The Killing of a Chinese Bookie

The Killing of a Chinese Bookie

โดย : ภาสกร ศรีศุข

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

************************

The Killing of a Chinese Bookie

ผู้กำกับ : John Cassavetes

ผู้อำนวยการสร้าง : Al Ruban

ผู้เขียนบท : John Cassavetes

นักแสดง : Ben Gazzara, Timothy Agoglia Carey, Seymour Cassel, Azizi Johari

ดนตรีประกอบ : Bo Harwood

ผู้กำกับภาพ : Mitchell Breit, Al Ruban, Caleb Deschanel

ผู้ตัดต่อ : Tom Cornwell

เจ้าของไนต์คลับแห่งหนึ่ง ขณะชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ชัชวาล ดันไปเล่นการพนันติดหนี้ก้อนโตมหาศาล ได้รับข้อเสนอปลดแอก แลกกับการฆาตกรรมชายชาวจีนคนหนึ่ง

ใครเคยรับชมผลงานของผู้กำกับ John Cassavetes คงรู้ซึ้งถึงความสนใจของชายคนนี้ เนื้อเรื่องราวหาใช่สาระสลักสำคัญใดๆ มีเพียงแค่การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์เท่านั้นที่ใคร่นำเสนอ

กล่าวคือ The Killing of a Chinese Bookie ไม่ใช่เรื่องราวของการก่ออาชญากรรม การค้นหาแรงผลักดันจูงใจ หรือการตั้งคำถามดี-ชั่ว ถูก-ผิด แต่คือภาพยนตร์นำเสนอพฤติกรรม อารมณ์ความรู้สึก การแสดงออกของตัวละคร/เจ้าของไนต์คลับ สาเหตุที่มาจากความเย่อหยิ่งทะนงตน อวดดี โลภละโมบ เห็นแก่ตัว ยึดมั่นถือมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรี กล้าเรื่องโง่ๆ และที่สุดคือการหลอกตัวเอง

ทำไมต้องเป็นชายชาวจีนที่กำลังจะถูกเข่นฆ่า นั่นคือโลกทัศนคติของชาวอเมริกันที่ถูกปลูกฝังอคติที่ว่าด้วยเรื่องของการจงเกลียดจงชังจากอดีตช้านาน พวกคนจีนเป็นตัวอันตราย ไชน่าทาวน์จึงเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมความชั่วร้าย! ซึ่งบริบทของหนังมีลักษณะเชิงเปรียบเทียบกับ ‘ด้านมืดในจิตใจมนุษย์’ เพื่อให้สามารถเผชิญหน้า ก้าวข้ามผ่าน และสมควรถูกกำจัดทำลายให้ตายคามือ

ด้วยความตามมีตามเกิดของหนัง มีงบเมื่อไหร่ค่อยเรียกทีมงาน/นักแสดงมาถ่ายทำ ตากล้องเลยมักเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามคิวว่าง แต่มีการได้รับเครดิตสองคนคือ Mitchell Breit และ Al Ruban

วิธีการง่ายสุดของหนังอินดี้ทุนสร้างต่ำคือรับอิทธิพลจาก French New Wave โลกทั้งใบคือฉาก ทีมงานปริมาณน้อยนิด ถ่ายทำแบบ Guerrilla Unit ไม่ต้องตระเตรียมการอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ใช้แสงธรรมชาติ เลือกกล้องขนาดเล็กน้ำหนักเบา สามารถยกขยับเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนโดยง่าย ตัวประกอบก็คนธรรมดาสามัญทั่วไป รวดเร็วฉับไว ช้าไม่ได้เดี๋ยวเงินหมด

ทิศทางการกำกับและการถ่ายภาพกล้องเน้นระยะโคลสอัพ จับจ้องใบหน้าตัวละคร ถือเป็นเอกลักษณ์ลายเซ็นของผู้กำกับ Cassavetes เพื่อให้ผู้ชมสามารถสังเกตการขยับเคลื่อนไหว ท่วงท่า สีหน้า แววตา จับมองเข้ามาถึงจิตวิญญาณตัวละคร นี่เรียกว่าเทคนิคการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์

ไนต์คลับ/บาร์เปลือย ว่าไปคล้ายๆ หนังเรื่อง Cabaret เป็นสัญลักษณ์ของโลกทั้งใบ การดำเนินไปของชีวิต ไม่ว่าเหตุการณ์เบื้องหลังอะไรจะบังเกิดขึ้น ทุกวันต้องมีการแสดงโชว์ต่อหน้าผู้ชม เรียกเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม สุข-ทุกข์ ดีใจ-เศร้าโศก

