ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 8 : ลองดี

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 8 : ลองดี

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

พินธา ลอยาร์ด กำลังเฝ้ารอใครบางคนมาพบ บนโต๊ะทำงานทรงเรียบนั้นมีเอกสารน่าปวดหัวเต็มไปหมด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอกังวล หญิงวัยห้าสิบอยู่ในชุดสเวตเตอร์แขนยาวกับชุดกระโปรงรัดรูปสีเทาทั้งตัว นั่งนวดขมับตัวเองช้าๆ

สิบเอ็ดปีที่ก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา แม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็มั่นคงพอสมควร ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่พบเรื่องแปลกประหลาดขนาดนี้…คิดแล้วก็อยากเกษียณตัวเองเสียที แต่เพราะมีชะนักติดหลังจึงมิอาจทำได้

อากาศในห้องนั้นร้อนเหนอะหนะ แม้จะบอกว่าเป็นห้องประธานก็ตาม แต่เฟอร์นิเจอร์ในห้องก็ไม่ได้ตกแต่งด้วยของหรูหรา ทั้งหมดล้วนมีไว้เพื่อใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นตู้เก็บเอกสารหรือเก้าอี้รับแขกล้วนแต่เป็นแบบเรียบง่ายไม่โดดเด่น ของประดับเดียวคือดอกไม้สีน้ำตาลที่ถูกสตัฟฟ์ไว้ในกล่องใสข้างโต๊ะทำงานเท่านั้น เธอไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้ออะไร

เคยคิดมาตลอดว่าจะสอนลูกๆ ของตนให้ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แต่ดันหย่าและเสียสิทธิในการเลี้ยงดูไปก่อน

คิดแล้วก็ปวดหัวจึงหันมาสนใจงานดีกว่า รอประมาณสิบนาทีหลังเรียกตัวคนที่อยากคุย หน้าประตูห้องก็เกิดเสียงเคาะเรียกดังปึงๆ เธอเอ่ยอนุญาตให้ผู้เคาะเดินเข้ามาได้

ผู้ที่เข้ามาคือสาวงามแห่งฝ่ายบัญชีที่ใครต่างก็หวาดผวา

“ประธานเรียกพบฉันหรือคะ”

“วินิมัย…” พินธาเอ่ยชื่อเบาๆ ทั้งสำหรับทักทาย และทั้งแสดงความระอาให้ทราบ

ทุกครั้ง…สายตาของหญิงสาวนั้นไร้ความหวาดกลัว ต่างกับพนักงานคนอื่นยามถูกเรียกพบ ไม่มีใครทำให้วินิมัยหวั่นไหวได้ แม้แต่ประธานยังต้องยอม นั่นคือสิ่งที่ทุกคนในเฮลป์เปอร์ทราบดี

แต่วันนี้ต่างออกไป มันดูเหนื่อยล้าและเปราะบาง

“ฉันทราบเรื่องที่เธอพาคนชื่อธามทศเข้ารักษากับฝ่ายพยาบาลแล้ว ไม่ค่อยพบใครที่รอดจากกฎหลอนได้ถึงสองครั้ง แถมยังไปเจอกับกฎพวกนี้ในเวลาห่างกันไม่ถึงสองวันอีก”

วินิมัยไม่ตอบอะไร ก้มหน้างุดผิดวิสัย

“ทราบเรื่องมาจากกานต์แล้ว ธามทศคืออดีตคนรักของเธอสินะ”

“ไม่มีผลต่อการตัดสินใจค่ะ ฉันทำตามหน้าที่ ส่วนที่ตามหาเขานั้นก็อยู่นอกเวลาทำการ”

เมื่อเห็นท่าทีเจ็บปวดและลุกลน เธอปรามด้วยเสียงเรียบ “ฉันไม่ได้ว่าอะไร…แค่อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น”

พินธาจ้องไปยังคนที่ตนมองเสมือนน้องสาว แน่ละที่วินิมัยยังไม่ถูกพวกกรรมการหรือระดับสูงเล่นงานเรื่องพฤติกรรม ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอคอยคุ้มกะลาหัวอยู่

“คนชื่อธามทศต้องการอะไรจากการเข้าไปลองดีกับกฎพวกนั้น แถมยังเห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาก่อนแล้วอีก”

“ถึงฉันถามไป เขาก็คงไม่ตอบหรอกค่ะ”

