ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 11 : KONN – OUTLET

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 11 : KONN – OUTLET

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

เวลาสิบโมงเช้า พินธาอ่านข้อความในอีเมล

ได้รับข้อมูลล่าสุดเรียบร้อย ขอบคุณสำหรับการอัปเดตข่าวสำคัญ จะรีบโอนค่าบริการไปให้

จากนั้นจึงปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน แม้ในใจจะยังถูกบีบเค้นด้วยความเคร่งเครียด แต่ก็เริ่มรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นเล็กน้อย การเงินขององค์กรนี้ราบรื่นไปอีกประมาณเกือบครึ่งรอบบัญชีได้ เธอไม่ต้องการนำเงินส่วนตัวมาเพิ่มทุนเพื่อช่วยเหลืออีกแล้ว

พินธาแต่งงานเมื่อสิบห้าปีก่อน สามีเป็นเจ้าของกิจการที่พอมีหน้ามีตาและฐานะ เรียกว่าอย่างไรก็ไม่ขัดสน แม้ต่อมาจะเลิกรากันไปแต่ก็ยังได้เงินชดเชย จึงเป็นเหตุผลให้เธอสามารถตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาได้

รายได้หลักของเฮลป์เปอร์ที่พนักงานทั่วไปไม่ทราบ พูดตามตรงก็คือการส่ง ‘จดหมายเตือน’ ไปยังกลุ่มวีไอพีต่างๆ ที่มีสมาชิกตั้งแต่นักการเมืองไปถึงนักธุรกิจในตลาดสีเทา และเนื้อหาในจดหมายก็คือกฎต่างๆ ที่ทางเฮลป์เปอร์ค้นพบนั่นเอง พอได้ข้อมูลชุดใหม่มา ทางนี้ก็จะรีบแจ้งไปยังกลุ่มลูกค้า และแลกกลับมาเป็นเงินค่าบริการข้อมูลนั่นเอง

สถานที่ที่มีกฎหลอนนั้นมากมายนับไม่ถ้วน แต่การจะทราบกฎของพวกมันอย่างละเอียดต้องใช้เงินทุนพอสมควร เงินค่าจ้างเจ้าหน้าที่ประจำและอาสาสมัครจึงจำเป็น

หน้าที่อื่นๆ เช่น การรักษาพยาบาลผู้รอดชีวิต การเผยแพร่กฎต่างๆ ในสถานที่จริงนั้น เป็นเพียงหน้าที่อันไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่านั้น ซ้ำยังมีค่าใช้จ่ายสูงลิบอีก ยังดีที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเมื่อหักลบกับรายได้ค่าบริการข้อมูลแล้วยังพอมีกำไรบ้าง ไม่เช่นนั้นคงต้องนำเงินส่วนตัวมาถมอีก

ยังไม่รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่า หากเผยแพร่พวกกฎออกสู่สาธารณะง่ายเกินไป พวกวีไอพีที่เสียตังค์มหาศาลก็ย่อมไม่พอใจ จึงจำเป็นต้องมีการดึงระยะบ้าง เช่นเดียวกับกฎเรื่องแผนกบัญชีของ คอนน์ รีเทลลิ่ง ที่กว่าทางเฮลป์เปอร์จะกระจายข่าวเพื่อเผยแพร่ทางออนไลน์ ก็คงปาเข้าไปอีกสองถึงสามเดือนข้างหน้า

แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบริษัทใหญ่โตแบบนั้นจะมีกฎสยองกับเขาด้วย จากที่วินิมัยบอก ดูท่าว่ากฎดังกล่าวจะเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มนักบัญชีระดับท็อปเท่านั้น

เธอส่งข้อความไปขอบคุณกานต์และวินิมัย ย้ำว่าทำงานได้วิเศษมาก อย่างน้อยก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎเพิ่มมาสักหนึ่งกฎก็ยังดี

และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จึงนั่งไล่ดูข้อความในสมาร์ตโฟน พยายามหาทางออกเกี่ยวกับภาพที่วินิมัยส่งมานอกรอบ นั่นคือปฏิทินในห้องพักของธามทศ

