ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 33 : ทุกอย่างพร้อมแล้ว

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 33 : ทุกอย่างพร้อมแล้ว

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ตามที่คิดไว้ ทางแยกทั้งสามนั้นพาวนเวียนอยู่กับฝั่งทางออกพนักงาน ไม่ก็กลับมาที่ประตูทางเข้าบานเดิม วิ่งวนพักหนึ่งกว่าจะมาถึง ‘ลานจอดรถ’ ดูท่าคงยากที่จะไปถึงโกดังจริงๆ ด้วย

ลานจอดรถไม่ถึงขั้นมืดสนิท และยังมีไฟกะพริบตามเพดาน ทั้งสองจึงปิดไฟฉายแล้วมองด้วยตาเปล่า

ซากรถจำนวนมากจอดนิ่ง บ้างก็ยับเยินพอเห็นโครง บ้างก็สภาพคล้ายเศษเหล็ก

ไอเย็นลอยผ่านวินิมัย แต่กลับเหนอะหนะอย่างบอกไม่ถูก ใจสั่นราวกับจะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ

ธามทศที่จูงมือเดินนำหน้าหันมาเตือน “ต่อให้พวกมันจะช้าลงแล้ว แต่ก็ต้องระวังอยู่ดี โดยเฉพาะใยแมงมุมตามพื้นกับมือยักษ์”

วินิมัยผงกหัว แปลกใจที่ตนไม่ได้รู้สึกอะไรกับการได้สัมผัสมือของเขาอีกครั้ง ใจสี่ห้องมันสงบนิ่งไปพร้อมๆ กับหวาดกลัว…

ทั้งสองค่อยๆ เดินไปข้างหน้า ส่องไฟฉายเพื่อมองพื้น ไม่มีร่องรอยของใยแมงมุมที่ธามทศบอก พอเดินไปถึงกลางลานจอด ก็พบว่าบันไดสำหรับเดินขึ้นลงนั้นถูกขวางด้วยรถเก๋งสีสนิมสองคันที่อัดกันยับ ปิดทางทุกมุมแทบสนิท จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินลงทางของรถยนต์แทน

ทางลงรถยนต์ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้าย ไกลจากบันได เป็นทางแนวโค้งที่มีเพดานสูง ประกอบด้วยเลนขึ้นกับลงอย่างละช่อง ส่องไฟฉายเข้าไปแล้วคล้ายเดินในอุโมงค์มืดๆ ให้ความรู้สึกเหมือนจะมีอะไรโผล่จากทางโค้งข้างหน้าได้ตลอด ใช้เวลาเกือบนาทีจึงมาถึงลานจอดชั้นหก

ทั้งคู่เดินลงทางโค้งไปยังชั้นต่อไปทันทีโดยไม่รอช้า แต่แล้วก็มีเสียงดังแซ่กที่ด้านหลัง มองกลับไปที่ลานจอดชั้นหก ก็พบบางสิ่งที่เกินจินตนาการ

ผีหุ่นโชว์ทรงสตรีที่ตัวใหญ่เกือบสองเมตรครึ่ง ห่มตัวเองด้วยเดรสสีแดงสดและไม่มีหัว กำลังค่อยๆ เดินเข้ามา มือสองข้างคล้ายผีเปรตที่ไว้เล็บยาว เสียงร้องวี้ลั่นลอดจากช่องด้านบนส่วนคอ มีเลือดผุดออกมาราวกับน้ำพุเล็กๆ

“วิ่ง” วินิมัยตะโกน ในเวลาเดียวกับที่มันเร่งคลานสี่ขาเข้ามาอย่างกับสัตว์ร้าย

ทั้งสองจับมือกับวิ่งลงทางโค้งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่มีเวลามองใยแมงมุมบนพื้นเลย ขนาดช้าลงยังวิ่งเร็วปานนี้ ถ้าเจอในระดับปกติคงตายไปแล้ว

แต่ทั้งสองไม่ใช่คนชักช้า ไม่นานก็ผ่านทางโค้งลงมาได้เกือบสุด เสียงของผีหุ่นโชว์ยังอยู่ไกลออกไป ทว่าเมื่อถึงทางออกสู่ลานจอดชั้นห้าก็ต้องผิดหวังและใจตื่นตระหนก

