่วนไปมา พลางร้องอา อา แน่นอนว่าไม่น่ากลัวเท่าไรนัก เพราะทั้งช้า งุ่มง่าม แถมยังไร้ชั้นเชิงอีกต่างหาก

สิ่งที่ธามทศต้องทำคือหามีดคัตเตอร์ มันหล่นอยู่ที่พื้นมุมซ้ายของลิฟต์ในช่วงที่หมดสติ สังเกตเห็นสักพักแล้วแต่ไม่มีจังหวะจะเก็บ เมื่อมันเริ่มโจมตี เขาก็เพียงหลบไปมาในมุม คว้าคัตเตอร์ แล้วตวัดไปที่หลังฝ่ามือซ้ายของมัน

ได้ผลอีกครั้ง ไม่ต่างจากผีหญิงห่มเลือด มนุษย์กระดาษทรุดลงไปกับพื้น กุมมือตัวเองแล้วร้องไห้เสียงหวีดสูง

เขายิ้มออกมา แต่ก็โล่งใจได้ไม่นาน เพราะจู่ๆ ก็ปวดแสบเล็กน้อยที่หลังฝ่ามือซ้าย เมื่อพลิกขึ้นมาดูก็พบว่ามันมีแผลถูกเฉือนได้เลือดอยู่

ฉิบหาย อาจเพราะอ่านการ์ตูนมาเยอะจึงจินตนาการออกในทันที ไม่ใช่ว่าโดนมันข่วนถูกหรอก ‘แต่เขามีบาดแผลแบบเดียวกับมันต่างหาก…’

หากทำร้ายมัน เท่ากับว่าทำร้ายตนเอง

เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว ได้แต่ยืนนิ่งมองมันร้องไห้บนพื้น แต่ยังดีที่แผลนี้ไม่เจ็บมาก แสดงว่าฤทธิ์ของคัตเตอร์คงมีผลแค่กับมัน ส่วนเขาได้รับแค่เพียงบาดแผลเท่านั้น

ลิฟต์หยุดอีกครั้ง ไฟชั้นสี่ดับลง เข้าสู่ชั้นสามแล้ว ธามทศเริ่มหายใจหนักๆ ออกมา สูดเข้าออกต่อเนื่องให้มีแรง ส่วนมนุษย์กระดาษเริ่มยืนขึ้นมาอีกครั้ง

ประตูลิฟต์ไม่ได้เปิด แสดงว่ามันยังไม่ลงชั้นนี้

เขาจับจ้องมันที่ลุกขึ้นมายืนตรงแน่ว ไม่ขยับไปไหน กำแพงอีกฝั่งปรากฏสัญลักษณ์เลือดรูปดวงตา มันเป็นตาขวาทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งปิด ข้างหนึ่งเปิด และมีเส้นสีแดงขีดแนวนอนตัดทั้งสองดวงตา

นั่นแปลได้อย่างเดียว ‘ห้ามกะพริบตา’

แน่นอนว่าเมื่อครู่กะพริบไปแล้วสักสองสามครั้ง เขารีบมองทั่วห้องเพื่อหาร่องรอยการโจมตี และไม่พบอะไรนอกเสียจากรอยฝ่ามือสองรอยที่ประตูลิฟต์ด้านใน เป็นรอยสีแดงเหมือนเลือดเปื้อนมือแล้วเอามาแปะ

ทันใดนั้นมนุษย์กระดาษก็เริ่มตะปบเข้าใส่อีกครั้ง พร้อมร้องเสียงหวีดแสบแก้วหู ด้วยความตกใจที่มันเร็วขึ้นมากจึงเผลอกะพริบตาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะถีบร่างของมันให้กระเด็นไปที่กำแพงอีกฝั่ง

รู้สึกจุกแน่นที่ลิ้นปี่ตามทันที แอบบ่นในใจว่าตีนตัวเองก็หนักไม่เบา แต่ที่น่ากลัวคือรอยฝ่ามือที่ประตูลิฟต์ด้านใน มันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นห้ารอยแล้ว