ไม่หลบสายตาแต่ก็มิได้จ้องเขม็งเหมือนเช่นเคย ดูท่าจะไม่ได้โกหก

“แล้วอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“สาหัสเอาการค่ะ มีกระดูกหักและได้รับพิษเข้ากระแสเลือด จากกฎของห้องแชตนั้น สิ่งที่จะติดตัวออกมาอย่างถาวรคือพวกข้าวของกับบาดแผล สารพิษที่ถูกฉีดดูเหมือนจะไม่ถูกนับรวมในกฎด้วย”

“งั้นหรือ…แล้วอีกนานไหมกว่าจะฟื้น”

“แพทย์ที่ดีลกับทางเราแจ้งว่าน่าจะอีกหลายวันเลยค่ะ”

“ถ้างั้นฉันจะให้เธอกับกานต์ไปตรวจที่ห้องพักของเขาละกัน”

วินิมัยร้องเอ๋ คงคิดไปว่าจะถูกเธอห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เรามีหน้าที่ในการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้เข้าไปเจอกับกฎเหล่านี้…แต่หากมีคนที่คิดลองดีด้วยตัวเองถึงสองครั้งและยังรอดออกมาได้ เท่ากับว่าเป็นสิ่งที่ทางเราต้องหาเหตุผลและเตรียมการป้องกัน…” พินธาพูดแถไปอย่างนั้น ในใจแค่สังหรณ์ว่าต้องรู้ความจริงให้ได้

“แล้วพอเดาออกไหมว่านายธามทศทราบเรื่องเกี่ยวกับกฎพวกนี้มาจากแหล่งไหน”

วินิมัยกลืนน้ำลาย

“ธามทศน่าจะพอทราบกฎของสวนแสงหวนรังอยู่แล้ว จากท่าทีที่ถูกอัดไว้ในกล้องจรปิด แต่ในทางกลับกัน เรื่องของกฎห้องแชตต้องสาปนั้น ดูเหมือนจะทราบแค่ข่าวลือบางส่วน เห็นได้จากที่ไม่มีลิงก์ของเว็บอยู่กับตัว”

นั่นสินะ ถึงขั้นต้องมาหลอกพนักงานที่ชื่อกุลญา เชื่อได้เลยว่าต่อให้นายธามทศฟื้นขึ้นมา ก็คงรนหากฎแปลกๆ มาใส่ตัวอีกนั่นแหละ ทางเฮลป์เปอร์เองก็ไม่มีอำนาจในการควบคุมตัวเสียด้วย

เมื่อไม่มีทางเลือก พินธาอนุญาตให้วินิมัยและกานต์พักงานได้สองวัน กำชับว่าต้องได้ข้อมูลมาอย่างน้อยสักหนึ่งหรือสองประเด็น แม้ในใจจะเริ่มเดาอะไรออกแล้วก็ตาม…

“เรื่องภาษีของแต่ละเดือน ขอให้ยื่นผ่านออนไลน์ที่บ้านเธอเลยละกัน”

หญิงสาวพยักหน้ารับทราบ แต่ก่อนจะออกจากห้อง เธอตัดสินใจถามออกไป

“มัย…แล้วพวกมันยังอยู่ไหม”

สาวงามชะงักกับคำถาม หันมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ นั่นเพราะทั้งคู่ไม่ถกกันถึงเรื่องผีเปรตและผู้หญิงเลือดท่วมมานานแล้ว

“ยังอยู่ค่ะ”

วินิมัยตอบโดยไม่แสดงสีหน้า ต่างกับเรื่องของธามทศลิบลับ จากนั้นจึงออกจากห้องไปเงียบๆ

 

ธามทศนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงขาว มีบาดแผลน้อยกว่าที่คาด แต่สีหน้านั้นอิดโรยและทรุดโทรมอย่างเห็นชัด แต่กระนั้นยังมิวายหล่อระดับเทพบุตร

กานต์ไม่ชอบขี้หน้าของธามทศ แต่ก็ยอมรับว่าคงมีดีพอให้วินิมัยสละชีวิตแทนได้ คิดแล้วก็ทรมานในอก เขาพยักหน้าอย่างเกรงใจให้พยาบาลสาว เธอเดินจากไป ทิ้งเขาไว้กับธามทศสองคน

จากนั้นจึงลองเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าด้านซ้ายของเตียง แล้วเริ่มรื้อดูของด้านในกระเป๋าสะพาย

