ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 15 : จำนวน?

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 15 : จำนวน?

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

โลกภายนอกมืดบอด หัวหมุนไปหมด ไม่รู้เลยว่ากำลังลืมตาหรือหลับตาอยู่ แถมยังปวดถึงท้ายทอยอีก ฉันอยู่ที่ไหน…

ประธานแห่งเฮลป์เปอร์จำได้เพียงตนถูกอะไรบางอย่างลากไปตามพื้นห้องทำงานเท่านั้น พยายามส่งอีเมลที่ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่ แล้วภาพก็ตัดไป

สองมือเหมือนจะถูกมัดไขว้ไปด้านหลัง ตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ พยายามอ้าปากส่งเสียง แต่ออกมาเพียงคำครวญคราง ทว่าก็ทำให้ทราบว่าตนมิได้ถูกมัดปากไว้

พินธาสูดหายใจ พยายามถามว่าฉันอยู่ที่ไหน ได้ยินแต่เสียงแผ่วๆ ของตัวเอง

ไม่นานจึงพอจะออกเสียงดังได้บ้าง แถมสายตาที่ก้มมองพื้นก็เริ่มเห็นปลายเท้าของคนตรงหน้ารางๆ แม้ว่ายังมีอะไรบางอย่างขวางมุมมองส่วนใหญ่ไว้อยู่

เป็นรองเท้าโลฟเฟอร์หนังสีน้ำตาล

“ดิวาห์ นั่นเธอใช่ไหม เธอใช่ไหมที่ทำร้ายฉัน และอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้…ที่สัญญาณของกล้องในสวนแสงหวนรังติดขัด ก็เพราะคลื่นรบกวนจากโดรนของบริษัทเธอ”

ชายผู้น่าจะเป็นดิวาห์ไม่ตอบ แต่เขยิบใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะดึงอะไรบางอย่างออกจากใบหน้าของพินธา ไม่ช้าแสงสว่างก็ลอดเข้ามาแยงตา เมื่อครู่เธอถูกปิดตาแบบหลวมๆ ไว้นั่นเอง

แม้พยายามบังคับให้ตาสู้แสง แต่ก็ไม่ไหว ทำได้แค่รอเวลาให้ปรับสภาพ ก่อนจะยกหน้าขึ้นมอง เป็นผู้ชายในชุดสูทวูลสีเทาเข้มดูน่าอึดอัด หนวดเหนือริมฝีปากและคางเข้าทรงอย่างจงใจ ผมเสยรวบไปด้านหลัง อายุมากกว่าเธอหลายปี

ด้านหลังของชายวัยกลางคน คือดิวาห์ในชุดสูททรงเดียวกับชายคนนี้อย่างกับแกะ ชายหนุ่มส่งเสียงไร้อารมณ์ว่า “คุณต่างหากที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”

ส่วนชายวัยเกือบหกสิบแค่นหัวเราะ ทำหน้าเยาะเย้ยและดูถูก เป็นสีหน้าประจำตัว เธอรู้จักเขาดี

“พ่อเลี้ยงครับ…ลุงเฟดแจ้งว่าวินิมัยกับคนชื่อกานต์ เดินทางมาถึงชั้นล่างของบ้านหลังนี้แล้วครับ” ดิวาห์ชี้ไปที่พื้น

ชายคนนั้นพยักหน้าให้กับข่าวจากปากดิวาห์ “เฟดเองก็คงตกใจ ตาแก่นั่นคงเปิดประตูต้อนรับโดยไม่มองด้วยซ้ำว่าใครมา แต่ช่างเถอะ ฉันมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ” พูดจบก็จ้องตามาที่พินธาอย่างเขม็ง

“ไม่เจอกันนานนะ พินธา” ธุพาณทักทาย

“คิดว่าตายห่าไปแล้วเสียอีก” เธอตอบพร้อมจ้องกลับ แต่ในใจสั่นกลัวแทบบ้า

ใช่แล้ว ชายคนนี้สามารถฆ่าใครก็ได้ตามต้องการ มีอำนาจเหนือผู้ใด หรือไม่ก็เคยมีอำนาจแบบนั้น