ไม่อยากจะคิดว่าถ้าฝ่ามือพวกนี้ผุดขึ้นเต็มกำแพงทุกด้านจะเกิดอะไรขึ้น

ไอ้มนุษย์กระดาษนั่งคุกเข่าลงกับพื้น หันหน้าไปทางประตูลิฟต์ ท่าทางคงไม่อยากมีเรื่องกับเขาแล้ว ส่วนแผลที่มือมันก็ไม่มีวันหาย

ไม่เป็นไร ธามทศพยายามคุมลมหายใจ ฉวยน้ำตาเทียมจากกระเป๋าเสื้อด้านในมาหยอด ทันทีที่หยดน้ำตาเทียมกระทบคอนแทกต์เลนส์ เขาจำเป็นต้องกะพริบอีกหนึ่งครั้งเพื่อให้มองเห็นชัด

และคราวนี้รอยฝ่ามือลามไปเกือบครึ่งประตูลิฟต์ด้านในแล้ว…

เห็นได้ชัดว่าอัตราการเพิ่มของมันไม่ใช่ปกติเลย

อย่างไรก็ตาม ตัวมนุษย์กระดาษนั้นไม่น่ากลัวเท่าไร ต่อให้มันเร่งความเร็วกว่านี้เขาก็ยังรับมือได้ อย่างแย่ก็แค่จับล็อกมันเอาไว้ให้นิ่งๆ ก็พอ ส่วนเรื่องกะพริบตาก็มียาช่วยอยู่ คิดดูแล้วคงไม่หนักหนาเกินไป แต่ยังประมาทไม่ได้ ยิ่งตนเป็นพวกที่มักเจอกับสถานการณ์เลวร้ายกว่าปกติอยู่แล้วด้วย

ในขณะที่คิดสะระตะ มนุษย์กระดาษก็หยุดส่งเสียงสวด แล้วยกแขนขวาของมันขึ้นมาที่ส่วนปาก จากนั้นจึงกัดแขนตัวเองเสียงดังกร้วม!

เขารู้สึกได้ทันทีว่าผิวหนังบริเวณแขนด้านนอกปริแตก เส้นเลือดฉีกขาดจากรอยคบเขี้ยว เจ็บปวดถึงปลายประสาทกระทั่งร้องอ้ากออกไปสุดเสียง เผลอหลับตาไปอีกหนึ่งครั้ง

เชี่ย เชี่ย เชี่ย เขารีบใช้ผ้ากดที่แผลไว้ และเมื่อเห็นว่ามนุษย์กระดาษเริ่มพลิกท้องแขนขึ้น เตรียมจะกัดตัวเองจมเขี้ยวอีกครั้ง จึงบรรจงส่งปลายตีนยันที่หัวไปหนึ่งเปรี้ยง

ได้ผล…ในหลายๆ ความหมาย มันหัวโขกใส่กำแพงอีกฝั่งและนิ่งไป ส่วนเขานั้นปวดหัวจิ้ด ปวดถึงขั้นกะพริบตาไม่ลงทีเดียว

“รีบๆ ออกไปได้แล้ว” เขาตะโกนสั่งมนุษย์กระดาษด้วยเสียงสั่น มั่นใจว่ามันไม่เข้าใจหรอก

มนุษย์กระดาษเอาหัวโขกกำแพงดังเปรี้ยง และโขกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ยอมหยุด แรงขึ้น แรงขึ้น กระทั่งกลายเป็นโขกแบบกะให้ตายไปข้าง และนั่นทำให้ธามทศต้องลงไปกุมขมับ สมองสั่นราวกับกำลังกลิ้งไปมาในกระโหลก อาเจียนออกมาเพื่อลดแรงดันสมอง และแน่นอนว่ากะพริบตาอีกหลายครั้ง

ไอ้ เวร เอ๊ย เขาฝืนลุกขึ้นทั้งที่มันยังโขกอยู่ กระดาษส่วนหัวของมันปริออกเห็นเป็นรอยโหว่สีดำ ส่วนของเขานั้นเลือดอาบลงมาจากหัวถึงไหล่ซ้ายแล้ว แม้อาการบาดเจ็บจะส่งมาไม่หนักเท่า แต่เขาที่เป็นคนธรรมดานั้นฝืนเกินขีดจำกัดไปไกลแล้ว

