ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 7 : การจู่โจมของเดวิด

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 7 : การจู่โจมของเดวิด

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

หญิงสาวผมสั้นกำลังนั่งซึมที่ร้านข้าวริมทาง ราดหน้าเย็นหมดแล้ว เธอพยายามฝืนกินช้าๆ และแอบเขกหัวตัวเองทุกครั้งที่ภาพนั้นย้อนกลับมา

กุลญาเอ๊ย แกยอมบอกข้อมูลอันตรายแบบนั้นให้คนนอกองค์กรได้ยังไง หา! ถ้าคนหล่อๆ แบบนั้นตายขึ้นมา แกจะชดเชยให้กับโลกนี้ยังไงวะ

แถมหากทางประธานพินธารู้เข้า รับรองว่าโดนไล่ออกชัวร์ แค่คิดภาพตัวเองถูกยายป้าพินธาตะคอกไล่ให้ไปตายแล้ว น้ำตาก็ซึมออกมา ไม่น่าแพ้ความหล่อเลยกู

แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา เป็นสายของนายกานต์

นายเก่งเหมือนเป็ดคนนี้จะโทร.มาทำไมดึกดื่นกันนะ เธอตัดสายทิ้ง แต่สักพักก็มีสายเรียกเข้าอีก คราวนี้เป็นของวินิมัย

เชี่ยแล้ว เชี่ย กุลญารีบรับสายรุ่นพี่สุดโหด และปลายสายก็โวยมาในทันที

“ทำไมมึงไม่รับสายกานต์! ห่ะ อยากโดนกูเตะขาหักเหมือนไอ้ตั้มฝ่ายไอทีหรือไง”

ได้ยินวินิมัยขู่เช่นนั้น เธอถึงกับกรี๊ดออกมา พร่ำร้องว่าหนูขอโทษค่ะ

“ช่างมันก่อน ฉันมีเรื่องอยากให้ฝ่ายบุคคลอย่างเธอช่วย จำได้ว่าเธอมีข้อมูลของพวกอาสาสมัครทุกคนใช่ไหม”

เธอตอบรับเสียงสั่น ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ช่วยฉันหาทีว่าตอนนี้คนชื่อรตีอยู่ที่ไหน ล่าสุดเหมือนกานต์จะจำได้ว่ายายคนนั้นทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟซึ่งเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ไม่รู้รายละเอียดมากกว่านี้เลย”

 

เดวิดที่เกิดจากอ้วกกำลังมองหาเขาที่ใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ ท่าทางโมโหขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าซีดเซียวนั้นบิดไปมาแทบจะกลายเป็นน้ำวนแล้ว ส่วนเดวิดอีกคนเดินออกไปนอกห้องพักแล้ว มีเวลาไม่มาก ต้องรีบจัดการ

ธามทศกดปุ่มโทร.ออกที่สมาร์ตโฟน เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากในห้องน้ำ การโทร.หาเครื่องตัวเองอีกเครื่องไม่นับว่าผิดกฎหรอก…

เดวิดอ้วกรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที ก่อนจะเกิดเสียงดังโครม!

ขาของมันคงเกี่ยวกับเชือกบางๆ ด้านล่างทางเข้าห้องน้ำที่เขาขึงเอาไว้เป็นกับดัก ส่งผลให้เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ ดัมเบลขนาดสิบกิโลสี่อันจึงถล่มลงมาใส่หัวของเดวิดทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่เขารีบเลื่อนเปิดช่องลับใต้เตียง แล้วพุ่งออกนอกห้องอย่างสุดตีน

แน่นอนว่าเดวิดอีกคนกำลังรอที่ทางซ้ายมือนอกประตูอยู่แล้ว และกำลังเงื้อขวานขึ้นฟ้า รอเวลาเหวี่ยงลงมาสับหัวทันทีที่เขาผ่านออกไป

เมื่อเลยเขตประตูห้อง ธามทศจึงหันซ้ายและใช้สองมือรับด้ามขวานเอาไว้อย่างฉิวเฉียด แม้จะโด๊ปมาหลายขนานกระทั่งประสาทสัมผัสเร็วขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเกือบไปเหมือนกัน

เดวิดคำรามลั่น พยายามกดแรงใส่ขวานด้วยสองมือ แต่ธามทศยันตีนเข้าใส่ลิ้นปี่ของมันดังปึก ร่างผอมบางหงายหลังลงกับพื้น จากนั้นเขารีบเผ่นไปอีกทาง อีกห้าสิบเมตรจะมีบันไดลงสู่ชั้นล่าง อยากจะฉวยขวานมันมาด้วยใจจะขาด แต่คงหนักเกินไป

ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด แม้จะอยากหนีขนาดไหนก็ตาม หากเจอมันในนั้นก็จบเห่

เจ็ดชั้น เป็นระยะที่สูงเอาเรื่อง จะกระโดดลงไปคงไม่ปลอดภัย

เขาก้าวลงบันไดที่หักมุมไปมาถึงชั้นห้า เสียงของเดวิดทั้งสองยังคงไล่ตามมา และแล้วสิ่งที่คาดไว้ก็มาถึง ไม่ว่าจะวิ่งลงบันไดวนสักกี่รอบ ก็จะมาโผล่ที่ชั้นห้าเหมือนเดิม

แม่งเอ๊ย เขารีบวิ่งเบี่ยงออกไปตามทางเดินของห้องพักบนชั้นห้าแทน

หอพักแห่งนี้มีบันไดตรงกลาง ซ้ายขวาจะเป็นห้องพักจำนวนฝั่งละสิบห้อง สุดเขตของทั้งสองฝั่งจะมีระเบียงเล็กๆ อยู่

ถ้างั้นต้องปีนผ่านระเบียงลงไปทีละชั้น

วิ่งต่อมาได้เพิ่งจะครึ่งทาง ไกลสุดตรงหน้าคือระเบียง ต้องผ่านห้องพักที่เรียงรายซ้ายขวาอีกแค่ฝั่งละห้าเท่านั้น แต่เขาก็ต้องชะงักเพราะเสียงแหลมสูง มันคือเสียงเปิดประตูที่หลอนที่สุดในชีวิต

และหนึ่งในห้าของทางซ้ายมือนั้นกำลังเปิดออก มีเดวิดที่ถือมีดคัตเตอร์คมกริบค่อยๆ เดินออกมาพร้อมรอยยิ้มที่โคตรสยอง ฟันสีดำปนเหลืองนั้นโยกไปมาเมื่อมันขบกราม

ด้านหลังไกลออกไป เดวิดอ้วกและเดวิดถือขวานค่อยๆ วิ่งเหยาะๆ เข้ามา พร้อมร้องว่า ฆ่า ฆ่า ถลกหนังมันมาปั้นเป็นก้อน

เสียงปังดังขึ้นทันที! เป็นเขาที่หยิบปืนมาส่องกบาลมันทั้งสองตัว

เมื่อคู่หูเดวิดลงไปนอนชัก ธามทศเอี้ยวหัวกลับไปทางขวา เดวิดถือคัตเตอร์ก็พุ่งเข้าใส่ราวกับปีศาจ

อย่าได้หยิบจับติดตัวมาเด็ดขาด เพราะทุกอย่างที่ติดตัวท่านกระทั่งออกมานอกที่พักอาศัย มันจะอยู่กับท่านไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะพยายามหนีจากมันเพียงใดก็ตาม

อย่าถูกอาวุธหรืออุปกรณ์ของเดวิดทำร้ายโดยเด็ดขาด เพราะแผลนั้นจะไม่มีวันหาย แม้ว่าจะออกจากที่พักไปแล้วก็ตาม มันจะแทงทะลุทุกอย่าง ฝังไปถึงกระดูกและวิญญาณ และเจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชากโดยไม่มีข้อแม้

ธามทศใช้ทุกวิชาที่เรียนมาในการหลบหลีกคมคัตเตอร์ เสื้อขาดเหวอะหวะไปหมดแต่ก็ยังไม่ได้แผล พอได้จังหวะก็เข้าประชิด จ่อปืนที่ลิ้นปี่เดวิด และยิงไปสองนัด

พักหายใจครู่หนึ่งจึงสำรวจร่างของเดวิดคัตเตอร์ที่นอนนิ่งไป

อีกประมาณสิบวินาที เขาก็เริ่มออกวิ่ง

พวกมันตายได้ เรื่องนี้เขาค่อนข้างมั่นใจ แต่วิ่งได้ไม่ถึงสามวินาที ประตูอีกสองบานด้านขวาก็เปิดออก