เธอไม่ใช่หัวหน้าตัวอย่างที่ถูกชื่นชมออกทางสื่อหรือรายการออนไลน์ แต่จำรายละเอียดของพนักงานทุกคน รวมถึงนายกานต์ด้วย ภาพที่วินิมัยส่งมาจะส่งผลเสียกับเขาไม่มากก็น้อย

ถ้ามีแค่สวนแสงหวนรังแห่งเดียว ยังพอมองได้ว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่พอมีแผนกบัญชีของบริษัทคอนน์ รีเทลลิ่งด้วย จะมองอย่างนั้นก็คงเป็นการหลอกตัวเอง

ใช่แล้ว เธอมองออกว่าทั้งสองแห่งนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่จะบอกวินิมัยกับกานต์ดีไหมนะ ไม่สิ สองคนนี้ฉลาด…อีกไม่นานก็คงทราบเอง หากตนกล่าวอะไรออกไปอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาได้ และอีกอย่าง หากให้พวกนั้นรู้เอง ตัวพินธาจะปวดใจน้อยกว่า

ระหว่างที่กำลังนั่งคิดอะไรอยู่ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อบอกให้เข้ามาก็พบว่าเป็นวินิมัยนั่นเอง

เธอเชิญให้วินิมัยนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะ หันหน้าปะทะกัน

จากนั้นจึงเริ่มสนทนาด้วยความเคร่งเครียด

“อีกไม่กี่วันธามทศก็คงจะฟื้นแล้ว” แค่เริ่มคุยก็เห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตึงขึ้นมาทันที “…และคงจะรีบแจ้นไปลองดีที่กฎถัดไป อย่าลืมนะว่าเราไม่มีสิทธิ์ติดจีพีเอสหรืออุปกรณ์ติดตามอะไรทั้งหลายแหล่กับเขา คนดื้อแพ่งอย่างนั้นมีสิทธิ์จะฟ้องเราเมื่อไรก็ได้ ฉันไม่อยากให้สะเทือนถึงลูกค้ารายอื่น”

“รับทราบค่ะ”

“ถึงเราจะไม่ใช่บริษัทใหญ่โตหรือมหาชน แต่ก็มีประชุมกรรมการออกมาแล้ว ถ้าจะให้สรุปก็คือ หากนายธามทศยังคงเต็มใจจะพาตัวเองไปยุ่งกับพวกกฎเหล่านั้น ทางเฮลป์เปอร์จะขอหยุดให้ความช่วยเหลือ เพราะต้องการนำเงินทุนและทรัพยากรไปช่วยเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่เข้าไปเจอกับกฎอันตรายเหล่านี้โดยไม่ตั้งใจ มากกว่าจะผลาญไปกับคนที่รนหาที่ตาย”

วินิมัยเอ่ยว่ารับทราบค่ะ แต่สีหน้านั้นดุดันเอาการ

พินธาพยายามกล่าวอย่างสงบนิ่ง “เธอยังสามารถช่วยเหลือเขานอกเวลาทำงานได้ หรือจะลาพักร้อนไปก่อนก็ไม่มีปัญหา เรื่องอุปกรณ์หรือยาก็สามารถเบิกไปใช้ได้หากไม่เกินจำนวนที่ระบุไว้ในกฎสวัสดิการพนักงาน”

วินิมัยหน้าเสียไป คงพอเดาได้ว่าจะพูดอะไรต่อ

“แต่ฉันไม่ต้องการให้เธอทำแบบนั้น ทางที่ดีเธอควรปล่อยเขาไปตามทาง”

“หนูปล่อยเขาไปตายไม่ได้”

คราวนี้พินธาขบฟัน เริ่มหงุดหงิดแล้ว “บางครั้ง การช่วยคนที่เต็มใจเชือดคอตัวเอง ก็อาจทำให้เราถูกแทงเป็นแผลฉกรรจ์ได้นะ…”

ตาที่จ้องมาแดงก่ำ หากไม่ได้เป็นนายจ้างคงถูกจิกหัวตบไปแล้ว แต่วินิมัยคงทราบแก่ใจว่าเธอหวังดี ใจจริงอยากจะย้ำไปว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวหรือค้นหาอะไรเกี่ยวกับบริษัทคอนน์ รีเทลลิ่ง ด้วย แต่เกรงว่ายิ่งห้ามจะกลายเป็นยิ่งยุ

