ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 26 : กฎการลองดี

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 26 : กฎการลองดี

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ในหัวของวินิมัยป่วนไปหมด ทั้งเรื่องของธามทศ กฎสยอง ธุพาณ รวมไปถึงงานประจำในฝ่ายบัญชีด้วย การหายตัวไปของพินธาสร้างความวุ่นวายมากในองค์กร ภาณะที่เป็นญาติฝั่งสามีเก่าของพินธาและเหล่ากรรมการนั้นแทบไม่เคยทำงานจริง ทำให้ทุกอย่างยิ่งยากขึ้นไปอีก

ทางกานต์เองก็ส่งข่าวมาว่าได้แจ้งตำรวจไปแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ไม่กล้าแจ้งเรื่องที่พินธาน่าจะถูกจับอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ในจังหวัด R หรอก

จากคราวก่อน เธอและกานต์ยังคงสรุปไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี เพราะหลังจากธามทศจบภารกิจทั้งหมดแล้ว ธุพาณอาจจะตามมารังควานเฮลป์เปอร์เมื่อไรก็ได้ เผลอๆ จะโดนเก็บทั้งองค์กร คนในนี้แม่งก็พึ่งพาไม่ได้สักคน

ตัวกานต์นั้นสงสัยว่าธามทศจะปล่อยให้มันเถลิงอำนาจบาตรใหญ่ต่อไปงั้นหรือ หรือเขามีแผนอะไรอยู่แล้ว…ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน เหมือนจะตายห่าเมื่อไรก็ได้ การจะหนีทุกอย่างไปต่างประเทศก็ใช่ว่าจะรอด

แต่กระนั้นเธอก็ยังแอบค้นข้อมูลของคอนน์ รีเทลลิ่ง ในยามเลิกงาน เผื่อจะเจออะไรที่ใช้รับมือกับมันได้ กานต์เองก็เห็นด้วย ทั้งคู่คิดตรงกันคือไม่ควรจะอยู่นิ่งๆ รอวันตาย

และข้อมูลทั่วไปนั้นก็หาได้ไม่ยากนัก

 

จากงบการเงินย้อนหลังที่ได้มา ยอดขายของบริษัทลดลงมากตั้งแต่ธุพาณโคม่า แต่ในช่วงหกปีหลังมานี้ มีการเพิ่มทุนในแทบทุกรอบบัญชี ตัวบริษัทจึงอยู่รอดมาได้

แต่ดิวาห์ที่เป็นกรรมการ นำเงินจำนวนมากมาจากไหนกัน ภายในหมายเหตุประกอบงบของแต่ละปีก็ไม่มีกล่าวถึงรายละเอียดของเรื่องนี้

“ไม่ไหว ไม่รู้จะหาคำตอบยังไง” เธอรำพึงกับตนเองในความเงียบสงัดของห้องทำงาน ทุกคนกลับไปหมดแล้ว

ครู่หนึ่งกานต์ก็ติดต่อเข้ามาทางสมาร์ตโฟน เธอรีบรับสายและเปิดสปีกเกอร์

“สวัสดีค่ะ คุณวินิมัยใช่ไหมคะ”

ที่ทักทายมาก่อนนั้นเป็นเสียงของผู้หญิงที่ไม่คุ้นหู แต่รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร “สวัสดีค่ะ คุณคือคุณริลนาใช่ไหม”

ทางนั้นตอบว่าใช่ และเรื่องที่วินิมัยขอให้กานต์ช่วยหาคนมาสืบ ดูเหมือนเขาจะมอบหมายให้ริลนาดูแลแทน ดูท่าว่าเรื่องทั้งหมดจะทำร้ายกานต์หนักเกินกว่าจะรับไหวแล้ว

“กานต์เขาไม่อยากคุยอะไรกับใครตอนนี้ค่ะ เลยให้มาพักที่บ้านฉัน และฝากให้คุยธุระกับคุณมัยแทน”