เขาคือธุพาณ คอนเนอร์ อดีตประธานของบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง

และเป็นพี่ชายของเธอเอง

 

“ผมชื่อกานต์ ส่วนเธอชื่อวินิมัย พวกเรามาตามคำแนะนำของประธานพินธาครับ”

นั่นคือประโยคแนะนำตัวของเขา ส่วนวินิมัยน่ะหรือ คงกำลังคลำปืนพกในกระเป๋าถือสีดำของตัวเองอยู่ และหวังว่าจะไม่ต้องใช้มัน

ชายชราร่างบอบบางส่งเสียง อืม อืม ในลำคอ บอกว่าตนน่าจะพลาดไปแล้ว

“พอเห็นว่ามีเงาคนในกล้อง ก็เลยเปิดแบบส่งๆ คิดว่าถ้าไม่ใช่นายท่าน ก็คงเป็นคนส่งของ ดูท่าคราวนี้จะถูกไล่ออกแน่แล้ว”

เป็นประโยคที่ฟังดูไร้ความรับผิดชอบ และมีโทษร้ายแรง แต่สีหน้านิ่งเฉยนั้นชวนให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้หวาดกลัวอะไรแม้แต่น้อย

“คนพวกนี้เป็นใครหรือครับ ทำไมประธานพินธาถึงส่งพวกเรามา”

ชายชราเลิกตามองกานต์ “ถ้าเป็นในภาพยนต์ของต่างประเทศ พวกคุณทั้งสองคงตายไปแล้วละครับ เคราะห์ดีจริงที่มาเจอตาแก่อย่างผม” กล่าวจบก็ก้มศีรษะ “ผมชื่อเฟด ทำงานให้กับนายท่านในการดูแลคุณหนูทั้งสี่คนนี้ และไม่ได้เกี่ยวดองอันใดกับ พินธา ลอยาร์ด เลยแม้แต่น้อย” เฟดกล่าวปิดท้าย ชำเลืองมองพวกเขาอย่างพินิจพิเคราะห์

ไม่ใช่พวกเดียวกันสินะ กานต์คิดในใจว่าพลาดแล้ว

“ก่อนจะเข้ามา ทางผมได้ส่งข่าวไปยังนายท่าน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด จะสังหารหรือปล่อยไป คงต้องรอก่อน”

วินิมัยที่ยืนข้างกายควักปืนออกมาทันควัน เล็งไปยังเฟด

ชายชรานั้นไม่ตอบสนอง เพียงแค่มองมาอย่างธรรมดาวิสัย ราวกับเห็นปืนเป็นเพียงเครื่องใช้ภายในบ้านทั่วไป ต่างกับเขาที่เริ่มขาสั่นเพราะความเลือดเย็นของทั้งคู่

“นายท่านที่ว่าคือใคร! เกี่ยวอะไรกับพวกกฎสยองและไอ้ผีเปรตที่คอยตามหลอกฉัน”

เฟดมีท่าทีต่อคำว่ากฎสยองและผีเปรต “งั้นหรือ งั้นหรือ…นายท่านน่าจะเคยแจ้งไว้แล้ว แต่ตัวผมเลอะเลือน ไม่สิ ไม่สิ ไม่เคยแจ้งต่างหาก หากนายท่านทราบคงจะตกใจแน่นอน แปลว่าทางคุณวินิมัยเองก็มองเห็นสินะ”

วินิมัยถามกลับไปว่าต้องการจะสื่ออะไรวะ แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เฟดหยิบสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่เอี่ยมจากสูทด้านใน รับสายแล้วตอบเพียง “ได้ครับ ได้ครับ”

จากนั้นจึงหันมาทางทั้งคู่ “นายท่านสั่งว่าจะไม่สังหารใครโดยไม่จำเป็น หากทั้งสองคนยอมกลับไปแต่โดยดี ก็จะไม่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นครับ”