เป็นเดวิดที่ไม่มีหัว และเดวิดที่ถือเลื่อยไฟฟ้าอันใหญ่

 

การเคลื่อนที่ของเดวิดทั้งสองไม่ได้ต่างจากตัวเดิมๆ คือพุ่งเข้ามาเป็นเส้นตรงด้วยความเร็วเกินกว่าคนทั่วไปจะทันตั้งตัว

ธามทศฉวยข้อมือสองข้างของเดวิดที่ถือเลื่อยไฟฟ้าเอาไว้ ยกขึ้นสูงด้วยแรงทั้งหมดที่มี ใบเลื่อยถูกเสยขึ้นบนฟ้า เสียงวี้ๆ เสียดหู ยันได้แค่สองวินาทีก็หมดแรง ในขณะเดียวกับที่เดวิดไร้หัวซึ่งกำลังมีเลือดทะลักออกมาจากคอแหว่งเวอะเริ่มวิ่งเข้ามาทางสีข้างด้านซ้าย เขาจึงเบี่ยงวิถีแรงของเดวิดถือเลื่อยให้เฉียงออกไปด้านข้าง คมเลื่อยจึงเฉือนเข้าที่ส่วนอกเดวิดไร้หัวทันที

ร่างของมันขาดเกือบสองท่อน ตัดตรงบริเวณยอดอก

เดวิดถือเลื่อยตะโกนคร่ำครวญโดยไม่ทราบสาเหตุ คุกเข่าลงและร้องไห้ เลื่อยไฟฟ้ายังอยู่ในมือมัน แต่ก็หยุดการตามล่าเขาชั่วคราว

ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ในใจตอนนี้ขอแค่หนีจากกฎได้ก็พอแล้ว คิดได้เช่นนั้นจึงเผ่นไปทางระเบียง เมื่อไปถึงก็พบกระแสลมแรงเหม็นเน่าไหลวนไปทั่วพื้นที่ กลิ่นเลือดจุกอยู่ในลำคอเกือบจะล้นออกมา มองลงไปเห็นลานจอดรถที่ร้างไร้ผู้คน ต้องไปถึงนอกหอพักชั้นล่างให้ได้

คงต้องทำแล้ว…ธามทศหยิบเชือกออกจากกระเป๋าด้านหลัง มัดเงื่อนไว้ที่เสาตรงระเบียง ก่อนจะเริ่มไต่ลงจากชั้นห้า

ชั้นสี่แล้ว อยู่ในระดับความสูงที่ตกลงไปก็คงไม่ตาย

แต่เมื่อเผลอหันลงไปมองด้านล่าง ขนก็ลุกชันทันที

จากตรงนี้ลงไปด้านล่าง คาดจากสายตาก็พอจะบอกได้ว่าอยู่สูงจากพื้นดินเป็นสิบๆ ชั้นได้

ลักษณะภายนอกของอาคารก็เปลี่ยนไปด้วยงั้นหรือ เพราะอะไรล่ะ หรือเพราะทำให้เดวิดโกรธงั้นหรือ…

แต่เขายังกลั้นใจคงไต่ลงไปเรื่อยๆ ระยะทางสู่พื้นนั้นสั้นลงบ้าง ยาวขึ้นบ้าง  สลับกันไป ราวกับเดินสามก้าวถอยหลังสองก้าว แต่ไม่เป็นไร โดยรวมแล้วพบว่าปลายขายังใกล้พื้นดินขึ้นเรื่อยๆ

แต่แล้วก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นจากด้านบน เขารีบเงยหน้าขึ้นมอง

เดวิดอีกคนที่กำลังถือกรรไกรตัดเหล็ก กำลังร้องไห้ออกมาเป็นเลือดและหนอง ส่งเสียงว่า มาเป็นเพื่อนกันต่อเถิด…ธามทศ มาเป็นเพื่อนกัน…

และมันก็ตัดเชือกของเขาดังฉับ

ร่างของชายหนุ่มร่วงลงมาทันที แต่ยังใช้แขนขวารั้งเสาที่อยู่ติดบนฐานของระเบียงเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด เสียงดังกร๊อบลั่นหู ไหล่ของเขาหักแน่ เผลอๆ อาจลามไปถึงไหปลาร้า แต่เพราะยากระตุ้นจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าปกติ