รถบรรทุกและซากศพของอะไรสักอย่างวางทับกันอย่างเละเทะ อัดรวมเป็นก้อนขนาดใหญ่แทบจะถึงเพดาน ไม่สามารถออกไปได้แน่

เสียงวี้จากคอไร้หัวใกล้เข้ามาแล้ว

ปีน! ธามทศตะโกนสั่ง พร้อมลากเธอไปประชิดกำแพงซากเนื้อและรถยนต์ ทั้งสองเริ่มปีนซากเน่าๆ ด้วยสองมือสองตีนอย่างบ้าคลั่ง หนองและไขอะไรสักอย่างซึมเข้าที่ร่องนิ้วและเสื้อผ้า บ้างก็กระเซ็นแตกกระจายเข้าปากและจมูก ก่อนจะไปถึงด้านบนที่มีช่องว่างก่อนถึงกำแพงเพียงเล็กน้อย

วินิมัยกับธามทศรีบแทรกตัวผ่านช่องว่างนั่นทันที ด้านล่างนั้นได้ยินเสียงมันกำลังปีนตามขึ้นมาอย่างช้าๆ ดูท่าจะปีนได้ไม่ค่อยเร็วนัก

วินิมัยแทรกตัวไปตามช่องว่าง รู้สึกสะเอียนกระทั่งอาเจียนออกมา แต่ยังฝืนใจขยับตัวต่อ ไม่นานก็ค่อยๆ ปีนลงมายังอีกฝั่งของกำแพงซากเนื้อ ธามทศที่ลงมาก่อนช่วยพยุงเธอลงสู่พื้น และมองหน้ากันเพื่อหาทางไป

จะลงทางโค้งต่อดีไหม หรือว่าจะไปที่บันได วินิมัยคิดแล้วมองไปที่กลางลานจอด อันเป็นตำแหน่งของบันไดขึ้นลง และคราวนี้ไม่มีรถจอดขวางอยู่

ไปทางนั้น เธอชี้แล้ววิ่ง ธามทศก็ไม่รอช้าวิ่งตามทันที แต่ก็ต้องพบว่าพื้นลานจอดนี้เหนียวเหนอะไปด้วยเลือดเยิ้มๆ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวช้าลงไปอีก

เอี้ยวหันกลับมาดูจึงเห็นว่าผีหุ่นไร้หัวนั้นมุดออกจากช่องว่างของกำแพงเนื้อได้สำเร็จ มันหล่นลงมาดังแผละ ก่อนจะแหวกท้องตัวเองแล้วหยิบบางอย่างออกมา

ที่อยู่ในมือขวาของมันคือกรรไกรสีเงินขนาดยักษ์ และมันกำลังจะขว้างมายังทั้งสองคน

 

ไลฟ์สดที่ดิวาห์เปิดให้บริการนั้นมีสามรูปแบบ หนึ่งคือกฎที่มีอยู่ก่อนหน้าธุพาณจะได้รับพรมา สองคือกฎที่ธุพาณสร้างเอง และสามคือกฎที่ธามทศสร้าง สมาชิกก็มีตั้งแต่รัฐมนตรีไปถึงระดับมหาเศรษฐีต่างชาติ

บอกตามตรงว่าเขาประทับใจมาก

ธุพาณกลับมายังห้องทำงานส่วนตัวที่บ้านแห่งความรักแล้ว กำลังมองจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ตรงหน้า จิบรัมชั้นดีก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก มันมีกลิ่นเลือดและน้ำเหลืองหอมหวน

มีข้อความจากดิวาห์ส่งเข้ามือถือ

พ่อครับ ทุกอย่างพร้อมแล้ว

นั่นเรียกอารมณ์ระรื่นกว่าเดิมให้กับธุพาณ เขาเดินกึ่งวิ่งไปยังเตียงใหญ่ ทิ้งตัวลงทั้งที่ยังอยู่ในชุดสูทสีเทาพร้อมออกเสียงสั่งให้จอแอลซีดีขนาดเท่ากำแพงห้องเปิด

“ล็อกอินตามเว็บเดิม”

สิ้นเสียงคำสั่ง หน้าจอก็ปรากฏจอขนาดย่อยขึ้นเต็มไปหมด ภาพการตายและการดิ้นรนต่อลมหายใจของคนนับสิบถูกแสดงขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้อง ธุพาณไม่สนใจในพวกมันเวลานี้หรอก