‘ใครจะยอมกลับตอนนี้เล่า’ เขาตะโกนเสียงดังภายในใจ ไม่กล้าพ่นออกมา ต่างกับวินิมัยที่เก็บปืนใส่กระเป๋า แล้วกวักมือเรียกเขากลับ

ระหว่างทางออก กานต์ถามวินิมัยว่าทำไมจึงยอมกลับแต่โดยดี

หญิงสาวมองเขาด้วยแววตาเจ็บแค้น “บนเพดานห้องเมื่อกี้… มีผีผู้หญิงกำลังคลานไปมาอยู่ กานต์ไม่ได้เงยมองเลยไม่เห็น แต่ฉันรู้สึกถึงมันได้ เลยคิดว่ากลับก็ดีเหมือนกัน”

ขาเขาหมดแรงแทบจะในทันใด แต่คว้ายันกำแพงไว้ได้

วินิมัยส่งยิ้มโคตรจะน่ารักมาให้ “แต่พวกเรามาไม่เสียเที่ยวหรอก ไว้ขึ้นรถจะอธิบายให้กานต์ฟัง”

 

 “จริงหรือครับที่คุณมัยเจอข้อมูลอะไรในห้องนั้น”

ใบหน้าของกานต์ดูมีเลือดฝาด ท่าทางมีความหวัง ไม่รู้ทำไมจึงให้ความรู้สึกเอ็นดูชอบกล แต่เพราะคราวนี้ตนเป็นคนขับ ไม่ควรจะหันไปจ้องนานเกิน เธอจึงดึงหัวกลับไปมองถนน

“กานต์ได้มองหน้าส่วนที่ถูกคลุมแบบชัดๆ ครบทุกคนแล้วใช่ไหม”

“ก็ใช่นะครับ แต่เพราะมีผ้าคลุมตาไว้ เลยเห็นแค่หน้าผากกับส่วนจมูกลงมาเอง แถมสองในสี่ก็มีเครื่องช่วยหายใจอีก มันทำไมหรือครับ”

“ผู้ชายหนึ่งในสองคน มีใครบ้างที่มีแผลบริเวณแก้ม”

กานต์ได้ยินคำถามแล้วทำหน้าคิด และแล้วก็ตาโต อ้าปากกว้าง

“พอนึกดูแล้วมีจริงๆ ด้วยครับ ชายที่ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจคนหนึ่ง มีแผลจางๆ ที่แก้ม ยาวเกือบถึงคาง ถ้าไม่เพ่งก็แทบไม่เห็น” กานต์พูดระรัว ด้วยความเป็นคนหัวไว คงรู้แล้วว่าเป็นข้อมูลสำคัญ

“ทั้งที่ผมจ้องอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ดันคิดไม่ถึง แล้วคุณมัยทราบได้ไงว่ามีแผล ทั้งที่ไม่ได้เดินไปจ้อง”

“ก็เดาเอาน่ะ คิดแล้วว่าน่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน”

ทั้งสองเข้าใจในทันที แผลเป็นบนแก้มของชายบนเตียงนั้น ตรงกับแผลของวิคเตอร์ คอนเนอร์ เด็กที่ถูกธุพาณรับอุปถัมป์พร้อมกับธามทศและดิวาห์

พรีม วิคเตอร์ เดช โมนา ทั้งสี่คนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องสยองที่กำลังพบอยู่แน่นอน

“ถึงจะจางลงมากและเปลี่ยนสีไป แต่ตำแหน่งเดียวกันเป๊ะเลยครับ ผมมันแย่จริงๆ ที่คิดไม่ออกในทันที”

“เจอเรื่องขนาดนี้ ถ้าสติยังดีอยู่ก็แปลกแล้ว”

“เรื่องแผลน่าจะใช้ในการยืนยันใช่ไหมครับ คุณมัยคงมีจุดอื่นที่ทำให้สงสัยอีก”

เธอยิ้มแหย “อันที่จริงก็มีพวกความคิดพึลึกพิลั่น เน้นใช้เซนส์เอาเท่านั้นแหละ เช่นจำนวนคนไง”