แต่ก็ยังเจ็บพอให้กรีดร้องโหยหวนอยู่ดี

ร่างธามทศกระตุกดังกึกๆ เจ็บไปถึงปลายขา น้ำตาหลั่งออกมาเพื่อลดความเจ็บปวด มือเกือบจะปล่อยแล้วแต่ตั้งสติได้ทัน จึงรีบใช้แขนซ้ายคว้าเสาระเบียงไว้เพื่อช่วยผ่อนแรงแขนขวา

ก้มลงไปมองด้านล่าง สูงจากพื้นประมาณห้าชั้น

หากลงไปในสภาพบาดเจ็บแบบนี้ ยังไงก็ไม่รอด ต้องลงไปอีกสักสองชั้น

รู้สึกถึงเงาที่ด้านบน เงยหน้าไปมองก็พบขาของใครสักคน เขาใจหายวาบ แต่เมื่อดูดีๆ ก็พบว่าไม่ใช่เดวิด

เจ้าของขานั้นเป็นชายกลางคน มีผมบางและตัวสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น ใบหน้าดูอิดโรยและมืดมน หนวดดกดำนั้นดูสกปรก

“ให้ผมช่วยคุณ” ชายคนนั้นกล่าวแล้วเอี้ยวตัวข้ามระเบียง ส่งมือมาให้จับ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าห้ามสัมผัสใครก็ตามที่ไม่ใช่เดวิด แต่เขาไม่ไหวแล้ว จึงเผลอยื่นมือขวาออกไป

และชายคนนั้นก็ฉวยมือกลับ ส่งมืออีกข้างที่ถือเข็มฉีดยาออกมาแทน และปักที่หลังมือของธามทศเต็มๆ

เขาร้องออกมาเสียงดัง แต่ตัวกลับเกร็งขยับไม่ได้ ได้เพียงมองชายคนนั้นกดของเหลวสีเขียวเข้มเข้ามาในเส้นเลือดเรื่อยๆ ฟองอากาศในหลอดฉีดเป็นฟองฟ่อด

“พ่อขอโทษนะเดวิด พ่อขอโทษนะลูก”

“รับยาเสียนะ จะได้ดีขึ้น”

รู้สึกแน่นอกเมื่อได้ยินคำว่า ‘พ่อขอโทษ’ ทั่วร่างร้อนเสมือนถูกไฟเผา รู้สึกราวกับผ่านไปเป็นชั่วโมงกระทั่งมันถูกฉีดเข้าตัวหมดเกลี้ยง

มือขวาตกลงมาที่ข้างลำตัวในทันที ชาไปทั่วแต่มันยังพอขยับได้อยู่

“ฉีดยาอีกสักครั้งนะลูก แล้วจะดีขึ้น ส่งมือมาสิครับ คนเก่ง”

เสียงปังนัดสุดท้ายดังขึ้น หัวของพ่อเดวิดเป็นรูทะลุถึงด้านหลัง

กระสุนหมดแล้ว มือขวาเผลอปล่อยปืนหล่นลงไปด้านล่าง ตาพร่าเลือนแยกแยะระยะตื้นลึกไม่ออก หูได้ยินแต่เสียงหวีดร้อง หายใจไม่ได้เพราะเลือดท่วมคอ

แต่เขาไม่มีทางเลือก จึงกลั้นใจไต่ระเบียงของหอพักลงมาเรื่อยๆ ด้วยแขนและขาของตัวเอง ไต่ลงมาช้าๆ ไต่ลงมา…เรื่อยๆ

 

กานต์ขับรถพาวินิมัยมายังร้านกาแฟ SN เวลาขณะนั้นคือตีหนึ่ง

ใช้เวลาขับรถนานเอาเรื่อง กว่าจะหาร้านกาแฟสาขานี้พบ ดูจากภายนอกก็รู้ดีว่าเป็นสาขาใหญ่ จัดแต่งสีสันโทนสว่างสวยงามและมีที่นั่งค่อนข้างเยอะ แต่มีลูกค้าเพียงสองกลุ่มเท่านั้น คงเพราะดึกมากแล้ว และไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งสถานศึกษา

เมื่อเข้ามาในร้านอย่างร้อนรน วินิมัยก็มองซ้ายขวาไปมา จากนั้นตะโกนพร้อมชี้นิ้วไปยังโต๊ะฝั่งขวามือของร้าน บริเวณนั้นไม่มีลูกค้าอยู่หรอก แต่มีพนักงานหญิงคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดพื้นอยู่ หน้าตาสวยงามน่าหลงใหล