นั่นเป็นงานที่อันตราย ตัวริลนาเองคงทราบรายละเอียดจากกานต์แล้ว แต่ก็ยังยินดีช่วย วินิมัยซาบซึ้งจึงตอบไปว่า “ยินดีค่ะ”

เมื่อสอบถามความเป็นไปและสุขภาพของกานต์ก็ได้รับคำตอบว่ายังโอเคอยู่ แต่ไม่ทราบว่าทำไมในใจเธอถึงปวดร้าวนัก เริ่มแอบกลัวว่านายกานต์จะไม่อยากเสวนากับเธออีก

หากเธอไม่ได้รักธามทศ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากฝากชีวิตไว้ที่กานต์…แต่เรื่องนั้นคงต้องช่างมันก่อน

ทั้งสองเริ่มคุยธุระกัน และทางริลนาเป็นฝ่ายเริ่ม “ฉันติดต่อผู้สอบบัญชีของบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง ดูแล้ว แต่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับการเพิ่มทุนมากไปกว่าที่เผยแพร่ในงบการเงินเลย เป็นธรรมดาที่ผู้สอบบัญชีจะรักษาความลับของลูกค้าค่ะ”

“งั้นหรือคะ แย่จัง” ไม่แปลกหรอก อาชีพนี้ขึ้นชื่อเรื่องจรรยาบรรณอยู่แล้ว คงต้องหาทางอื่น

“ฉันเลยคิดหาทางอื่น” ริลนาราวกับอ่านใจออก และส่งภาพมาทางสมาร์ตโฟน

ภาพนั้นค่อนข้างมืดและไม่คมชัด แต่ยังพอดูออกว่าเป็นใคร

ดิวาห์ในชุดสูทหกกระดุมผ้าแกเบอร์ดีนที่เธอเคยเห็น กำลังเดินคู่กับสาวงามผมแดงผิวสีแทนที่อยู่ในชุดสูททรงเดียวกัน สถานที่นั้นน่าจะเป็นอาคารประชุมหรือโรงแรมหรูที่ไหนสักแห่ง

แม้จะดูดีปานนางแบบสักเท่าไร แต่ก็ไม่มีท่าทีเชิงชู้สาว ดูทรงแล้วเหมือนเดินคุยงานกันมากกว่า โดยทั้งสองคนมีแฟ้มงานถืออยู่ในมือด้วย

เสียงของริลนาดังจากสปีกเกอร์ “เป็นภาพที่มาจากเว็บไซต์ไฮแฟชันของต่างประเทศค่ะ ดูเหมือนว่าชายที่ชื่อดิวาห์จะถูกช่างภาพถ่ายไว้ในโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นภาพหายากพอสมควรเพราะเขาไม่ค่อยปรากฏตัวออกสื่อ มีแต่จะให้ตัวแทนหรือเลขาจัดการเสียมากกว่า แต่ภาพนี้ก็ไม่ได้โด่งดังอะไรเท่าไรนัก

ขอโทษที่หาได้เท่านี้ แต่ถ้าถึงขั้นดิวาห์ คอนเนอร์ไปคุยด้วยตนเอง น่าจะเป็นโครงการใหญ่อยู่นะคะ”

น้ำเสียงเจือความรู้สึกผิดของริลนาทำให้วินิมัยต้องรีบกล่าวขอบคุณ  “ไม่เลยค่ะ แค่นี้ก็ได้เบาะแสมากพอแล้ว และฉันไม่ได้พูดปลอบใจด้วย”

“เอ๋”

จะพูดสิ่งที่คิดไว้ออกไปดีไหมนะ แต่ว่าภาพนี้ทำให้วินิมัยมองเห็นทางจริงๆ “คุณริลนาเคยใส่เสื้อผ้าของแบรนด์นี้ไหมคะ”