สองมือคว้าหัวของมันไว้ไม่ให้ขยับ แต่กลายเป็นว่าเปิดช่องให้มันใช้เล็บยาวข่วนปาดที่อกและท้อง ลงไปนอนครวญกับพื้น สติเริ่มไม่ไหวแล้ว

มันยังไม่เริ่มโขกต่อ สายตาของเขามองไปที่ประตูลิฟต์ด้านใน รอยมือเต็มไปหมด ล้นมาถึงกำแพงฝั่งขวา

ตาแห้งกระทั่งเลือดไหลออกมา กะพริบอีกครั้งก็พบว่ารอยมือลามมาถึงกำแพงด้านหลัง อีกไม่นานก็คงกลับมาบรรจบที่ประตูลิฟต์ราวกับแผลงูสวัด

เสียงติ๊งดังขึ้น มาถึงชั้นสองแล้ว และลายมือที่เขียนจากเลือดบนพื้นก็บอกในสิ่งที่ต้องทำ

‘ห้ามกะพริบตา’

ธามทศตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าจะมีกฎย่อยที่ซ้ำกันได้ ก่อนที่สติจะเริ่มลอยออกไปจากร่าง

 

วินิมัยขับรถเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ช้าก็มาถึงลานจอดรถที่ใกล้กับสถาบันสอนพิเศษ UHRR จากนั้นจึงวิ่งสุดตีนหมาเข้าไปยังซอยกว้าง หัวใจแทบจะกระเด็นนอกจากช่องอก เสียงหอบหายใจลั่นในหูทั้งสองข้าง รองเท้ากีฬาสีขาวเปื้อนโคลนจากพื้นไปหมด

ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจากในกระเป๋าสะพาย แต่ไม่คิดจะรับ คาดว่าคงเป็นกานต์แน่นอน เขาไม่ใช่คนโง่ คงเดาออกแล้วว่าสถานที่นี้คือเป้าหมายปัจจุบันของธามทศ แต่ช้าไม่ได้แล้ว

วิ่งเข้ามาในเขตสถาบัน มุ่งตรงไปยังอาคารเรียนรู้ด้วยตนเอง และหยุดฝีเท้ากึกตรงหน้าลิฟต์ประตูสีสนิม

แผงปุ่มด้านข้างมีไฟติด ไฟตัวเลขอยู่นิ่งที่ชั้นสอง…ธามทศอยู่ด้านในไม่ผิดแน่

มาไม่ทันสินะ แต่ไม่เป็นไร แค่รอตรงนี้ก็พอแล้ว เพราะเขาต้องรอดออกมาได้แน่

แต่จุดนั้นแหละที่อันตราย…

 

หลังจากวันนั้น ผมก็คอยทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของโมนาในยามค่ำคืน เมื่อเธอลงมาทานของหวานหรือดื่มน้ำ เมื่อเธอนอนไม่หลับแล้วออกมานับดวงดาว ผมจะคอยรับมือกับผีทั้งสองตัวนั้นเอง

พวกเราคือพี่น้อง พวกเราคือผองเพื่อน

กี่ยาม กี่วัน กี่เดือน

ความเป็นเพื่อนของเราคงทน

และหากว่ามีวันไหน ที่ใจพวกเราสับสน

ไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทน บนโลกที่มันซับซ้อน

ก็ขอแค่มีเธอนั้น…จับมือช่วยกันอ้อนวอน

เพลงที่ถูกบังคับให้ร้องในคาบอบรมจบลงไปแล้ว แถมวันนี้พวกผมไม่ต้องดูวิดีโอที่มีภาพตัวอักษรกับรูปที่เหมือนมีชีวิตดิ้นได้ด้วย ผมจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

และเพราะเก็บเป็นความลับไม่ไหว ไม่นานผมจึงหลุดปากบอกเรื่องการแต่งงานของโมนากับผมให้พรีมฟัง และท่าทีที่ได้รับคือความสมเพช