รตี…อดีตอาสาสมัครของเฮลป์เปอร์นั่นเอง…เธอคือผู้รอดชีวิตจากกฎการเดินชมสินค้าของอาคาร ALM+ เฟอร์นิเจอร์ ในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอดมาพร้อมกับสภาพจิตใจที่เกือบแตกกระเจิง

ทั้งสองเดินเข้าไปหวังจะพูดคุย แต่พอรตีเห็นหน้าเขา และเห็นตราของเฮลป์เปอร์ที่ปักอยู่ตรงอกซ้ายของเสื้อเชิ้ตขาว เธอก็กรีดร้อง

“ไม่เอาแล้วค่ะ ยอมแล้ว ปล่อยหนูไปนะ ปล่อยหนูไป”

รตีร้องพร้อมขดตัวลงที่มุมร้าน ตัวสั่นไม่ยอมหยุด

กานต์กัดริมฝีปากเบาๆ แม้จะเห็นใจมาก แต่นั่นก็เป็นท่าทีทั่วไปที่อาสาสมัครจะกระทำหลังจากรอดชีวิตมาอยู่แล้ว

ก่อนจะลงพื้นที่เพื่อท้าทายกฎต่างๆ ทางเฮลป์เปอร์จะเตือนอย่างเป็นทางการนับสิบรอบ รวมถึงเปิดวิดีโอที่บันทึกสภาพของผู้รอดชีวิตให้ดูหลายครั้ง เพื่อเตือนว่าพวกเขาอาจมีสภาพเช่นนี้ได้ และหากใครเกิดเปลี่ยนใจ ทางเฮลป์เปอร์ก็จะไม่บังคับและยินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้

แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีใครเชื่อคำเตือนหรอก รตีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ใช้เวลาสักพักกว่าที่พวกเขาจะปลอบรตีให้สงบได้

เธอนั่งนิ่งที่โต๊ะลูกค้าตัวหนึ่งตรงกลางร้านซึ่งแสงจากหลอดไฟสว่างที่สุด ในมือถือแก้วกาแฟดำร้อนๆ ส่วนกานต์และวินิมัยนั่งฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว เขาจึงเริ่มถามรายละเอียด

“ฉันจำได้ดีว่าเขามาขอซื้อคอนแท็กต์เลนส์รุ่นที่แพงที่สุด แถมยังซื้อหลายชุด ยังแอบดีใจเลยที่จะได้ถ่ายรูปคู่กับหนุ่มหล่อๆ แบบนี้”

รตีเล่าไปพลาง จิบกาแฟไปพลาง ส่วนวินิมัยเกร็งไปทั้งตัว

“แต่เขาก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ แถมยังปฏิเสธจะถ่ายรูปอีก ถึงขั้นผู้จัดการต้องมาขอร้องให้ถ่าย แล้วก็ตามที่เห็นค่ะ รูปออกมาน่าอึดอัดโคตรๆ ”

วินิมัยเริ่มถามต่อ “แล้วพอจะมีประวัติของเขาเก็บไว้ไหมคะ พวกที่อยู่ที่ติดต่อได้”

รตีส่ายหัว “นั่นต้องถามฝ่ายข้อมูล ทางฉันไม่ได้มีเก็บไว้หรอกค่ะ”

ก่อนที่จะสิ้นหวัง รตีก็ร้องอ๊ะออกมา

“แต่เขาน่าจะอยู่ใกล้ๆ ร้านคอนแท็กต์เลนส์ค่ะ”

“เขาบอกที่อยู่กับคุณรตีงั้นหรือ” เธอยินดีที่ได้รู้ หันไปทางกานต์ก็พบว่าเขากำลังเปิดแผนที่ของร้านค้าดังกล่าวในสมาร์ตโฟนอยู่ ถ้าจำไม่ผิด ร้านนั้นตั้งอยู่ที่อาคารสูงสิบชั้นใจกลางเขต U ไม่ไกลจากร้านกาแฟนี้

ในขณะที่รตีส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่เชิงว่าบอกหรอกค่ะ แค่บ่นว่าจะรีบเดินกลับ เพราะฝนจะมาแล้ว”