“เพราะสวนแสงหวนรังกับบริษัทคอนน์ รีเทลลิ่ง ใช่ไหมคะ”

งั้นหรือ พินธาเลียริมฝีปากแห้งแตก วินิมัยรู้แล้วสินะ

เธอจ้องหน้าหญิงสาวที่นั่งตรงหน้า ราวกับจะขอให้บอกสิ่งที่รู้ออกมา

“อดีตผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของคอนน์ รีเทลลิ่ง มีชื่อว่า ‘ธุพาณ คอนเนอร์’ อายุปัจจุบันคือห้าสิบหกปี และเขายังเคยเป็นผู้จัดการของสวนเอกชนชื่อ ‘แสงหวนรัง’ เมื่อยี่สิบปีก่อนอีกด้วย…”

พินธาพยักหน้า ไม่ตอบอะไร

“นอกจากนี้นายธุพาณยังไม่ปรากฏตัวออกสื่อสาธารณะมาสักระยะแล้ว นั่นเพราะเขาหายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน น่ะจะสักห้าหกปีหรือนานกว่านั้น และนอกจากนี้…ในกฎของแผนกบัญชีบริษัทคอนน์ รีเทลลิ่ง ยังมีชื่อของนายดิวาห์ คอนเนอร์ ด้วย

ธุพาณไม่ได้แต่งงาน แต่จากนามสกุลและตำแหน่ง เดาว่าน่าจะเป็นญาติหรือไม่ก็ลูกชายนอกสมรสของธุพาณ แถมดิวาห์คนนี้ยังรู้จักกับธามทศเป็นการส่วนตัวด้วย”

วินิมัยจ้องหน้าของเธอ เหมือนกับกำลังขอความเห็น

“ฉันจะขอสืบเรื่องคอนน์ รีเทลลิ่งต่อเอง ขอทำเรื่องลาพักร้อนนะคะ”

พินธาหลับตาลง ไม่อยากให้วินิมัยทำอย่างนี้เลย แต่ห้ามก็คงไม่ไหว “ถึงรู้รายละเอียดเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดธามทศได้นะ”

วินิมัยไม่แสดงท่าทีอะไรกับคำเตือน ทำท่าเหมือนอยากจะกลับแล้ว

“แล้วรู้เป้าหมายต่อไปที่ธามทศจะแส่หาเรื่องแล้วใช่ไหม”

“น่าจะเป็นตามที่ฉันส่งอีเมลให้คะ”

เธอกัดปากกระทั่งเลือดไหลซึมออกมา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ครั้งนี้วินิมัยเองก็คงให้กานต์เข้ามายุ่งไม่ได้สินะ เพราะมันเกี่ยวข้องกับพี่ชายของเขาโดยตรง

“จะห้ามอย่างไรก็คงไม่ฟัง งั้นเธอไปได้แล้ว แต่ฉันอยากเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะ ว่าพอแค่นี้เถอะ”

 

วินิมัยออกไปแล้ว เหลือเพียงพินธาที่นั่งจ้องดอกไม้สีน้ำตาลในกล่องกระจกบนโต๊ะทำงาน เพราะไม่รู้จะหันสายตาไปทางไหนดี รอบตัวมีแต่เรื่องวุ่นวายมากเกินไป

เมื่อสั่งงานให้ภาณะและลูกน้องเสร็จก็นั่งไล่เปิดรูปที่ถ่ายไว้ในอดีต ดูไปก็ปวดใจไป

ไม่นานที่หน้าจอมือถือก็เตือนว่ามีอีเมลถูกส่งเข้ามา เนื้อหามาจากฝ่ายไอที โดยแจ้งว่าไม่พบสาเหตุที่ทำให้ไฟล์วิดีโอจากสวนแสงหวนรังเสียหาย แต่คาดว่าน่าจะมาจากสัญญาณรบกวนของอุปกรณ์อื่น

แม้จะยังไม่ได้ดูไฟล์วิดีโอเหล่านั้นด้วยตา แต่พินธาไม่สบายใจกับคำตอบนัก จะแจ้งว่าอุปกรณ์ชำรุดยังพอสบายใจกว่า เธอจึงลองเปิดอีเมลที่กานต์เพิ่งส่งมาเมื่อเช้า