“ไปยังโดรนหมายเลขสิบ”

คราวนี้หน้าจอปรากฏจอย่อยเพียงสี่ ทั้งหมดถ่ายจากสถานที่เดียวกันแต่คนละมุมมอง พิกัดของโดรนนั้นอยู่ที่ห้างรูล แอนด์ รอส

ที่จอซ้ายมือด้านบน สองตาแดงก่ำเห็นธามทศผู้เคยเป็นลูกเลี้ยงกำลังหนีการตามฆ่าของแมงมุมยักษ์สองตัว เขาหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ ในที่สุดชีวิตก็มาถึงจุดสูงสุดอีกครั้งแล้ว

ก็ไม่รู้หรอกว่าดิวาห์ใช้วิธีไหนถึงส่งสัญญาณจากต่างภพมายังโดรนได้ แต่สมน้ำหน้าไอ้เด็กเชี่ยธามทศ บังอาจทำให้เขาสาหัสอยู่หลายปี ที่ผ่านมาก็แอบส่องดูมันทำภารกิจในลิฟต์ประตูสนิมกับสวนแสงหวนรังอยู่หรอก แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าเพราะจะเห็นมันตายสักสิบรอบ กว่ามันจะรอดออกไปได้คงกลายเป็นคนเสียสติ หรือต่อให้ไม่รอด ตัวธุพาณก็ไม่ได้เดือดร้อนขนาดหนักแต่อย่างใดเพียงแค่ควบคุมผีสองตัวไม่ได้ตามใจนึกก็เท่านั้นเอง กฎที่ตราขึ้นใหม่นั้นสำคัญกว่ามาก

คราวก่อนๆ ดิวาห์ไม่ได้ให้พวกวีไอพีเข้าถึงไลฟ์ของธามทศ แต่คราวนี้ทุกคนมีสิทธิ์เข้ามาดูได้ ยอดคอมเมนต์เพิ่มขึ้นอย่างถล่มทลาย

เห็นธามทศสิ้นหวังแล้วก็มีความสุข แม้จะยังไม่สุดก็ตาม

แต่ผ่านไปพักหนึ่งก็พบอะไรแปลกๆ เมื่อวินิมัยปรากฏตัวขึ้น

เมื่อนั้นคอมเมนต์ก็เริ่มเดือดไปในทางเดียวกัน

เป็นไลฟ์ที่ดีที่สุด แต่โคตรเฟก

ทำไมมันแปลกๆ เหมือนใช้สูตรโกงเลยว่ะ

โคตรไม่เนียน

ก็จริง…พวกแมงมุมกับหุ่นโชว์ดูช้าลงมากตั้งแต่วินิมัยเข้าไปในห้าง คงเป็นไอเดียของดิวาห์สินะ มิน่าเล่าจึงถ่ายไลฟ์สดออกมาได้

 

ที่ห้องทำงานของฝ่ายพัสดุอันคุ้นเคย กานต์หันขวาเยื้องไปด้านบน จ้องมองใครบางคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าเท่าไร เป็นดิวาห์ที่กำลังยืนอยู่ในชุดเสื้อสูทสีดำ สีหน้าฉายแววกังวล ซึ่งก็สมควรแล้ว

คอมพิวเตอร์ทั้งสองเปิดอยู่ เครื่องหนึ่งเป็นไลฟ์สดในห้างรูล แอด์ รอส อีกเครื่องเป็นงานที่เขากำลังเร่งลงมือสุดชีวิต

“นายรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ได้จบไอที แล้วคนจบไอทีจริงๆ ก็มีความถนัดหลายรูปแบบ”

“ผมรู้ แต่คนที่ช่วยจัดการเรื่องกล้องให้ผมมาโดยตลอดเพิ่งถูกธุพาณไล่ออกไป”

เลยให้กูมานั่งทำเว็บแทนเนี่ยนะ เจริญละ กานต์บ่นในใจ ถ้าวินิมัยไม่ขอร้องไว้ เขาคงไม่มีวันยอมทำตามแผนนี้หรอก แต่ใจหนึ่งก็ยอมรับในงานวิจัยของธุพาณ