มีเสียงลังเลออกมา ดูท่าคงคิดไม่ถึงว่าจะถูกถามเช่นนี้ “หมายถึงแบรนด์ คอนน์ รูล หรือคะ จะว่าไปก็มีในตู้อยู่สองสามตัว ส่วนใหญ่แล้วจะซื้อให้พี่เกมใส่”

กูพูดทำร้ายจิตใจเธอแล้วสินะ วินิมัยรู้สึกผิดที่ถามออกไปจึงรีบกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ พูดแล้วก็คิดถึงความหลังด้วย พี่เกมชอบใส่สูทของแบรนด์นี้…เอ๊ะ”

นั่นแหละ โชคดีที่ริลนาเข้าใจได้เร็ว

“เสื้อสูทที่ดิวาห์ใส่ในรูป”

“ใช่ค่ะ มันไม่ใช่ทรงทั่วไปของแบรนด์นี้ อันที่จริงในหลายปีที่ผ่านมา แบรนด์คอนน์ แอนด์ รูล ไม่เคยทำสูททรงนี้ออกมาด้วยซ้ำ และที่สำคัญ คนอย่างดิวาห์คงไม่ยอมใส่สูทที่บริษัทตนเองไม่ได้จำหน่ายหรอก”

“อาจจะเป็นแบบสั่งตัดก็ได้นะคะ ไม่สิ พอพูดอย่างนี้แล้วก็รู้สึกคุ้นตาสูทหกกระดุมที่มีสีนี้เหมือนกัน…”

หากไม่เห็นภาพที่ริลนาส่งมาคงนึกไม่ออก “แบรนด์ ไนน์ อดอร์ มีคอลเลกชันล่าสุดเป็นสูทผ้าแกเบอร์ดีนหกกระดุมค่ะ” วินิมัยพูดลิ้นพันกัน รีบหาภาพในอินเทอร์เน็ตแล้วส่งไปให้ริลนาดู

หน้าจอขึ้นว่าอ่านแล้ว ริลนาส่งเสียงหายใจหนักๆ จากสปีกเกอร์ “ทีแรกก็คิดว่าสูทแบบนี้แบรนด์ดังๆ น่าจะทำออกมาชนกัน แต่พอดูรูปแบบของกระดุมแล้ว…”

กระดุมทั้งหกที่ว่า ทำออกมาเป็นเพชรสีม่วง ซึ่งในฤดูกาลนี้ก็มีแบรนด์เดียวที่ทำออกมา

“ทั้งสองคนใส่สูทของแบรนด์ ไนน์ อดอร์”

“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ท่าทางจะเป็นพวกไฮโซ แต่ถ้าเป็นพวกคนดัง ก็น่าจะมีติดแท็กชื่อใต้ภาพสิ…”

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด เธอไม่ใช่คนที่จะออกสื่อบ่อยๆ แต่มีอำนาจในการตัดสินใจสูง ที่ดิวาห์ใส่สูทนี้ไปก็อาจจะต้องการเอาใจหรือแสดงความนอบน้อมละมั้ง ท่าทีของหล่อนก็ดูภูมิใจในเครื่องแต่งกายของตนมาก และไม่ใช่ในเชิงที่ว่า ‘ฉันใส่ตัวนี้แล้วสวย’ ด้วย”

วินิมัยกล่าวจบแล้วเริ่มค้นหารายชื่อผู้บริหารระดับสูงของแบรนด์ ไนน์ อดอร์

และก็โป๊ะเช้ะ หน้าของสาวผมแดงที่เคยเห็นในรูปปรากฏขึ้นตรงตำแหน่งกรรมการผู้บริหารฝ่ายการเงินของเครือไนน์ อดอร์

‘อาเนีย ฮัมมิง’ คือชื่อของเธอ

ริลนาที่ยังไม่ทราบถึงชื่อของสาวผมแดงได้ส่งข้อความเข้ามา เปิดดูเป็นลิงก์ข่าว เนื้อหาด้านในสรุปได้ว่ามีข่าวลือเรื่องผู้บริหารระดับสูงของเครือไนน์ อดอร์ ถูกโยงว่ามีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตยาอันตรายและธุรกิจผิดกฎหมายหลายด้าน และในข่าวมีสองสามตัวอย่างที่เธอสนใจ