และต้องตาถลนออกมา เมื่อพบความผิดปกติบางอย่างในไฟล์ที่ได้รับ ทั้งภาพและนอยส์ที่เกิดในไฟล์วิดีโอตามที่เขาบอก รวมถึงเส้นทแยงแนวนอนสีขาวพร้อมจุดแสงวาบไปมา…มันช่างคุ้นตา

เธอลุกพรวดขึ้นมาเดินไปมาในห้อง ก้มหัวนิ้วรัวลงสมาร์ตโฟนเพื่อส่งอีเมล เริ่มลนลานเมื่อสัญญาณไวไฟนั้นช้าลงเรื่อยๆ

และก่อนจะทันได้กดส่งไปยังเป้าหมาย ก็พบว่าพื้นห้องที่ตัวเองมองเห็นถัดไปจากสมารต์โฟนนั้น มีขาของใครบางคนยืนอยู่

ใจระส่ำ ห้ามตัวเองไม่ให้เงยหน้า ในขณะที่ไฟในห้องเริ่มกะพริบและดับสนิทลง นิ้วยังคงพยายามกดเร่งส่งไฟล์

มืดแทบมองไม่เห็นทั้งที่ยังเช้าอยู่ พินธาพยายามหันตัวไปทางขวา ก้าวไปที่ประตู ขณะเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาจากมุมห้อง

เป็นเสียงของผู้หญิง ไม่ต้องเดาก็ทราบว่าอยู่ในสภาพเปลือยและมีเลือดท่วมกาย ส่วนเจ้าของปลายเท้านั้นก็คือเปรตตัวสีดำทะมึน ความสูงของมันคงจรดไปถึงเพดาน

เมื่อหันมาทิศเดียวกับประตูแล้วจึงไม่รอช้า เธอวิ่งพรวดไปที่ทางออกทันที

ทว่ายังไปไม่ถึงก็ต้องชะงักงัน

นั่นเพราะถูกเปรตตัวนั้นตะครุบจากด้านหลัง เธอล้มลงอกกระแทก และถูกลากหายไปในความมืด

สมาร์ตโฟนในมือหล่นลงพื้น กระดอนไปจากเงาของเจ้าผีร้าย

 

แสงยามหลังเที่ยงจ้าเอาเรื่อง ทะลุกระจกรถเข้ามาอย่างไม่ปรานี เธอหยิบแว่นกันแดดมาสวม

“เวลานี้คงอนุมานได้ว่าธามทศเจอกับกฎสยองมาแล้วอย่างน้อยสามกฎ…และคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่”

“คุณมัยแน่ใจหรือครับว่าเราควรจะไปหาคนชื่อดิวาห์ที่บริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง”

กานต์ยังคงถามย้ำอยู่อย่างนั้น และวินิมัยก็ตอบแบบเดิมว่า แน่ใจที่สุด

“กานต์จะไม่ไปก็ได้นะ ฉันอาจจะถูกไล่ออกเพราะทำแบบนี้ก็ได้ อย่ามาพังไปพร้อมกันเลย”

กานต์ที่นั่งข้างคนขับหัวเราะออกมา คล้ายกับระอาใจปนสังเวชตัวเอง “คุณมัยก็รู้ว่าผมทำไม่ได้”

ขอโทษนะ นั่นคือสิ่งเดียวที่เธอจะกล่าวกับเขาได้

“อีกอย่าง คุณมัยก็ทราบดีว่าผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อลดจำนวนคนเคราะห์ร้ายจากกฎชั่วๆ พวกนี้ นายธามทศเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

นั่นสินะ พี่ชายของกานต์เองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของกฎสยอง เข้าใจได้ว่าคงอยากช่วยเพิ่มให้ได้สักคนก็ยังดี

“อีกอย่าง งานส่วนของผมก็แทบไม่ได้ช่วยใครได้ตรงๆ อยู่แล้ว อยากจะมีประโยชน์มากกว่านี้มาโดยตลอด การได้มาร่วมหาข้อมูลกับคุณมัยมีแต่จะทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นด้วยซ้ำ”