‘ไม่รู้หรือไงยะ ว่าโมนาก็แค่หลอกนาย’ เสียงแหลมของพรีมทำให้ผมโกรธในทันใด

‘โมนายังบอกฉันกับวิคเตอร์เลยว่าฤทธิ์โง่ หลอกง่าย พูดอะไรก็เชื่อ’

‘ไม่จริง ไม่จริง เราสัญญากันแล้ว’ ผมคลั่งและวิ่งออกจากห้องอบรม ไปหาโมนา

หลังอบรมพวกโมนากับเดชจะไปเล่นกันที่ห้องนั่งเล่น พรีมเองก็คงจะตามมาในอีกไม่นาน ผมเข้าไปในห้องที่ปูด้วยพรมสีเขียว ถามโมนาเรื่องสัญญาที่ว่าเราจะแต่งงานกันเมื่อโตขึ้น

โมนายิ้มหวาน หัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องโง่ที่สุดที่เคยได้ยิน วิคเตอร์กับเดชก็หัวเราะเช่นกัน ตามมาด้วยเสียงของพรีมที่อยู่ด้านหลัง ขำไปพลาง ด่าผมไปพลางว่า ‘โง่งี่เง่า’

 

เขานอนกับพื้นโดยนิ้วชี้และนิ้วโป้งของสองมือคอยเบิกหนังตาเอาไว้ น้ำตาเทียมไม่ช่วยอะไรแล้วในตอนนี้ มนุษย์กระดาษยังคงทำร้ายตัวเองเป็นระยะ ส่วนรอยมือนั้นอีกแค่คืบก็จะมาบรรจบกันแล้ว

ไม่ช้ามนุษย์กระดาษที่หัวแหว่งไปข้างก็ลุกขึ้น สวดมนต์อีกครั้งหลังที่หยุดไปนาน และเดินมาคร่อมร่างของธามทศ พร้อมบีบคอเขาอย่างช้าๆ

สองมือต่อยตีแต่ไม่ได้ผล มีแต่จะเจ็บเอง จึงบีบที่ข้อมือกระดาษของมันเพื่อดึงออก รับรู้ได้ว่าข้อมือตัวเองก็ปวดร้าวเช่นกัน แต่อาการบาดเจ็บที่ถูกส่งมานั้นน้อยกว่ามนุษย์กระดาษมาก

จากนั้นมันเริ่มอาเจียนหมึกสีดำลงมาใส่หน้าของเขา เข้าตา ปาก และจมูก การกะพริบตาจึงไม่อาจเลี่ยง

และนั่นทำให้รอยมือมาบรรจบกันพอดี

ลิฟต์ทุกด้านเริ่มบีบแคบเข้ามาช้าๆ เขาลุกขึ้นอย่างหวาดผวา เพดานเตี้ยลง ซ้ายขวาบดเข้ามาพร้อมเสียงดังเหมือนเหล็กที่กำลังถูกเจียด้วยใบมีด ไม่นานร่างของเขากับมนุษย์กระดาษก็ได้แต่ยืนหันหลังชนกันในพื้นที่แคบๆ ไม่ช้าก็คงจะถูกบดทับไปพร้อมกัน

เขาพยายามดิ้นรนหาทางออก แต่ก็รู้สึกได้ว่าอกถูกดันเข้ามาเรื่อยๆ เพดานเริ่มกดลงที่กระหม่อมกระทั่งร้องหวีดออกมาอย่างสุดเสียง สันหลังเบียดไปกับกระดาษร้อนๆ ที่เปื่อยยุ่ย

ยังไม่ถึงชั้นหนึ่งเลย จบแล้วสินะ

แต่ก่อนที่จะหมดลม เสียงติ๊งก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง

 

ประตูลิฟต์เปิดออกแล้ว ทันทีที่อากาศภายในโชยออกมา จมูกก็แทบดับทันที มันเหม็นเน่าเกินจะสูดเข้าไป และยังมืดพอสมควร แต่จากมุมนี้วินิมัยสามารถเห็นร่างของคนกำลังยืนพิงกำแพงลิฟต์ด้านขวาอยู่