เครือข่ายออนไลน์ใต้ดินที่เผยแพร่สื่ออันตรายการจำหน่ายอุปกรณ์การสร้างกล้องโดรนที่ละเมิดความปลอดภัยขึ้นพื้นฐาน

ข้อมูลนี้โพสต์เมื่อหกเดือนก่อน แค่นี้ก็พอจะคาดเดาเรื่องได้แล้ว…

แต่ในขณะที่กำลังตื่นเต้น หางตาก็สัมผัสได้ถึงไอสยองที่คุ้นเคย

ที่พื้นห้องทำงาน มีร่างของหญิงเปลือยเลือดท่วมกำลังคลานเข้ามาราวกับแมงมุม เมื่อถึงระยะก็กระโจนเข้าใส่

วินิมัยรีบหยิบของในกระเป๋าสะพายที่วางบนเก้าอี้ข้างๆ แต่ไม่ทันการ เธอถูกมันตะครุบลงไปกระแทกกับพื้น ก่อนที่ผีร่างท่วมเลือดจะฝังเขี้ยวใส่ที่ไหปลาร้า

ฟันแหลมคมล่างของปากบนเรียกเลือดไหลนองออกมา ส่วนด้านล่างเสียดถูไปกับกระดูกและเส้นเอ็น วินิมัยร้องลั่น แต่พยายามคุมสติแล้วผลักมันออก สายตาเหลือบไปเห็นสิ่งที่ต้องการนั้นตกอยู่บนพื้นแล้ว เมื่อครู่คงจะหล่นจากกระเป๋ามาพร้อมกับเธอ

อดทนกับความเจ็บปวดสาหัส เอื้อมมือไปหยิบมีดคัตเตอร์ที่ธามทศเพิ่งนำมาฝากเมื่อเช้า ผีชั่วคงมองเห็นมีดนั่นเต็มๆ แผลที่หัวมันคงเตือนสติว่าอันตราย จึงขวัญกระเจิงและยกตัวขึ้นสูงหมายจะหลบหนี

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอแทงมีดคัตเตอร์เสียบเข้าไปที่ลำคอของมันทันที

แทงไม่สุดแต่ผีร้ายก็กรีดร้องลั่น มันเบี่ยงคอหลุดจากคมมีดแล้วหงายหลังลงพื้น ดิ้นไปมาก่อนจะจางหายไป

มีดใช้ได้ผลจริงๆ วินิมัยใจชื้นขึ้น เมื่อเช้าธามทศมาหาเธอในสภาพที่โทรมกว่าเดิม บังคับอ้อนวอนให้เก็บมีดนี้ไว้กับตัว คงทราบดีว่าอดีตคนรักจะไม่ยอมหยุด แน่ละว่าทีแรกเธอปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะรู้ดีว่าอาวุธนี้จะช่วยให้เขามีโอกาสรอดจากกฎสุดท้ายมากขึ้น แต่เพราะการขอร้องแกมบังคับ ร่ำร้องว่าพวกวินิมัยจะต้องเจอกับอันตรายเมื่อไรก็ไม่รู้ เธอจึงยอมทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

เสียงริลนาตะโกนถาม วินิมัยรีบตอบว่าไม่เป็นไรแล้วเริ่มทำปฐมพยาบาลตนเอง ถูกกัดลึกพอสมควรแต่โชคดีที่ไม่ถูกเส้นเลือดใหญ่ แถมคนทำงานในเฮลป์เปอร์เองก็ถูกฝึกให้จัดการแผลตัวเองได้อยู่แล้ว

“ทางคุณริลนาไม่เจออะไรคอยตามทำร้ายใช่ไหมคะ”