เธอกล่าวขอบคุณ จากนั้นชี้มายังช่องเก็บของหน้าที่นั่งข้างคนขับ กานต์เปิดออกและหยิบของในนั้นออกมา มันคือบัตรห้อยคอของพนักงานบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง แน่นอนว่าส่วนของชิปที่เอาไว้สแกนเข้าสำนักงานนั้นถูกดึงออกไป แต่ตัวป้ายและกรอบห้อยคอยังอยู่ดี

“เส้นใหญ่น่าดูถึงเอาของนี้ออกมาได้ทั้งที่ลาออกแล้ว”

“ทำไมถึงรู้ว่าเขาลาออกล่ะครับ พวกตำแหน่งงานที่แสดงในเว็บไซต์ก็ไม่ได้ละเอียดอะไร มีแต่เน้นพวกระดับสูง”

“ฉันค้นอีเมลของเขาน่ะ แล้วพบใบอนุมัติการลาออก”

กานต์มองออกไปนอกหน้าต่าง พึมพำอะไรไม่รู้ ก่อนจะหันมาถาม

“ทำไมธามทศถึงต้องไล่หาเรื่องกับกฎหลอนพวกนี้ด้วย คุณมัยคิดว่าไงครับ”

บรรยากาศเงียบลงทันใด วินิมัยไม่กล้าตอบ

“ผมลองมาคิดดู น่าจะมีแค่สองคำตอบ หนึ่งคือเพื่อขอพรอะไรสักอย่าง อารมณ์คล้ายเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างที่เราเคยดูในภาพยนต์ต่างประเทศ หรือถ้าไม่อย่างนั้น ก็อาจเป็นเพราะ…”

“อาจจะเพื่อฉันเองก็ได้…”

กานต์นั่งนิ่งเป็นหิน ครู่หนึ่งจึงหันหน้ากลับไป คงเป็นคำตอบเดียวกันกับที่เขากำลังจะพูด

“ดูหนังเยอะไปทำให้ฟุ้งซ่านได้เนอะ”

“เห็นด้วยเลยครับ”

 

ทั้งสองมาถึงบริษัท คอนน์ รีเทลลิ่งในช่วงบ่าย

ที่ทราบว่ามาถึงแล้ว เพราะทิวทัศน์ภายนอกต่างออกไป จากเป็นที่ราบชานเมืองซึ่งมีเพียงที่ดินว่างเปล่ากับอาคารเตี้ยๆ คราวนี้กลายเป็นเหมือนเข้าสู่เขตเมืองที่มีอาคารสูงใหญ่กระจายกันเต็มไปหมด มองจากฝั่งถนนเข้าไปก็นับได้คร่าวๆ ว่าสักยี่สิบอาคารได้

“บางส่วนน่าจะเป็นโกดังกับโรงย้อมครับ ไม่ก็พวกโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกซ์”

“ยังไงเสีย ก็ไม่น่าเอาพวกโรงย้อมหรือโรงฟอกมาอยู่ในพื้นที่เดียวกับแหล่งผลิตอุปกรณ์เลยนะ”

กานต์พยักหน้าเชิงเห็นด้วย แต่ทั้งคู่ก็ทราบดีว่าอย่าไปยุ่งเรื่องธุรกิจเลย

ช่วงก่อนถึงทางเข้าเขตบริษัท ซึ่งเป็นประตูรั้วสีทองขนาดใหญ่ พบว่าด้านหน้าฝั่งถนนมีทางขึ้นสถานีรถไฟลอยฟ้าอยู่ พอมองย้อนยังถนนด้านหลังที่เพิ่งขับผ่านมาก็ตกใจว่ามีทางเดินของรถไฟฟ้ามาตลอดทางตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ระหว่างที่ขับมานั้นไม่ได้สังเกตเลย แต่ก็ยืนยันว่าบริษัทนี้ใหญ่โตและครบครันเอาเรื่อง

 

อุปสรรคแรกที่พบไม่ใช่ยามหน้าประตู พวกนั้นยอมให้เข้าเพียงแลกบัตรประชาชนหรือใบขับขี่เท่านั้น ที่น่ากลัวสำหรับกานต์คือเจ้าหน้าที่รับแขกคนงามที่ยืนตรงเคาน์เตอร์หน้าสำนักงานใหญ่ต่างหาก