สาเหตุที่ต้องเต้นระบำโป๊เปลือย เปิดโชว์วับๆ แวมๆ ยั่วเย้ายวนแขกเหรื่อให้เกิดลีลาอารมณ์ นั่นเป็นการสะท้อนกับสื่อภาพยนตร์ที่มักนำเสนอเรื่องราวเบื้องลึก เปิดเผยบางสิ่งที่หลบซ่อนเร้นภายใน (จิตใจ) และเพื่อให้ผู้ชมเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบสนองออกมา

เมื่อพูดถึงหนังแนวอาชญากรรมต้องนึกถึงหนังนัวร์ ซึ่งเรื่องนี้จัดเต็มด้วยแสง สี เงามืด อาบปกคลุม บางครั้งบดบังเรือนร่าง/การกระทำวับๆแวมๆ (เหมือนระบำเปลื้องผ้า) สะท้อนสภาพจิตวิทยาตัวละครออกมา

อย่างช็อตที่หลังการปลดหนี้ เดินทางไปดื่มฉลองความสำเร็จ แต่ทั้ง Sequence กลับปกคลุมด้วยความมืดมิดครอบงำตัวละคร สาเหตุเพราะชีวิตของเขาต่อจากนี้ถือว่าไร้ซึ่งเป้าหมายปลายทางอีกต่อไป อิสรภาพมันช่างว่างเปล่า ไร้สีสัน มองไม่เห็นอะไร

สังเกตว่าหลายๆ ทิศทางการกำกับของหนัง ก็รับอิทธิพลจาก Cabaret ด้วยเช่นกัน อาทิ มุมกล้องด้านหน้า-ด้านหลังเวที การจัดแสงสี โดยเฉพาะซาวนด์เอฟเฟ็กต์ ผู้ชมส่งเสียง-โห่-ปรบมือ ปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างการแสดง ฯ

ตัวละคร Mr. Sophistication เปรียบเสมือนอีกด้านหนึ่ง อวตาร ตัวตนแท้จริงของ Cosmo Vittelli ที่มิอาจเปิดเผยออกมาให้ใครเห็น เลยมอบหมายให้ชายคนนี้กลายเป็นนักแสดงบนเวที ผู้ชมต่างขบขันทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความน่าหัวร่อแม้แต่น้อย

ห้ากุ๊ยมาเฟียถือเป็นสัญลักษณ์ความชั่วร้ายด้านมืดภายในจิตใจที่พยายามกีดกั้นขวาง สร้างอิทธิพลครอบงำเพื่อไม่ให้ Cosmo Vittelli ได้รับอิสรภาพ ชัยชนะ หรือพบเจอแสงสว่างแห่งชีวิต

ซึ่งหลังจากปฏิบัติภารกิจมอบหมายสำเร็จ การถูกหักตลบหลัง สะท้อนถึงการดิ้นรนของความชั่วร้าย ด้านมืดภายในจิตใจ กิเลสมารผู้ไม่ยินยอมพ่ายแพ้ หลุดจากพันธนาการฝังลึกในจิตใจคนโดยง่าย

สำหรับชายชาวจีน อย่างที่บอกไปคือสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย เพราะหนังไม่อธิบายเบื้องหลังตัวละครจนกระทั่งถูกฆาตกรรมสำเร็จ แสดงถึงการเหมารวมทางเชื้อชาติ ความรังเกียจเหยียดเชื้อชาติของชาวอเมริกันที่มีต่อคนผิวเหลือง

สถานที่ตายของชายชาวจีนคือห้องอาบน้ำ สัญลักษณ์ของการชะล้างสิ่งโสโครก สกปรกโสมม หรือด้านมืดภายในจิตใจมนุษย์ เมื่อสามารถทำการเข่นฆ่าทำลายล้าง ก็ย่อมบริสุทธิ์ใสสะอาด ราวกับทารกแรกเกิดใหม่