“ไม่เลยค่ะ แต่กานต์ก็เตือนให้ระวังอยู่”

ริลนาไม่ใช่คนขี้โกหก นั่นหมายความว่าสิ่งที่เธอ ธามทศ และกานต์สรุปกันเป็นความจริง

ผีทั้งสองตัวนั้นสามารถทำร้ายคนถึงตายได้ หากเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและเกี่ยวข้องกับตัวธุพาณโดยตรง แต่การที่ริลนาตามหาผู้สอบบัญชี หรือการสืบหาเรื่องเกี่ยวกับตัวดิวาห์ ไม่นับเป็นตัวกระตุ้นให้ผีทั้งสองออกมา

เช่นเดียวกับเรื่องพยาบาลชื่อกมล ซึ่งพอสืบจากห้องแชตของพินธากับภาณะซึ่งเป็นญาติคนสนิทแล้ว พอจะอนุมานได้ว่ากมลถูกหลอกให้นำอาหารที่มียาพิษมาให้ธามทศกิน เพื่อให้การเอาชนะกฎของเขาหยุดลง และในขณะที่ธามทศกำลังจะกินไปถึงจานที่มียาอยู่ ผีร้ายก็ออกมาทำร้ายกมลทันที

หยุดกมล แต่ไม่ห้ามธามทศ และไม่ได้ปัดอาหารจานนั้นทิ้งด้วย

เมื่อติดต่อไปยังไอ้ภาณะที่เป็นคนลงมือ ก็พบว่าเจ้าตัวที่วางยายังอยู่ดี แต่ที่ถูกทำร้ายคือกมลที่ไม่รู้เรื่องอะไร ‘นั่นแสดงว่าตัวกระตุ้นนั้นคือการนำยามาให้ธามทศกิน’  ซึ่งเป็นผลร้ายต่อธุพาณโดยตรง โดยไม่สนต้นเหตุหรือคนเริ่มแผนร้ายนั่นเอง

‘ทำงานเหมือนระบบอัตโนมัติที่ไม่มีความละเอียดอ่อน’ ส่วนที่ตามหลอนเธอและเหล่าเด็กๆ ในโครงการเพื่อกินความกลัวนั้น ดูท่าจะเป็นคนละงานกัน แบ่งแยกค่อนข้างชัดเจน

แต่หากธุพาณฟื้นตัวเต็มที่ การทำงานอาจจะเที่ยงตรงและละเอียดอ่อนกว่านี้ แค่มีดคัตเตอร์คงหยุดพวกมันไม่ได้แล้ว

 

ทีแรกคิดจะไปหาอาวุธจากห้องแชตต้องสาปอีกครั้ง แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะไม่คิดว่าจะรอดกลับมาได้อีก มีทางเดียวคือลุยกฎสุดท้ายไปทั้งอย่างนี้ แน่นอนว่าธามทศไม่เสียใจสักนิดที่มอบอาวุธให้วินิมัย ต่อให้ธุพาณไม่ยอมปล่อยพวกวินิมัยไป มีดคัตเตอร์เล่มนั้นก็คงปกป้องเธอได้ ผีพวกนั้นไม่น่าจะกล้าไปยุ่งอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว ส่วนตัวธุพาณนั้น เขากำลังหาวิธีจัดการอยู่

สิ่งที่ควรทำในเวลานี้ จึงเหลือเพียงเรื่องเดียว

ใช้เวลาทั้งวันในการเตรียมอุปกรณ์และยากระตุ้นต่างๆ พอแล้วเสร็จธามทศจึงลากสังขารเดินมายังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน นั่งไปที่เขตชานเมือง กว่าจะมาถึงสถานที่ปลายทางก็เกือบสามทุ่ม มันเป็นเขตที่เคยคลาคล่ำด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอย มีห้างดังสองแห่งที่บัดนี้ร้างผู้คนไปตั้งแต่เกือบยี่สิบปีก่อน ต่อมาไม่นานพวกบ้านเรือนทั้งอาคารพาณิชย์ ห้องแถว หรือหมู่บ้านก็เริ่มทยอยย้ายออกไปจะเรียกว่าเป็นเขตที่เงียบที่สุดในจังหวัดก็ไม่ผิดนัก