ตัวดิวาห์กับฝ่ายวิจัยนวัตกรรมของบริษัทแค่เอามาดัดแปลงเล็กน้อย บัดนี้ระบบมันสามารถฉายในระดับข้ามภพได้เลยทีเดียว ภาพของวินิมัยกับธามทศซึ่งกำลังหาทางรอดอยู่ในห้องนรกนั่น บัดนี้กำลังถ่ายทอดสดไปทั่วเครือข่ายเชี่ยๆ พวกนี้อยู่

“มันไม่ได้ยากเลยครับ” ดิวาห์ดูออกว่าเขาทึ่ง “แค่ติดกล้องไว้ที่ด้านหลังของคุณวินิมัย ล็อกสัญญาณให้เขากับตัวโดรนก็พอแล้ว”

“ทราบได้ยังไงว่าสัญญาณที่จะออกมาได้ต้องผ่านความถี่แบบไหน”

หนุ่มแว่นในชุดสูทชี้ไปที่ขวามืออันเป็นประตูทางเข้าห้องทำงาน ห่างไปสักสามเมตร มีผีเปรตยืนจ้องอยู่ “แค่ศึกษา แล้วก็ใช้ความถี่เดียวกับพวกมันไงครับ แน่นอนว่าเดิมทีผมมองไม่เห็นพวกมัน”

นั่นแสดงว่าธามทศคงคอยช่วยดิวาห์อยู่ ทั้งสองวางแผนเรื่องนี้มานานแล้วสินะ

“ผมทึ่งนะ” กานต์ยอมรับจากใจจริง หยิบมีดคัตเตอร์สารพัดประโยชน์ออกมาปักไว้ที่โต๊ะ ผีเปรตตั้งท่าจะถอยหนี “เห็นว่าพวกมันเพิ่งกลับมาจากห้าง ว่าแต่ผีพวกนี้จะไม่คาบข่าวไปบอกธุพาณใช่ไหม”

“มันไม่มีเวลาหรอก…” ดิวาห์กล่าวแล้วกดอะไรบนสมาร์ตโฟน หน้าจอไลฟ์สดที่เข้าผ่านยูสเซอร์ของดิวาห์ขึ้นข้อความแจ้งว่า

เพิ่มปริมาณยา ๑๐ เปอร์เซ็นต์

“ผมเพิ่มยาที่ทำให้กลัวมากขึ้นเล็กน้อย ผู้โชคร้ายคือวิคเตอร์” ทั้งสองหันไปมองผีเปรต และพบว่ามันหายไปแล้ว

เมื่อกานต์กดเลื่อนแท็บไปยังส่วนที่มีชื่อว่า ‘ห้องพัก’ ก็ปรากฏหน้าจอขึ้นมา เป็นวงจรปิดในห้องเพื่อนทั้งสี่ของธามทศ ผู้ฟื้นมาเพื่อเป็นเหยื่อในการทรมานอยู่สาม และยังหลับใหลลึกอยู่อีกหนึ่ง มุมขวาของจอซึ่งเป็นร่างของวิคเตอร์ มีผีเปรตและผีหญิงห่มเลือดกำลังโลมเลียไปทั้งร่างอยู่ ได้ยินเสียงครวญของชายหนุ่มเบาๆ

ใช่แล้ว ยิ่งกลัวยิ่งเลิศรส พวกมันคงทนไม่ได้ต้องรีบไปลิ้มลอง เท่ากับว่ายังมีเวลาสักพัก ก่อนที่พวกมันจะกลับมา

“คุณใช้น้องๆ เป็นเครื่องมือล่อผีงั้นหรือ”

“ผมโตมาโดยถูกกรอกหูว่าต้องใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือ วิธีการนี้ล่อผีสองตัวได้เสมอ แต่ก็ไม่ควรใช้บ่อย หรือเพิ่มปริมาณยามากเกินกระทั่งธุพาณระแวง ถ้าในระดับนี้ เขาจะคิดเพียงว่าเกิดอาการกลัวสุดขีดชั่วคราว ซึ่งพบได้ในบางช่วงอยู่แล้ว”

ดูท่าดิวาห์จะทราบการเคลื่อนไหวของผีสองตัวเป็นอย่างดี จึงนัดคุยกันกับธามทศได้ เป็นงานที่เสี่ยงฉิบหาย แต่ก็อย่างว่าละ ต้องใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือ…วินิมัยก็เช่นกัน ไม่คาดคิดเลยว่าหญิงสาวที่ตนแอบรักจะคิดเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ขึ้นมาได้