เธอคิดถึงรูปถ่ายนั้น นั่นสินะ แสงมันดูแปลกๆ ดูท่าว่าฝนกำลังจะตกจริงๆ ด้วย

สาวงามยิ้มแล้วแลบลิ้น “ก็เลยแอบชวนเขาขึ้นรถ บอกว่าจะไปส่ง…แต่เขากลับบอกว่ามีแฟนแล้ว และห้องของเขาก็อยู่ใกล้ๆ ตึกนี้เอง”

“ธามทศไม่ได้อยู่บ้านแน่นอน ใช่แล้ว ถ้าเป็นบ้านคงบอกไปว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ ร้าน มิใช่ห้องอยู่ใกล้ๆ ร้าน” กานต์ทักขึ้นมาอย่างมั่นใจ

ส่วนเธอนั้นปวดร้าวฉิบหองที่ได้ยินว่าธามมีแฟนแล้ว แต่ยังกลั้นใจถามต่อ “เป็นบ้านพักหรือคอนโดชื่ออะไรคะ”

“ขอโทษจริงๆ เรื่องนั้นไม่ทราบเลยค่ะ”

วินิมัยเริ่มลนลาน อ้าปากจะโวยวาย แต่กานต์กลับแตะที่หัวไหล่เบาๆ เธอจึงเริ่มสงบลง

“ผมลองค้นดูแล้ว สองเท่าของระยะเดินเท้ารอบร้านคอนแท็กต์เลนส์ มีหอพักกับคอนโดรวมกันเพียงสามแห่งเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งอาคารพาณิชย์กับลานจอดรถ แต่ยังไม่ได้ดูละเอียดยันพวกตึกแถวที่ให้เช่าแบบเกสต์เฮาส์นะ”

เธอพยักหน้าให้กานต์ ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี จากนั้นทั้งสองจึงลุกขึ้น กล่าวขอบคุณรตีและเดินจากมา

ภายในรถเอสยูวี ทั้งกานต์และวินิมัยต่างถกกันว่าจะแยกกันไปยังหอพักแต่ละแห่งดีไหม แต่กว่าเขาจะขับไปส่งเธอที่ออฟฟิศเพื่อไปเอารถส่วนตัวก็คงสายเกินไปแล้ว จึงตัดสินใจไปด้วยกัน

ที่แรกที่ขับไปถึงคือหอพักหน้าตาธรรมดาที่มีห้าชั้น สภาพไม่เก่ามาก ภายนอกทาด้วยสีน้ำตาล

เมื่อถอยรถเข้าลานจอดด้านซ้าย เขารีบวิ่งนำวินิมัยไปที่ฝ่ายต้อนรับลูกค้าที่ชั้นล่าง ก่อนจะพบว่าไม่มีใครเฝ้าอยู่เลย ยามหรือพนักงานคงหนีไปนอนแล้ว

ทำไงดีล่ะ วินิมัยที่เดินมาทีหลังเอ่ยด้วยเสียงกังวล เขาปวดใจที่เห็นเธอเป็นทุกข์ แต่ไม่ทันไรสาวงามก็ทำหน้าเหมือนพอจะนึกอะไรออก

“หอพักนี้ ชื่อ U – มนต์มิตรภาพ สินะ”

“ก็ใช่นะครับ แต่ว่ามันทำไมหรือ”

วินิมัยรีบดึงแขนเขาเดินกลับไปที่ลานจอดรถทันที พร้อมทั้งอธิบายระหว่างทาง

“ธามเกลียดอะไรที่เกี่ยวกับมิตรภาพหรือเพื่อนๆ”

หา ไอ้รูปหล่อคนนั้นมันยังไงนะ

เมื่อขึ้นรถแล้วสตาร์ต วินิมัยจึงอธิบายต่อ “เขาชอบอยู่ลำพัง ไม่มีเพื่อนฝูง และเกลียดคำซึ้งๆ จำพวกนี้ที่สุด”

กานต์พยักหน้ารับ เข้าใจแล้ว แต่ยังแอบปวดร้าวที่เธอรู้เรื่องนี้ดีเสียขนาดนั้น

รถแล่นไปยังหอพักถัดไป อีกห้านาทีก็คงถึง แต่ใจของกานต์ร้อนรนไปหมด

“คุณมัยคบกับธามทศนานไหมครับ”