สิ่งของด้านในเต็มไปด้วยอาหารแท่งให้พลังงานสูง น้ำดื่ม กล่องบรรจุคอนแท็กต์เลนส์ที่ยังไม่เปิดใช้จำนวนสองกล่อง อาวุธหลายชิ้นทั้งมีด ปืน และกระบอง แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงไม่พ้น…‘เอกสารชุดหนึ่ง’

จะเรียกว่าเอกสารก็ยังกระไรอยู่ เรียกว่าเป็นกระดาษเก่ากึกที่ถูกเย็บมุมซ้ายบนติดกันเป็นชุดจะดีกว่า เนื้อกระดาษเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลแล้วด้วย เพราะดูโสโครกชอบกล เขาจึงจับมันด้วยความรังเกียจ

แผ่นนอกสุดนั้นไม่มีอะไรเขียนอยู่ แต่มองทะลุไปถึงแผ่นหลังก็มองออกเลาๆ ว่ามีตัวหนังสือเรียงรายเป็นประโยคทั้งหน้ากระดาษ ไม่สิ เป็นการเอาหน้าแรกที่ถูกเขียนหันไปชนกับหน้าที่สองต่างหาก คงไม่อยากให้ใครมาเห็นเนื้อหาด้านใน แล้วทำไมไม่เอาอะไรมาปิดไว้นะ แต่ก็แค่นั้น อันที่จริงสมัยเรียนประถม เขาก็เคยเห็นพวกเพื่อนๆ ทำแบบนี้เหมือนกัน แต่ยังไงก็ช่างเถอะ

ยังไม่ทันได้เปิดออกอ่าน หูซ้ายก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ

กานต์ขนหัวลุก ใจหายวาบ ค่อยๆ หันไปมองทางประตูก็ไม่พบผู้ใด ไม่สิ มีบางอย่างผิดปกติอยู่ นั่นเพราะก่อนถึงประตูจะมีชั้นวางของเตี้ยๆ อยู่ มันทำจากไม้และอยู่ห่างจากส่วนของตู้เสื้อผ้าประมาณสามเมตร

ด้านบนของชั้นวางสำหรับพวกของเยี่ยมไข้ อันที่จริงคนที่มาพักในส่วนพยาบาลของเฮลป์เปอร์คงไม่มีใครมาเยี่ยมหรอก ชั้นวางนี้จึงมีไว้เพื่อประดับเท่านั้น และไม่เคยมีอะไรวางอยู่

แต่บัดนี้ บนชั้นวางนั้นมีมีดคัตเตอร์สีดำกำลังวางนิ่ง ราวกับกำลังหลับใหล

ตัวกานต์เองทำงานด้านนี้มานานและมิใช่คนขลาด แต่ก็ทราบดีว่าไม่ควรเข้าไปแตะต้องของบนชั้นวางนั่น ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เขาสะดุ้งอีกครั้งแล้วรีบรับสาย

เป็นสายที่รอมานาน ใจของชายหนุ่มสงบลงเมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงที่โทร.เข้ามา

 

เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว กานต์ได้มีโอกาสค้นข่าวของธามทศที่ปรากฏในเว็บไซต์สำหรับสืบค้นข้อมูลต่อจากครั้งก่อน

เนื้อข่าวนั้นสั้นมาก และไม่สามารถหารายละเอียดเพิ่มได้ รูปภาพส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะหมดอายุไปแล้ว แต่ตัวเนื้อหานั้นยังอยู่

พาดหัวข่าวนั้นคือ

หนุ่มเดือดชกหน้าคนไม่รู้จักแหก ซ้ำยังโวยวายก่อนจะกระทืบเกือบสลบ

เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๐๒๓ บริเวณสะพาน U ใกล้กับถนน V นายธามทศ เอลีน ก่อเหตุทำร้ายร่างกายคนที่เดินผ่านบนท้องถนน

ผู้เคราะห์ร้ายคือนายภากร อารยนนท์ อายุยี่สิบเอ็ดปี ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง

กันยายน ๒๐๒๓ เมื่อสามเดือนที่แล้วเองใช่หรือ แล้วทำไมข่าวทั้งหมดจึงมีแค่นี้ล่ะ ถ้าจะบอกว่าถูกปิดข่าวก็คงฟังขึ้นอยู่หรอก แต่ตัวนายธามทศมีอำนาจถึงขั้นนั้นเชียวหรือ