และทั้งหมดเพื่อปกป้องธามทศ…

เขาขยับหูฟังขนาดเล็กเบาๆ กล่าวกับคู่สนทนาว่าขอบคุณมาก จากนั้นจึงถอดออก แล้วเริ่มลงมือกับคอมพิวเตอร์ตรงหน้า “ผมสอบถามเพื่อนที่ถนัดด้านนี้มาแล้ว คงพอทำได้ ระบบที่คุณมีมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก”

คราวนี้เป็นดิวาห์ที่ทึ่งกระทั่งหลุดผิวปากออกมา “เดิมทีผมแอบคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนทำงานประเภทเป็ด ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง ดูท่าจะจริงนะ…”

นั่นคงเป็นคำชมตามสไตล์ของมัน แต่กานต์กลับรู้สึกดีและเริ่มรัวนิ้วบนแป้น ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีจึงหยุดนิ้วทั้งสิบแล้วบิดกายไล่ความเมื่อย “เรียบร้อย…”

ดิวาห์กล่าวขอบคุณ และกำลังจะเดินออกจากห้อง ทว่าเขาส่งเสียงเรียกให้หยุดกะทันหัน

“คุณกำลังทำลายหลายสิ่งที่ตัวเองสร้างมา ผมอยากรู้ว่าคุณทำอย่างนี้เพื่อธามทศ หรือเพื่อตัวเอง”

“เพื่อตัวผมเอง”ดิวาห์ตอบโดยไม่ต้องคิด กานต์มองออกว่าชายตรงหน้าโกหก ไอ้ธามทศมันมีอะไรให้ห่วงใยนักหนากันนะ

“แล้วคุณแน่ใจหรือว่าแค่นี้จะฆ่าธุพาณได้”

“ฆ่าไม่ได้หรอก” สิ้นคำตอบนั้น มีของเหลวใสเคลือบดวงตาเศร้าสร้อยของดิวาห์ “ถึงต้องมีแผนเสริมของผมไง”

เป็นสายตาของคนที่เตรียมใจไว้แล้ว กานต์หมดแรงจะถาม หน้าที่ของเขาในตอนนี้คือไปรับวินิมัยกับธามทศ ภาวนาให้พวกนั้นกลับออกมาอย่างปลอดภัย

เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายชั่วโมงแล้ว “ผมต้องรีบขับไปรอรับสองคนนั่น จากตรงนี้คงใช้เวลาสี่สิบนาทีถึงหนึ่งชั่วโมง ขอตัวก่อน”

เขาเดินเลยดิวาห์ออกไป แต่ต้องหยุดเพราะถูกจับข้อมือไว้

“ผมขอบคุณในทุกเรื่อง”

“ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ แต่ทำเพื่อความปลอดภัยของผู้โชคร้ายที่จะต้องเป็นเหยื่อของกฎพวกนี้ และก็ทำเพื่อคุณวินิมัยด้วย”

ดิวาห์ยิ้ม ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู

“ผมส่งรายละเอียดที่คุณอยากรู้ไปให้ในเมลแล้ว และมันไม่มีผลเสียกับใคร เป็นเรื่องของวินิมัย”

เขาสะบัดมือออกแล้วเดินออกจากห้องไป ไม่ชอบที่ถูกเดาใจได้ และจะไม่ยอมเปิดดูข้อมูลนั่นเด็ดขาด

“คุณเดาถูกเรื่องผู้หญิงคนนั้น” เสียงของดิวาห์ไล่หลังมา สะท้อนซ้ายขวาไปทั่วทางเดินยาว ตามติดตัวราวกับกำลังกระซิบอยู่ข้างหู

 

กรรไกรยักษ์พุ่งผ่านด้านบนหัวดังวูบ เส้นผมหลุดไปสองสามเส้น แต่เขาก็ตะครุบวินิมัยลงสู่พื้นได้ทันก่อนจะหัวขาดทั้งคู่

วิ่งต่อ! ทั้งสองวิ่งลงไปตามบันได และโชคร้ายที่ลงได้แค่ชั้นเดียวก็มีรถจอดขวางทางลงชั้นต่อไปอีก มันเป็นรถบรรทุกสีดำเก่าครึที่ส่งเสียงเครื่องยนต์ดังแซ่กๆ