เธอหันมามองด้วยแววตาดูสงสาร คงเกรงใจและกลัวว่าเขาจะเจ็บ “เจอที่คาบเรียนแรกที่มหาวิทยาลัย A แล้วก็เลิกกันช่วงปิดเทอมจะก่อนขึ้นปีสอง”

“เขาเป็นฝ่ายจีบคุณมัยหรือครับ”

วินิมัยส่ายหัว ทำท่าเหมือนจะสื่อว่า อย่าถามต่อเลย มึงรับไม่ไหวหรอก’

กานต์หันคอกลับไปที่ถนนด้วยความปวดร้าว ตั้งหน้าขับต่อ แต่ยังไม่ทันข้ามสี่แยก วินิมัยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเพ้อถึงอดีต “แค่สบตากันแวบแรก ก็รู้เลยว่ารอเจอเขามานาน”

ได้แต่พยักหน้ารับรู้ คิดในใจว่าจะบอกกันทำไม ไหนว่ากลัวจะรับไม่ไหวไงครับ

วินิมัยที่รู้ตัวว่าพูดมากไปเริ่มปิดปากเงียบ ก้มมองดูแผนที่ในสมาร์ตโฟน

เมื่อเข้ามาถึงถนนใหญ่ ไกลออกไปบริเวณริมเส้นทางรถไฟฟ้าจะเห็นจุดหมายที่สองอยู่ มันเป็นคอนโดฯ หรูที่เหมือนอาคารสูงสองแห่ง มีทางเดินเชื่อมกันตรงโซนชั้นล่างและชั้นบน คราวนี้เป็นเขาที่มองออก

“คนเยอะเกินไป สว่างไสวเกินไป ธามทศไม่เลือกหอนี้แน่นอน”

วินิมัยพยักหน้าหงึก ‘งั้นเหลือที่เดียวแล้วสินะ’ เขาเลี้ยวรถเข้าซอยแคบด้านขวามือ จำได้ว่าเป็นทางลัดของย่านนี้

เมื่อออกสู่ถนนใหญ่ก็เริ่มมีความหวัง นั่นไง หอพัก C อยู่ที่ด้านซ้าย อาคารทรงยาวสูงสิบชั้น ผนังสีม่วงที่อยู่ภายนอกนั้นสภาพเก่าเอาการ

เขาเลี้ยวรถเข้าไปในส่วนลานจอดด้านหน้าทันที

ทว่ายังไม่จอดดี เสียงกรี๊ดของวินิมัยก็ทำให้สะดุ้ง เธอร้องแล้วเปิดประตูออกไปทั้งที่รถยังเคลื่อนที่อยู่

เรือนร่างอวบอิ่มนั้นเป๋ไปมาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มทรงตัวอยู่ จากนั้นจึงออกวิ่งอย่างไว กานต์ได้เพียงมองตามด้วยความตกใจ และต้องตาค้างเมื่อสายตาทอดไปยังตำแหน่งซึ่งเป็นเป้าหมายวินิมัย

มันคือระเบียงข้างหอพัก น่าจะชั้นสี่หรือห้า และที่ด้านบนนั้นมีร่างของชายคนหนึ่งกำลังดิ่งลงมา

 

โมนาชอบแกล้งผมตลอด ทั้งแอบหยิก ทั้งแอบขโมยขนมส่วนของผม ผมเกลียดเธอ เกลียด เกลียด เกลียด

…แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้โมนาทำดีกับผมบ้าง

ส่วนเดชนั้นชอบมองมาด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนผมเป็นคนอ่อนแอ เช่นเดียวกับวิคเตอร์และพริมที่ชอบด่าว่าผมตลอด ทุกคนมองว่าผมแปลกและน่ารังเกียจ…

พอเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ เงาของร่างสูงใหญ่นั้นก็ทาบทับตัวผม เหมือนตั้งใจจะกดให้จมลงไปเรื่อยๆ

พ่อที่ควรจะช่วยเหลือกลับดุด่าว่าทำไมไม่อดทน หากนิ่งเสีย พวกนั้นก็จะเบื่อไปเอง จงอย่าสร้างปัญหา

แต่พวกนั้นไม่เคยเบื่อ ไม่ว่าผมจะนิ่งขนาดไหนก็ตาม

ผมพยายามของความช่วยเหลือจากท่าน แต่ไม่เคยได้รับ ไม่เคยเลยสักครั้ง

รอบกายผมดำมืด มองไม่เห็นอะไรเลย แต่กลับมีเสียงเรียกที่ชวนคิดถึง เสียงนั้นหวานราวกับน้ำผึ้ง

“ธามทศ ธาม ธาม!”