ขับรถมาจะสะดวกกว่ามาก แต่ก็อย่างที่แล้วมา ก่อนจะเข้าสู่การเสี่ยงตายในกฎสยอง ตัวธามทศอยากจะเดินทางไกลๆ เพื่อมองบรรยากาศรอบๆ อย่างช้าๆ ซึมซับอารมณ์ให้ผ่อนคลาย เตรียมตัวเตรียมใจจะตายได้ทุกเมื่อ

เขาเดินผ่านสายลมเหม็นๆ บนทางเดินเท้าที่แตกพัง ข้างทางนักเลงสองคนนั่งดูดบุหรี่อย่างอ่อนแรง บ้านเรือนโดยรอบถ้าไม่ร้างก็ปิดสนิท เดินจากสถานีมาประมาณสิบนาทีก็ถึงเป้าหมาย มันตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของพวกเด็กๆ เท่าไรนัก หากมาโดยใช้รถยนต์ ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็น่าจะถึง

สิ่งก่อสร้างตรงหน้าคือห้างสรรพสินค้าสูงหลายชั้น สร้างยาวเกือบเท่าบล็อกถนนเลยทีเดียว ด้านหน้าแทบไม่มีการเว้นระยะจากถนนใหญ่ ดูทรงแล้วทราบเลยว่าก่อสร้างโดยไม่สนกฎหมาย แน่ละ เพราะเจ้าของกรรมสิทธิ์คือธุพาณ คอนเนอร์

ห้างนี้มีชื่อว่า ‘รูล แอนด์ รอส’ มันถูกปิดไปก่อนที่ธุพาณจะอาการโคม่าเพราะเขาเสียอีก สาเหตุนั้นไม่ได้มาจากเรื่องกฎหลอนอะไรหรอก แต่เพราะมีการฮั้วกันอย่างมหาศาลต่างหาก และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่โมนาเลือกจะเขียนกฎแบบนี้ขึ้นมา

โมนาชอบเดินห้าง จำได้ว่าพินธากับธุพาณยังเคยพาพวกเขาไปเที่ยวห้างอื่นๆ หลายครั้ง แม้จะไม่ได้ซื้ออะไรกลับไปก็เถอะ แต่โมนานั้นดูจะประทับใจถึงขั้นเก็บไปฝันด้วยซ้ำ

พอทราบว่าห้างสรรพสินค้าที่พ่อของตนเคยบริหารนั้นร้างมานานแล้ว โมนาคงอยากให้มันยังมีกิจกรรมอยู่กระมัง

คิดถึงโมนาแล้วก็ใจสั่น รักแรกของเขายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง

 

เมื่อเดินเข้าในเขตห้าง เงาของตึกทับผ่านร่างทั้งที่ไร้แสงอาทิตย์ เมื่อพาสังขารตนผ่านริมทางเดินเท้าเข้าไป ยิ่งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติแบบโคตรๆ

มันมืด…มืดกว่าด้านนอกที่อาทิตย์ตกไปนานแล้วเสียอีก พื้นที่บางส่วนของทางเดินที่เคยเป็นพืชพรรณสีเขียว บัดนี้เหลือเพียงซากไม้เน่าเปื่อยกับหนอนไชไปมา

แสงจันทร์ช่วยให้เห็นได้พอสมควร ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากถือไฟฉายหรอก ทำสองมือให้โล่งไว้จะสะดวกที่สุด กฎเกี่ยวกับห้างแห่งนี้ไม่เคยมีใครได้สัมผัสแม้แต่เหล่าเฮลป์เปอร์ก็ตาม เขามั่นใจเช่นนั้น