กานต์ร้องว่าห่ะ ก่อนจะเริ่มคิดตาม

“สี่คน รวมกับดิวาห์และธามทศ ก็เท่ากับจำนวนเด็กในโครงการล็อตสุดท้ายพอดี”

“ใช่แล้ว อาจฟังดูไร้สาระ แต่พอมีเรื่องแผลเป็นแล้วก็คิดไปทางอื่นไม่ออก”

มีเสียงอืมในลำคอของกานต์ “แล้วทำไมพวกเขาถึงนอนป่วยอยู่อย่างนั้นล่ะ หรือว่านั่นคือสาเหตุที่ธามทศต้องมาเผชิญกับกฎหลอนพวกนั้น”

“ก็คงคิดไปทางอื่นไม่ได้แล้ว”

“ก็นั่นสิครับ อ๊ะ”

เธอเกือบชะงักเพราะเสียงร้องของกานต์ โชคดีที่ช่วงก่อนขึ้นทางด่วนนั้นเกิดจราจรติดขัดพอดี ดูท่าจะมีรถยนต์ที่เลี้ยวเข้าช่องตัดเงินอัตโนมัติ แต่เครื่องตัดเงินกลับมีปัญหา หรือไม่ก็ตัวคนขับเองที่ลืมเติมเงิน

“เกิดอะไรขึ้น คิดอะไรออกหรือกานต์”

“จำนวนครับ”

เธอทวนคำ จำนวนงั้นหรือ

“จำนวนคนที่ไม่ได้เสียบเครื่องช่วยหายใจคือ ‘สองคน’ เท่ากับกฎที่ธามทศเอาชีวิตรอดออกมาได้ครับ”

“เดี๋ยวสิ ธามทศผ่านกฎมาสามอย่างแล้วไม่ใช่หรือ”

“ไม่หรอกครับ” เขาขัดด้วยเสียงอ่อนโยน ราวกับไม่ต้องการให้เสียหน้า “กฎเรื่องห้องแชตนั่น ธามทศไม่ได้รู้ข้อมูลทั้งหมด ผิดกับกฎอีกสองข้อที่สามารถผ่านมาได้ โดยไม่ต้องขอข้อมูลจากทางเฮลป์เปอร์เลย”

รถยังไม่เคลื่อน แต่ใจของวินิมัยเต้นแรง “เท่ากับว่ากฎที่เกี่ยวข้องมีแค่สอง ส่วนเรื่องเว็บไซต์ห้องแชตนั่น เขาทำไปเพื่อเป้าหมายอื่น”

กานต์เริ่มอธิบายเรื่องมีดคัตเตอร์ให้ฟังคร่าวๆ วินิมัยเห็นด้วย “เขารู้ตัวว่าไม่น่าจะรอดจากกฎต่อไปไหว จึงต้องการหาอาวุธสินะ”

“ใช่แล้วครับ แต่คงได้มาแค่คัตเตอร์เท่านั้น”

“แล้วพอผ่านกฎสองข้อมาได้ เพื่อนร่วมโครงการสองคนก็ฟื้นขึ้นมาสินะ เห็นได้จากที่ไม่ต้องใช้เครื่องหายใจ ไม่สิ…” วินิมัยไม่พูดต่อ จะเรียกว่าฟื้นคงไม่ได้หรอก เพราะยังนอนไม่ได้สติเลย

“ถึงจะไม่ได้สติ แต่หายใจได้เองแบบนี้ก็อาจจะนับว่าอาการดีขึ้นได้ครับ”

ยังไม่ทันได้ถกกันต่อ สมาร์ตโฟนของวินิมัยก็ดังขึ้นมา แต่เพราะเธอติดหูฟังไร้สายที่หูไว้ เมื่อกดรับที่ตัวหูฟัง จึงเข้าสู่การสนทนาได้ทันที

และปลายสายนั้นคือกุลญา รุ่นน้องที่บอกข้อมูลห้องแชตต้องสาปให้ธามทศ

เสียงของรุ่นน้องนั้นฟังร้อนรน แต่พอทราบเนื้อหาก็เข้าใจว่าทำไมจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น