เมื่อทำการค้นชื่อของนายภากรลงในเว็บไซต์ค้นหา ก็พบเรื่องที่น่าแปลกใจ และนั่นคือสาเหตุที่เขาต้องติดต่อขอคุยกับริลนาผู้เป็นอดีตแฟนสาวของพี่ชายเขาเอง

แรกเริ่มเขาติดต่อนัดหมายริลนาผ่านทางข้อความ แต่ทางนั้นบอกว่าอีกสักพักจะโทร.กลับเพราะติดงานด่วน และเมื่อเขาไปหาธามทศถึงห้องพยาบาลได้ไม่นาน ริลนาก็ติดต่อกลับมา และน้ำเสียงของคนที่เคยคุ้นหน้าในอดีตยังคงเหมือนเดิม มันอ่อนหวานและไร้ความรู้สึก

“สวัสดีจ้ะ กานต์…”

“สวัสดีครับ พี่ริลนา”

เขาอยากจะถามว่าสบายดีไหม แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

“ผมมีเรื่องขอให้ช่วย”

หลังเล่ารายละเอียดเบื้องต้น ริลนามีน้ำเสียงสดใสขึ้นพอควร

“ภากรเป็นรุ่นน้องของพี่เอง ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร แต่เคยเรียนวิชาเลือกคาบเดียวกันอยู่ เพราะงั้นคงพอติดต่อให้ได้”

กานต์แอบกำหมัดสะใจ จากที่ค้นมา นายภากรเรียนจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีของมหาวิทยาลัย B คณะเดียวกับวินิมัยและนายธามทศ คาดไว้ว่าคงเกี่ยวข้องกัน แต่เพราะอยู่คนละมหาวิทยาลัยกับทั้งสองหน่อนั่น ถึงถามไปก็คงไม่ได้ข้อมูล จึงเลือกถามริลนาที่จบบัญชีจากที่เดียวกับนายภากรดีกว่า

“เดี๋ยวพี่จะส่งเบอร์เขาไปให้”

“ขอบคุณมากครับ รบกวนพี่นาด้วย ขอโทษนะที่เล่ารายละเอียดมากไม่ได้”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ พี่รู้ว่างานของเรามันเกี่ยวพันกับชีวิตคนอื่น”

ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ความปวดร้าวอยู่ในทุกลมหายใจของเขาและริลนา

“ว่างๆ เรามานั่งคุยเรื่องพี่เขาบ้างนะครับ”

ได้ยินเสียงสะอื้นและสูดหายใจลึก ริลนาตอบว่า

“แล้วจะหาเวลาไปนะ”

 

รถสีขาวกำลังแล่นความความเร็วเต่าคลาน นั่นเพราะการจราจรโคตรติดขัดในยามเที่ยงของวันทำงาน บรรยากาศภายนอกมืดลงแล้ว แต่แสงไฟตามเสานั้นไม่เพียงพอต่อการมองเห็นเท่าที่ควร

วินิมัยกับกานต์กำลังเดินทางไปที่หอพักของธามทศ ครั้งนี้เธอเป็นคนขับ

“ผมคิดว่าคุณมัยน่ะจะโกรธเสียอีก” กานต์หมายถึงเรื่องที่เขาเล่ารายละเอียดของธามทศให้พินธาฟัง

“เปล่าสักหน่อย นั่นคือสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว จะเก็บไว้ก็ไม่ได้อะไรหรอก” เธอไม่ได้โกหก อันที่จริงรู้ตัวดีว่าคนที่โกรธควรจะเป็นกานต์ต่างหาก นอกจากจะต้องหยุดงานประจำแล้ว ยังต้องมาตามเรื่องของธามทศร่วมกับหญิงที่แอบรักอีก คิดแล้วก็รู้สึกเกลียดตัวเองชะมัด

ก่อนหน้านี้เธอขอโทษเขาไปรอบหนึ่งแล้ว พร้อมเสนอว่าจะตามเรื่องนี้เพียงคนเดียว แต่กานต์กลับปฏิเสธหน้านิ่ง พร้อมย้ำว่าตนยินดีที่จะทำ

‘นังแพศยา หลอกใช้คนที่แอบรัก’ นั่นคือสิ่งที่วินิมัยก่นด่าตัวเอง

“เอ้อ” กานต์ส่งเสียงทำลายความทะมึนในรถ

“ฝ่ายไอทีแจ้งว่ามือถือของธามทศนั้นสภาพเละเทะเอาเรื่องจากการตกระเบียง แถมยังเข้ารหัสไว้ กว่าจะกู้ข้อมูลได้คงอีกนานครับ”