ประตูทางเข้าหลักของห้างนั้นสูงเหมือนประตูปราสาท ทำจากกระจกที่บัดนี้เคลือบด้วยฝุ่นหนาสีเทา เพราะไฟฟ้าในห้างคงไม่ทำงานแล้ว จึงต้องใช้นิ้วค่อยๆ สอดเข้าไประหว่างกระจกสองบาน จากนั้นจึงออกแรงเขยื้อนออกจากกัน

แต่ก็พบว่าเปิดไม่ออก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ธามทศจึงตัดสินใจจะเดินอ้อมไปทางประตูด้านข้างแทน และเมื่อหันหน้าไปทางอื่น เงาตะคุ่มก็ปรากฏที่ประตูกระจกฝั่งด้านใน แต่พอหันกลับไปมองก็ไม่พบอะไรแล้ว

ทีแรกตั้งใจว่าดีเลย การเดินอ้อมจะช่วยให้เข้าใจผังภายนอกมากขึ้น แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรนัก เพราะความมืดจากภายนอกอาคารนั้นแสนประหลาด ไม่ว่าจะดูมุมไหนก็สร้างความสับสนหลงทิศทางไปหมด ไม่แปลกที่สมัยยังเปิดให้บริการถึงโดนบ่นว่ายิ่งเดินยิ่งหลง แถมยังมีเถาวัลย์พันพื้นลามขึ้นกำแพงไปทั่ว

ร้ายกว่านั้นคือส่วนหลังของห้างใหญ่กลับถูกต้นไม้สูงงอกลามขึ้นมากลืนกิน ทั้งที่ร้างมาไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ ทำให้บางเส้นทางไม่อาจเดินผ่านไปได้ หมดหวังที่จะสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด

ดิวาห์เคยให้คนขับรถไถมาจัดการให้เตียน แต่ไม่ทันข้ามคืนทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ภาพถ่ายจากโดรนก็ไม่เห็นยันโครงสร้าง ราวกับว่าด้านในถูกความชั่วร้ายบางอย่างบดบังไว้

การจะออกคงต้องฝ่าพวกต้นไม้สินะ แต่เพราะไม่เห็นสภาพภายในจึงยังคิดหาทางไม่ได้ จะเอาพวกเลื่อยตัดไม้เข้าไปก็น่าจะเกะกะ จึงตัดสินใจว่าค่อยไปแก้ปัญหาดาบหน้าเอาทีเดียว

ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงมาถึงประตูด้านข้างฝั่งที่ยังพอเดินได้ เป็นประตูกระจกแบบผลักเข้าด้านใน ฝุ่นหนาเท่ากันกับประตูหลัก แต่ดันทีเดียวก็สามารถเข้าไปในตัวห้างได้แล้ว ก่อนจะพบว่าด้านในแม่งมืดเกินกว่าคอนแทกต์เลนส์จะช่วยได้ จึงต้องยอมหยิบไฟฉายมาเปิด

ณ จุดที่แสงไฟส่องไปถึง สิ่งที่เห็นคือร่างของเด็กหญิงไร้หัวกำลังยืนนิ่งอยู่

เขาตัวกระตุก แต่มิได้ร้องอะไรออกมา แม้เด็กคนนั้นจะให้ความรู้สึกคล้ายกับโมนาที่ไร้หัวก็ตาม ชุดกระโปรงบานลายเกล็ดปลาสีขาวที่เด็กสาวใส่ช่างคุ้นเคย

กะพริบตาหนึ่งครั้งร่างนั้นก็หายวับไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ เดินไปยังที่ที่เธอเคยยืนอยู่ก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งนอนนิ่งบนพื้น ด้านบนสุดมีลายมือคุ้นตาขีดเขียนด้วยสีแดงประดับอยู่ว่า

กฎการลองดีในห้างสรรพสินค้า รูล แอนด์ รอส

 



Don`t copy text!