“ธามทศออกไปจากห้องพยาบาลแล้วค่ะ ฉันให้พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหยุดไว้ แต่ทุกคนบอกว่า ‘ท่านประธานเคยแจ้งให้ปล่อยไป’ อีกอย่าง…ดูเหมือนพยาบาลที่ชื่อ ‘กมล’ ซึ่งเป็นคนทำหน้าที่ดูแลเขาจะได้รับบาดเจ็บด้วย แต่ไม่ถึงชีวิต ทีแรกทางเราคิดว่าธามทศเป็นคนทำ แต่กมลยืนยันว่าเป็นอะไรสักอย่างที่คล้ายผีผู้หญิงที่มีเลือดท่วมไปทั้งตัวค่ะ ตัวธามทศเองก็บอกกับกุลญาว่าเขารู้จักผีตนนี้ดี’

นั่นคือสิ่งที่วินิมัยได้ยินจากกุลญา ส่วนประโยคถัดไปนั้นไม่เข้าหูแล้ว ส่วนกานต์ที่ไม่ได้รู้เรื่องได้แต่ถามว่าใครติดต่อมาหรือครับ

วินิมัยหัวหมุนไปหมด

ธามทศก็เห็นผีสองตัวนั้นด้วยงั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อไร สมัยที่คบกับเขาเห็นหรือเปล่า…และจะรีบไปยังกฎถัดไปเพื่ออะไร ไม่มีเหตุจำเป็นต้องรีบขนาดนั้น แสดงว่า…

“แค่นี้ก่อนนะกุลญา” วินิมัยกล่าว เบี่ยงรถออกมาเส้นทางรองด้านซ้าย มันเป็นทางวกกลับสำหรับคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ทางพิเศษแต่กลับเลี้ยวพลาด รวมถึงพวกรถบรรทุกส่งของต่างๆ

กานต์ได้แต่ถามไม่หยุด แต่วินิมัยไม่ตอบ

ใช่แล้ว วันที่ธามทศจะไปหาเรื่องกฎที่สามได้ คือตั้งแต่วันที่โรงเรียนกวดวิชาเปิดให้บริการอีกครั้ง แม้จะเป็นวันพรุ่งนี้แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบเลย สู้พักให้แผลหายก่อนก็ยังได้ นั่นแสดงว่ามีเหตุผลเดียว

เมื่อออกสู่ถนนใหญ่ วินิมัยจอดรถที่ข้างทาง โชคดีที่เป็นเส้นเข้าเมืองจึงไม่ค่อยติดมากนัก ไม่อย่างนั้นคงถูกบีบแตรไล่ จากนั้นจึงเริ่มค้นหาข้อมูลในสมาร์ตโฟน พยายามเอียงไม่ให้กานต์เห็น

จริงด้วย มันมีแจ้งว่าจะทำการรื้อปรับปรุงพื้นที่ส่วนลิฟต์ฝั่งอาคารเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นการด่วน โดยมีกำหนดการรื้อถอนคืออีกไม่ถึงสามวัน!

นั่นแสดงว่าธามทศต้องไปที่ ‘อาคารเรียนด้วยรู้ตนเอง’ โดยเร็วที่สุด หากถูกทุบไป เขาจะไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับกฎนี้ได้อีกตลอดกาล

กานต์ที่นั่งข้างๆ ดูเหมือนจะเริ่มหงุดหงิด “มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณมัย ช่วยบอกผมทีเถอะ”

ไม่ได้ จะบอกกานต์เรื่องนี้ไม่ได้ มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่ควรไป

บอกไม่ได้ว่ากฎต่อไปที่ธามทศจะไปยุ่ง น่าจะเป็น ‘กฎการใช้ลิฟต์ประตูสนิม ซึ่งเป็นสถานที่ที่พรากชีวิตพี่ชายของกานต์ไป’

 



Don`t copy text!