แน่นอนว่าเมื่อขอพบกับนายดิวาห์ คอนเนอร์ แล้วก็ต้องปะเข้ากับสายตารังเกียจ หญิงในชุดฟอร์มสีฟ้าขาวรัดรูปมองประหนึ่งว่าพวกหล่อนเป็นใครจะมาพบผู้จัดการพิเศษของ คอนน์ รีเทลลิ่งยะ

ยิ่งเห็นการแต่งตัวของวินิมัย ได้แก่เสื้อเกาะอกกับขากางเกงขาห้าส่วนสีดำทับด้วยเสื้อสูททวีตสีเทายาวและรองเท้าส้นสูงสีแดง ซึ่งล้วนเป็นของแพงทั้งชุด สายตานั่นยิ่งหมั่นไส้เป็นทวีคูณ

แต่พอวินิมัยแจ้งให้บอกนายดิวาห์ว่าทั้งคู่มาคุยเรื่องของคนชื่อธามทศ สายตานั้นก็เปลี่ยนไป และรีบติดต่อหาทันที

ท่าทางและคำพูดนั้นเปลี่ยนไปเป็นหลังมือ “คุณดิวาห์แจ้งว่าจะมาพบในอีกหนึ่งชั่วโมง ระหว่างที่รอขอเชิญพวกคุณนั่งพักตามอัธยาศัยค่ะ หรือจะไปเดินดูส่วนของเอาต์เล็ตก็ได้นะคะ” เจ้าหน้าที่ผายมือไปทางขวา เป็นเบาะอย่างหรูสำหรับรับแขก เลยออกไปจะเป็นกำแพงกระจก ซึ่งเมื่อมองทะลุไปด้านนอกจะพบอาคารชั้นเดียวสีครีม เพดานสูงและกว้างขวางราวกับห้างขนาดย่อมหรือไม่ก็ซูเปอร์มาร์เก็ตหรูๆ มีลวดลายสีขาวบนประตูทางเข้าเขียนไว้ว่า KONN – OUTLET

“งั้นขอนั่งรอดีกว่าค่ะ” วินิมัยที่น่าจะไม่มีอารมณ์ช็อปปิงตอนนี้บอกปฏิเสธ ทั้งสองจึงมานั่งจุมปุ๊กที่เบาะสีแดงแทน

เมื่อลองหย่อนตูดดูก็พบว่าเบาะพวกนี้นั่งสบายเกินคาดมาก แต่กานต์กลับปล่อยตัวผ่อนคลายไม่ลง เพราะสีหน้าโกหกของวินิมัยยังคั่งค้างในหัว

แต่พอจะลองถามเรื่องเป้าหมายต่อไปของธามทศดูอีกครั้ง ก็สังเกตว่าสายตาของวินิมัยกำลังมองไปทางอื่น

ที่สุดสายตาคือโซนที่ถูกกั้นเป็นห้องเอาไว้จัดนิทรรศการ แม้จะมีประตูไม่ใหญ่มาก แต่มองเข้าไปก็พอจะคะเนได้ว่าน่าจะจุคนได้มหาศาล

เอาไว้จัดนิทรรศการสินค้าใหม่งั้นหรือ แต่ก็ไม่น่าจะเอาไว้ในสำนักงานใหญ่นะ กานต์คิดเรื่อยเปื่อยพลางมองไปที่ป้ายตั้งพื้นกรอบสีขาว

นิทรรศการประวัติและผลงานแห่ง ธุพาณ คอนเนอร์

หน้าทางเข้าอีกฝั่งมีรูปขนาดใหญ่ตั้งโชว์อยู่บนฐานสีเทา แสดงใบหน้าของอดีตผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้ที่ผลักดันให้คอนน์ รีเทลลิ่งเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ร่างสันทัดในเสื้อเชิ้ตขาวทับด้วยเบลเซอร์สีกรมกับกางเกงยีนส์ฟอกซีดออกสนิม มีหนวดสีขาวขึ้นรอบกรามใหญ่ ดวงตาใสเหมือนจะใจดี และผมที่ขาวโพลนมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม

จัดนิทรรศการแบบนี้ ดูเหมือนจะมองว่าตายไปแล้วเลยแฮะ…

ไม่ช้าวินิมัยก็ลุกขึ้น ชี้นิ้วไปที่นิทรรศการนั่น

 