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ‘A Show Must Go On’ ขนาดว่าต้องเดินทางไปเข่นฆ่าชายชาวจีน ยังโทรศัพท์มาติดตามการแสดงที่ไนต์คลับ หรือตอนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ยังดิ้นรนมาทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ช่วงท้ายมีการนำเสนอชุดการแสดงใหม่ ถือว่าสะท้อนปิดฉากเรื่องราวเดิม ชีวิตก้าวข้ามผ่านอุปสรรคปัญหา เอาชนะด้านมืดของตนเอง (หนึ่งในนักแสดงสาวผิวสี/ตัวแทนด้านมืดของตนเองได้เลิกราออกจากคณะ) นับแต่นี้จึงเหมือนการเริ่มต้นนับหนึ่งก้าวสู่อนาคตที่สดใส… หรือเปล่านะ

เท่าที่ผู้เขียนสังเกตเห็น หนังจะไม่มี Establishing Shot มาถึงก็เริ่มต้นเลยไม่มีอารัมภบท ค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวทีละเล็กละน้อย ผู้ชมต้องปะติดปะต่อจิ๊กซอว์ เศษขนมปัง ที่เรียงรายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ไล่ลำดับจากนอกร้าน ยืนประกาศหลังเวที ตอนเช้ามีการออดิชัน จากนั้นถึงค่อยพบเห็นบรรยากาศในร้านยามค่ำคืน การแสดงระบำโป๊เปลือย พูดคุยกับทีมงาน และนักดนตรีโผล่มาท้ายสุดเลย (สำหรับการแสดงชุดใหม่)

The Killing of a Chinese Bookie คือเรื่องราวของคนที่มีความเพ้อใฝ่ฝัน สามารถเติมเต็มสำเร็จลุล่วง แต่แล้วดันหลงระเริงปล่อยตัวปล่อยใจ เป็นเหตุให้หวนย้อนสู่จุดเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ตะเกียกตะกาย ดิ้นรนแหวกว่าย ต้องการไต่เต้ากลับยังสรวงสวรรค์อีกครั้ง

หลายๆ คนคงรับรู้ได้ Cosmo Vittelli คือตัวแทนผู้กำกับ John Cassavetes ความเพ้อใฝ่ฝันของเขาคือการสร้างภาพยนตร์ในรสนิยมของตนเอง แต่กลับถูกกีดขวางโดยมาเฟีย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเทียบแทนด้วยระบบสตูดิโอฮอลลีวูด หลังจากเป็นมือปืนรับจ้าง (ได้รับมอบหมายสร้างภาพยนตร์) ถูกทรยศหักหลัง (โดนโปรดิวเซอร์ฉกแย่งชิงโปรเจกต์ไปตัดต่อและโพสต์โปรดักชันโดยไม่ผ่านการเห็นชอบของตนเอง) สร้างร่องรอยบาดแผลกระสุนฝังใน (สัญลักษณ์ของการจดจำฝังใจไม่รู้ลืม) แต่ชีวิต/ไนต์คลับ จำต้องดำเนินเดินต่อไป (The Show Must Go On!)

การศึกษาพฤติกรรมตัวละครของหนังแท้จริงแล้วก็คือสภาพจิตใจของ John Cassavetes ที่เอ่อล้นด้วยความภาคภูมิใจในอาชีพการงาน สามารถเป็นมือปืนรับจ้างปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง แต่วิธีจัดการมาเฟียที่ทรยศหักหลังเขานั่นคือจินตนาการทางอารมณ์ มิสามารถแสดงออกและกระทำอะไรได้ในชีวิตจริง (คือจะให้ Cassavetes ไปดักซุ่มทำร้ายโปรดิวเซอร์ที่ฉกแย่งชิงหนังไปจากตนเอง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแล้ว!)

อธิบายมาถึงตรงนี้คงเห็นภาพชัดถึงความเป็น ‘ศิลปิน’ ของผู้กำกับ John Cassavetes สร้างภาพยนตร์เพื่อสนองตัณหา และความต้องการส่วนตนเองเท่านั้น สไตล์ลายเซ็นโดดเด่นชัดเจน ก็อยู่ที่ศักยภาพของผู้ชมเองว่าจะสามารถทำความเข้าใจหนังได้ลึกซึ้งประมาณไหน

ส่วนตัวชื่นชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ประทับใจความบ้าๆ บอๆ ของ Mr. Sophistication และอารมณ์อันซับซ้อนของ Cosmo Vittelli บีบขยี้ ขย้ำหัวใจ จะเอาตัวรอดจนจบได้ไหม… ก็ไม่รู้เหมือนกัน

Don`t copy text!