“งั้นหรือ ช่วยไม่ได้นะ”

ก็คงต้องตามนั้น…ทางเฮลป์เปอร์ก็ไม่ใช่ศูนย์ซ่อมบำรุงเสียหน่อย

ไม่ถึงสิบห้านาทีก็มาจอดที่หน้าคอนโดฯ ที่ธามทศพักอยู่

“ผมให้เจ้าหน้าที่มาติดต่อเพื่อตัดไฟห้องของเขาแล้ว เราขึ้นไปถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ก่อนแล้วค่อยแจ้งให้เปิดไฟจะดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับกฎห้องแชตนั่น”

เธอรับทราบ ในมือกำพวงกุญแจที่ได้มาจากฝ่ายพยาบาล ขยำไปมา เพิ่งทราบเมื่อคืนว่ามีเบอร์ห้องติดอยู่ด้วย

ขึ้นลิฟต์ไปชั้นเจ็ด ห้องอยู่เกือบริมสุด ด้านในไม่กว้างมากแต่สะอาดดี

เมื่อเหยียบเข้ามาในห้อง กานต์ก็เริ่มถ่ายรูปข้าวของโดยรอบ ส่วนวินิมัยเดินไปถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ หันไปหากานต์ เขาจึงโทร.ลงไปหานิติบุคคลชั้นล่าง ไม่นานไฟในห้องก็สว่าง

ห้องของธามทศช่างเหมือนบ้านของวินิมัย มันเรียบและมีเพียงของใช้จำเป็น

เมื่อถ่ายรูปเสร็จ กานต์ก็มองที่หน้าจอสมาร์ตโฟนที่สั่นระรัว “ผมขอตัวไปคุยกับนายภากรก่อนนะครับ ได้เรื่องอะไรแล้วจะโทรบอก”

“ให้ฉันไปด้วยเถอะ”

กานต์หันมามองด้วยความอึดอัด เป็นใบหน้าที่เธอไม่คุ้นเคยนัก

“พอดีว่าทางพี่ริลนาจะมาร่วมคุยด้วยน่ะครับ พี่เขาเป็นเพื่อนเก่ากับนายภากร”

“อ้อ งั้นไปเถอะ ฉันจะหาข้อมูลในห้องนี้เอง” ทันทีที่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับแฟนเก่าของพี่ชายกานต์ วินิมัยไม่คาดคั้นต่อ รู้ดีว่าเขาไม่ต้องการให้ใครไปยุ่ง

พอเดินออกจากห้อง กานต์ยังมีใจจะหันมาเตือนวินิมัย “เราไม่รู้รหัสหรอก แต่หากเปิดคอมพิวเตอร์ของธามทศได้แล้ว ช่วงที่เข้าไปในส่วนของเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต มันอาจจะขึ้นว่าจะเรียกเพจเดิมคืนไหม ห้ามกดเรียกคืนนะครับ ไม่งั้นห้องแชตเวรนั่นอาจจะกลับมา”

วินิมัยยิ้มให้ แอบดีใจที่มีคนห่วงใย แต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ให้เกินเลย

 

ทั้งสามนัดพบกันที่ร้านกาแฟเปิดใหม่แถวคอนโดฯ ธามทศ มันอยู่ชั้นล่างของตึกแถวสามชั้นที่ยาวเท่ากับสองอาคาร ตกแต่งเป็นสีขาวสว่าง

ริลนาเป็นคนบุคลิกดี แลดูตัวสูงกว่าความเป็นจริง ใบหน้าเรียวเล็กและคิ้วบาง มาในชุดเชิ้ตทำงานสีขาวกับกระโปรงยาวสีเทา รัดผมยาวให้ความรู้สึกเรียบร้อยเหมือนเพิ่งออกมาจากออฟฟิศ ภายนอกดูเศร้าสร้อยกว่าแต่ก่อน แต่ยังอ่อนหวานและมีดวงตาชวนฝันเช่นเคย ไม่แปลกที่พี่ของเขาเคยหลงใหล

ส่วนภากรนั้นเป็นชายวัยเดียวกับพี่ของกานต์และริลนา ต่างกันที่การแต่งตัว เพราะมันออกแนววัยรุ่นแบบสุดๆ ซึ่งก็เหมาะกับบุคลิกลุกลนของเจ้าตัวดี ด้วยความที่หน้าตานั้นสะอาดสะอ้าน จึงทำให้กานต์และริลนาดูมีอายุมากกว่าไปโดยปริยาย