ด้านในมีขนาดใหญ่กว่าที่เห็นภายนอกจริงๆ ด้วย กานต์ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไร แต่บรรยากาศด้านในคล้ายโรงภาพยนต์หรูที่เคยเข้าใช้บริการบ่อยๆ

นิทรรศการถูกแบ่งออกเป็นหลายซุ้ม แสดงรายละเอียดด้านต่างๆ ของธุพาณ แต่ละซุ้มถูกจัดวางอย่างดี ไม่ซับซ้อน แต่ก็ดูไม่โล่งเกินไปสำหรับอาคารที่มีเพดานสูงเช่นนี้

เขาเดินไปดูที่ป้ายกระจกขนาดใหญ่ที่เป็นทรงคางหมู หันด้านแหลมขึ้น ดูแล้วน่าจะสูงสักสองเมตรได้ เมื่อดูชัดๆ ก็เห็นชัดว่าภายในมีตัวหนังสือสลักไว้

‘รวมผลงานอันโดดเด่นของ ธุพาณ คอนเนอร์’

รายการผลงานนั้นมีประมาณสามสิบ โดยที่ด้านหลังแต่ละรายการจะมีตัวเลขของซุ้มสลักอยู่ เขาร้องอ๋อ ป้ายกระจกนี้มีไว้นำทางคร่าวๆ สินะ มิน่าถึงมีแผนที่แสดงตำแหน่งซุ้มต่างๆ ติดบนกำแพงซึ่งห่างออกไปจากป้ายนี้ไม่ถึงสองเมตรดี

งั้นหรือ ไม่มีกล่าวถึงสวนแสงหวนรังสินะ แน่ละ เพราะธุพาณน่าจะขายทิ้งไปตั้งนานแล้ว

“ระบบสอดแนมโดยใช้เซนเซอร์แอนตี้โซนงั้นหรือ” วินิมัยเดินมาข้างๆ เมื่อไรไม่รู้ จ้องมองดูผลงานของธุพาณ ชุดที่เธอสวมนั้นไม่เหมือนมาทำธุระสำคัญ แต่ในอีกมุมกลับดูสวยเหมาะกับสถานที่ไฮแฟชัน “ชื่อไม่คุ้นเลยแฮะ”

“รู้สึกจะเป็นโครงการแรกๆ ของบริษัทน่ะครับ ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อจากอิเล็กทรอนิกซ์มาเป็นรีเทลลิ่งเสียอีก เป็นสินค้าคล้ายๆ โดรนที่จะปล่อยเซ็นเซอร์ออกมาในแนวตั้งฉาก กระทบสู่พื้นที่ไหนก็จะสามารถเห็นภาพภายในของพื้นที่นั้นๆ ได้ทั่วทุกทิศเลย”

“โห มองทะลุเพดานได้เลยหรือ”

“ไม่เชิงครับ หากลงสู่เพดานอาคารหรือบ้านเรือน ภาพที่ได้จะออกแนวคลื่นโซนาร์แทน คือเห็นเป็นรูปร่างแต่ไม่ชัดถึงรายละเอียด

“ก็ยังถือว่าสุดยอดอยู่ดี แต่แบบนี้น่าจะผิดกฎหมายนะ”

เขาขำ “ผิดสุดๆ เลยละครับ นอกจากนี้ เพราะไม่ยอมอนุญาตให้กองทัพกับทางตำรวจของประเทศ V นำไปใช้ในเชิงการเมือง จึงถูกแบนยาว แถมยังถูกฟ้องเรื่องความถี่ที่ไปรบกวนอุปกรณ์อื่นๆ อีก โครงการเลยโดนพับไป”

“แล้วอันนี้ล่ะ” วินิมัยชี้ไปยังรายการ ‘โครงการพัฒนาบุคลากรวัยเยาว์อันยั่งยืน’

ชื่อกำกวมแฮะ อันนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจ ทั้งที่โครงการอื่นก็พอทราบเกือบหมดแท้ๆ อันที่จริงชื่อโครงการที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนน่าจะได้รับการโปรโมตมากกว่านี้นะ

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วตัดสินใจลองไปดูที่ซุ้มของรายการนี้

 



Don`t copy text!