ธามทศนั่นเอง

เขามองออกมาด้วยแววตาอิดโรยและแดงก่ำอย่างน่าสยอง ราวกับทหารที่ผ่านสงครามเฉียดตายมานับปี บาดแผลเต็มไปหมด แต่นอกจากอารมณ์เหนื่อยล้าและเจ็บปวด วินิมัยสาบานได้ว่ามีความรักอยู่ในแววตาคู่นั้น

“วินิมัย.. ผม” เขากล่าวแล้วหยุดกะทันหัน ก่อนจะเดินโซเซออกมาทางประตูลิฟต์

ใจที่ปวดร้าวสั่งให้โผเข้าไปกอด ในขณะที่อีกไม่ถึงสองก้าวเขาก็จะออกมาภายนอกแล้ว แต่สมองของเธอก็สั่งการฉับพลัน เกือบลืมสาเหตุที่ตนมารอแล้ว

“ธามอย่าเพิ่งออกมานะ!”

เสียงตะโกนส่งผลให้อดีตคนรักชะงักทันที ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดเข้ามาชนกันอย่างแรง เสียงดังปึงนั้นดังก้องไปถึงโสตประสาท

ความเร็วและความแรงขนาดนั้น สามารถบดขยี้ร่างกายให้เละถึงกระดูกทีเดียว

เธอกลืนน้ำลาย ยังดีที่ตนเอะใจเรื่องกฎข้อสุดท้าย

เมื่อคุณมาถึงชั้นล่าง และสามารถมีชีวิตรอดกระทั่งลิฟต์เปิด เราขอแนะนำไม่ให้คุณวิ่งพรวดออกจากลิฟต์ในทันที แต่ควรยื่นข้าวของ สัมภาระ หรืออย่างน้อยก็แขนขาสักข้างออกไปก่อน

แม้ว่าธามทศจะเตรียมตัวมาเพียงใด แต่การเอาชีวิตรอดนั้นไม่เคยง่าย ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะออกจากลิฟต์ สติไม่มีทางครบครันเหมือนก่อนเข้าไป จึงมีโอกาสสูงที่จะหลงลืมกฎข้อนี้ เธอจึงมายืนตรงนี้เพื่อย้ำเตือนเขา

ประตูเปิดออกช้าๆ อีกครั้ง ธามทศที่มองออกมามีท่าทีตระหนกและอ่อนล้าถึงขีดสุด

ทั้งสองมองตากัน ธามทศค่อยๆ ยื่นกระเป๋าสะพายออกมาก่อน เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร เธอจึงรีบจับที่แขนข้างที่ยื่นออกมา แล้วดึงเขาออกจากลิฟต์อย่างสุดแรง

ทั้งสองนอนหอบที่หน้าลิฟต์ เธอรู้สึกเหนื่อยเหมือนตนเองเพิ่งเฉียดตายมา ส่วนธามทศนั้นแทบจะหมดสติแล้ว

“ต้องพาธามไปโรงพยาบาล” วินิมัยลุกยืนและดึงตัวธามทศขึ้นเพื่อจะพยุงเขาออกไปจากที่แห่งนี้ ร่างกำยำพิงใส่เพราะความอ่อนล้า แม้จะแอบปลื้ม แต่ในใจเธอกลับไม่เต้นแรงเท่าที่คาดไว้

รถของตนจอดห่างออกไปไม่ไกล จากตรงนี้ไปโรงพยาบาลเลยจะใกล้กว่ากลับไปที่เฮลป์เปอร์

แต่เงาบนพื้นที่ใกล้เข้ามาทำให้เธอใจสั่น หันไปก็พบว่าเป็นกานต์ที่กำลังทำหน้าถมึงทึงอยู่

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” กานต์กล่าวด้วยเสียงที่ฟังออกว่ากำลังพยายามข่มอารมณ์ถึงขีดสุด

 



Don`t copy text!