‘วินิมัย เรายัง…’

 

วินิมัยวิ่งลงจากรถเมื่อเห็นร่างของธามทศกำลังเกาะที่ใต้ระเบียงชั้นห้าของหอพัก ก่อนที่เขาจะปล่อยมือออกในเวลาเดียวกันกับที่เธอเริ่มทรงตัวได้และออกวิ่งสุดฝีเท้า เอื้อมสองมือสุดแขน แต่ไม่ทันการ ร่างของเขาหล่นลงหลังกระแทกพื้น ห่างจากสิบนิ้วของเธอเพียงไม่กี่คืบ

เธอกรีดร้อง และร้องหนักขึ้นเมื่อเขามิได้แน่นิ่งไป แต่กลับชักกระตุกและตาเหลือก

แย่แล้ว!

สมองสั่งว่าอย่างนั้น แต่ร่างกลับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก กานต์ที่มาจากด้านข้างจึงไปถึงร่างของเขาก่อน

เมื่อคุกเข่าลง เขารีบหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต มันคือหลอดฉีดยาพร้อมเข็ม ของเหลวด้านในนั้นเป็นสีใส เป็นยาที่พวกเฮลป์เปอร์มักพกติดตัว

“ไม่ได้นะกานต์” เธอเข้าไปคว้ามือเขา ไม่ยอมให้ดึงจุกปิดปลายเข็มออก

“จากสีหน้าและเส้นเลือดรอบดวงตา หัวใจเขาไม่ได้อ่อนแรง แต่มันเต้นเร็วเกินไปต่างหาก” ใช่แล้ว ยากระตุ้นไม่ใช่ทางออกในเวลานี้ เธอรีบกลับไปที่รถ มันไม่ได้ล็อกอยู่จึงหยิบกระเป๋าสะพายออกมาอย่างสะดวก รื้อด้านในครู่เดียวก็พบหลอดฉีดยาพร้อมเข็มทรงเดียวกับที่กานต์ถืออยู่ แต่ต่างกันที่ของเหลวนั้นเป็นสีฟ้า

วินิมัยวิ่งกลับมา คุกเข่าข้างธามทศที่กำลังชัก ดึงจุกออกแล้วแทงไปที่ต้นคอขวา กดยาไปยันสุด

ได้ผล ร่างของเขาค่อยๆ สงบลง ของเหลวสีฟ้าเข้าไปในร่างกายหมดแล้ว มันคือยาป้องกันหัวใจล้มเหลวจากการทำงานหนักเกินไป ช่วยให้อัตราการเต้นลดลงอย่างเป็นจังหวะ เป็นยาสำหรับอาสาสมัครที่มีอาการช็อกหลังจากรอดชีวิตจากกฎหลอนแล้ว

“เกือบไปแล้ว” กานต์กล่าวกับเธออย่างโล่งใจ ก่อนจะโทร.เรียกฝ่ายพยาบาลของเฮลป์เปอร์ หากเป็นสถานการณ์อย่างนี้ก็พอจะเรียกมาได้

“ยังวางใจไม่ได้ ต้องตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง” วินิมัยกล่าว ก่อนจะลูบไล้ที่แก้มแดงก่ำของธามทศ ครู่หนึ่งจึงเลิกชายเสื้อยิดของเขาขึ้น เริ่มใช้ผ้าสะอาดกดแผลบริเวณสีข้างที่ฝ่ายพยาบาลเย็บไว้คราวก่อนฉีกออกหมดแล้ว

ที่หางตามีบางสิ่งที่ยังคงรังควานแม้ในเวลาเช่นนี้ เป็นผีเปรตตัวสีดำทมิฬ สูงเกือบเท่าตึก มือสองข้างหนาและใหญ่ ส่งเสียงร้องน่าหดหู่จากปากเล็กเท่ารูเข็ม ข้างตัวมันคือผีหญิงสาวที่มีเลือดท่วม

วินิมัยไม่ใส่ใจ และยังคงปฐมพยาบาลธามทศต่อไป

 



Don`t copy text!