เชี่ยเอ๊ย เขาสบถ แต่วินิมัยรีบจูงมือวิ่งไปยังทางโค้งที่ไกลออกไป ดูท่าแล้วต้องวิ่งลงสลับไปมาระหว่างทางลงรถยนต์กับบันได แต่ไม่เป็นไร อีกเฮือกเดียวก็เป็นชั้นสามแล้ว

ทว่า เมื่อไปถึงทางโค้งก็พบว่าผีไร้หัวดักรออยู่ไกลๆ แล้ว และเมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นกัน มันก็พุ่งเข้ามาอย่างน่าสยอง ส่งเสียงเหมือนจะเชือดคอให้ตาย

เขาตั้งท่าจะหนีต่อแม้จะรู้ดีว่าไม่น่าทัน ขาแทบไม่มีแรงแล้ว แต่เมื่อหุ่นโชว์ไร้หัวยื่นกรรไกรเข้ามาในระยะ ก็เกิดเสียงลั่นดังไปทั้งลานจอด พร้อมรถบรรทุกสีดำที่พุ่งมาชนมันดังเปรี้ยง พาร่างในชุดแดงไปพุ่งชนใส่รถเก๋งสีเทาและดันไปชนกับกำแพงของลานจอดรถอีกต่อหนึ่ง

เป็นรถคันที่จอดขวางบันไดไว้นั่นเอง จริงสินะ มันยังติดเครื่องอยู่

และผู้ขับมันก็คือวินิมัย…

ผีหุ่นโชว์ไร้หัวไม่ตาย อันที่จริงไม่บาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ขยับออกมาจากซากรถทั้งสองไม่ได้ เป็นโอกาสดีในการหนี วินิมัยรีบลงมาจากรถและวิ่งไปพร้อมกับเขา

เมื่อลงบันไดไปอย่างรีบร้อนก็ถึงชั้นสาม จากนั้นจึงเห็นแสงสว่างที่โคตรไม่คุ้น มันวาบมาจากฝั่งของห้างสรรพสินค้า มองเข้าไปที่ชั้นสามพบว่าบนเพดานมีหลอดไฟทำงานเป็นปกติอยู่

เข้ามาในโซนสว่างไม่นานก็มาถึงทางแยก ไม่มีวี่แววอะไรจะมาโจมตี วนอยู่รอบเดียวก็มาถึงโซนพนักงาน

นั่นไง ประตูทางออกพนักงานชั้นสาม มันตั้งอยู่ข้างลิฟต์ ไม่ต่างกับชั้นอื่นๆ

เขาออกแรงจับลูกบิด หมุน และพบว่ามันไม่ได้ล็อก

และเมื่อเปิดออกไปก็พบทางเดินยาวสุดลูกตา สองฝั่งคือผนังทึบสีแดง ไกลออกไปเป็นกำแพงที่ทำจากกระจกติดตั้งอยู่ มันเป็นกระจกทรงสี่เหลี่ยมที่กว้างประมาณเมตรครึ่ง ติดเรียงรายกันเป็นตารางทั้งแถบ

ด้านนอกกระจกนั้นมืดสนิทแทบจะจินตนาการไม่ออกว่ามีอะไรที่มืดขนาดนี้อีกไหม

“ถ้าดุ่มๆ วิ่งไปคงฉิบหายแน่นอน” เขาบอกวินิมัย ซึ่งเธอก็เห็นด้วย

แต่กฎสยองไม่ปล่อยให้วางแผน เสียงของไอ้หุ่นโชว์ไร้หัวตามมาอยู่ด้านหลังไกลๆ แล้ว และมันกำลังวิ่งเข้ามาทางนี้

“รีบเข้าไปหลังประตู แล้วปิดให้ทัน”

วินิมัยได้ยินแล้วก็วิ่งนำเข้าไป ธามทศตามหลังและปิดประตูทันที เป็นเวลาเดียวกับที่ปลายแหลมของกรรไกรแทงทะลุประตูมาเฉี่ยวตาขวา เลือดจากหนังตากระฉูดออกมาพร้อมเสียงกรีดร้องของวินิมัย แต่นั่นหยุดเขาไม่ได้