แต่น้ำเสียงที่ผรุสวาทออกมาจากปากเล็กๆ นั่น กลับมีแต่ความหยาบคาย ก่นด่า และสาปแช่ง

“ไอ้ห่านั่นมันลอบกัดผม จู่ๆ ก็เข้ามาต่อย แถมยังกระทืบซ้ำ ผมพยายามตอบโต้ และเกือบจะคว่ำมันได้แล้ว แต่รู้ไหม…แม่งใช้อาวุธเว้ย”

ภากรได้ทีก็ใส่ทั้งคำพูดและน้ำเสียง เล่าย้อนไปยามที่ถูกธามทศลอบทำร้ายกลางถนน

ไม่ไหวว่ะ’ เขาคิดในใจพลางจิบกาแฟร้อนแก้วแรก ไม่น่าได้ข้อมูลอะไร แถมรู้สึกเหมือนเป็นที่ระบายอารมณ์มากกว่า แม้จะแอบสะใจที่ได้เห็นคนเกลียดธามทศก็เถอะ

ทางด้านริลนานั้นได้แต่ยิ้มเจื่อนตามประสา ในขณะที่ทางภากรก็ยังใส่อารมณ์ไม่หยุด “จริงๆ เรื่องพวกนี้นะผมไม่ยอมบอกใครหรอก แต่เห็นว่าพี่ริลนาขอร้องจึงยอมเล่า ไอ้เวรนั่นมันขยะสังคมของแท้ มั่นใจเลยว่าต้องเป็นพวกมีคดีติดตัวแน่นอน”

“แล้วทำไมจึงไม่มีข่าวเรื่องนี้ออกมาเท่าไรเลยล่ะ”

“ผมก็สงสัยเหมือนพี่ริลนานั่นแหละ ตำรวจก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบี้คดีต่อ ประเทศ V นี้แม่งสิ้นหวังฉิบหาย”

“แล้วภากรเคยรู้จักคนชื่อธามทศมาก่อนไหม”

ภากรที่ยังบ่นต่อไปไม่หยุดส่ายหัวพั่บๆ “แค่คุ้นหน้า แต่ไม่รู้ชื่อ เพิ่งได้รู้ช่วงที่ตำรวจมาจัดการนั่นแหละ แต่ก็อย่างว่า ไม่กี่วันต่อมาเรื่องแม่งก็เงียบ”

ดูท่าจะจบแค่นี้แหละ กานต์ดูดกาแฟเย็นที่เพิ่งสั่งมาเสริมเมื่อครู่ เตรียมจะขอจบบทสนทนา ส่วนริลนานั้นรู้เท่าทัน จึงส่งสายตามาประมาณว่า ‘เดี๋ยวพี่จะคุยต่อเอง เราไปทำงานเถอะ’

ขอบคุณครับพี่…กานต์ลุกขึ้นเตรียมจะไปจ่ายเงิน  ส่วนภากรนั้นไม่ได้สนใจเขาเท่าไรนัก และยังคงจ้อไม่หยุด

“พ่อแม่ผมก็ไม่เข้าใจ มัวแต่บอกว่าโชคดีแล้วที่ไม่ต้องไปทำงานที่บริษัทแบบนั้น ไม่มีใครสนสักคนว่าผมเสียโอกาสอะไรไปบ้างเพราะไอ้ธามทศ”

กานต์ชะงักกลางอากาศ อะไรกัน พอคิดจะกลับแล้วดันได้ยินประโยคที่ไม่คาดคิดเสียงั้น

“บริษัทอะไรหรือครับ”

“คุณได้ฟังผมพูดไหมเนี่ย ก็บอกว่าเพราะถูกมันทำร้ายทีเผลอ วันต่อมาจึงต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะกล้ามเนื้ออักเสบกะทันหัน วันนั้นผมจึงพลาดการเข้าร่วมงานลงทะเบียนพนักงานใหม่ของ ‘บริษัท คอนน์ รีเทลลิ่ง’ กลายเป็นว่าผมถูกปรับชื่อเป็นสละสิทธิ์เสียงั้น โคตรไม่ยุติธรรมเลย”

สมองเริ่มทำงาน มาถูกทางแล้วสินะ

“ช่วยบอกผมอีกทีว่าบริษัทที่คุณคิดจะเข้าไปทำงานชื่อว่าอะไรนะครับ”

 



Don`t copy text!