ธามทศคว้ามือของวินิมัยและออกวิ่งไปด้วยกัน ก่อนที่จะมีมือยักษ์ตะปบลงมาจากด้านบนอย่างช้าๆ เขาดึงวินิมัยเข้าหาตัว หลบได้ฉิวเฉียว จากนั้นจึงวิ่งเบี่ยงไปด้านข้าง ก่อนจะพบว่าทางเดินนั้นแคบลงเรื่อยๆ จากทุกมุม ส่วนของกำแพงกระจกนั้นก็เริ่มถูกผนังโดยรอบกลืนหายไป

พริบตาต่อมาด้านหลังก็ถูกฟันโดยปลายกรรไกร เจ็บแทบจะร้องไห้ แต่เมื่อแอบหันกลับไปดูกลับพบว่าผีหุ่นโชว์นั้นกำลังเจออุปสรรคเช่นกัน ตัวมันสูงเกินไปจึงครูดไปมากับห้องที่แคบลงเรื่อยๆ

วิ่งหนีมาถึงหน้าต่างกระจกแล้ว ความสูงของห้องตอนนี้ทำให้เขาต้องก้มหัว ส่วนผีหุ่นโชว์นั้นตัวหักไปแล้ว แต่ยังคลานมาหาพวกเขาอยู่

และพริบตานั้นเองที่ร่างของมันฉีกออกจากตรงกลาง ราวกับยอมสละท่อนล่างออกไป พลางใช้มือข้างหนึ่งไถมาตามพื้น มืออีกข้างถือกรรไกรคอยจ้วงแทง ความเร็วนั้นทวีเป็นเท่าตัว

ธามทศรีบวิ่งไปทางผีไร้หัว ถอดเสื้อแจ็กเก็ตคลุมสองมือเอาไว้และจับที่ปลายกรรไกร ไม่น่าเชื่อว่าส่วนด้านนอกของกรรไกรยังคมพอจะทะลุเข้ามาที่ฝ่ามือได้ เลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่เพราะมันเหลือครึ่งตัว จึงทำให้แรงของเขาที่โด๊ปยามายังพอยันไว้ได้

วินิมัยเห็นทุกอย่างก็อึ้งไปวูบหนึ่ง พอเขาตะโกนว่าให้ถีบ เธอจึงหันหลังกลับไปและเตะใส่กำแพงกระจกทันที แต่กระจกนั้นไม่แตก ไม่กระเทือนสักนิดด้วยซ้ำ แถมบัดนี้ห้องหดเข้ามาตามมุมกระทั่งกระจกเหลือแค่ไม่กี่ช่องแล้ว

จากนั้นพื้นที่รอบข้างก็เริ่มร้อนระอุขึ้นและลุกเป็นไฟไปทั่ว ทั้งสองต่างกรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด

หางตาเห็นว่าวินิมัยรีบใช้มือที่เริ่มพองเร่งหาตัวเปิดช่องกระจกแทน ส่งเสียงร้องว่า “มันต้องมีสิ มันต้องมี”

ห้องหยุดแคบลงแล้วก็จริง แต่ธามทศเริ่มไม่ไหว สองมือสั่นเทาจากแรงของผีร้ายและความร้อนสูง ไอ้ผีชุดแดงมันส่งเสียงวี้ๆ ยันกายกับพื้นด้วยกระดูกสันหลังที่ไม่ควรจะมีในหุ่นโชว์ พยายามจะแทงกรรไกรเข้ามาที่หน้า เขาจึงสูดหายใจและทำการเบี่ยงแรงของมันขึ้นด้านบน และได้ผล ปลายแหลมนั้นปักติดที่เพดานเตี้ยๆ

หันกลับไปช่วยวินิมัย และพบว่าเธอเจอตัวเปิดกระจกพอดี หญิงสาวที่มีไฟเริ่มไหม้ตามเสื้อผ้าทำการสับคันโยกตรงขอบเล็กๆ ระหว่างกระจกบานตรงกลาง และสามารถเปิดออกไปได้อย่างง่ายดาย

ลมหนาวแลบเข้ามาในทางเดินแคบทันที

และโดยไม่รอช้า ทั้งสองก็พากันมุดออกไปจากรูกระจกนั่น

 



Don`t copy text!