Soul

Soul

โดย : ภาสกร ศรีศุข

Loading

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

*************************

ผู้กำกับ : Pete Docter

ผู้อำนวยการสร้าง : Dana Murray

ผู้เขียนบท : Pete Docter, Mike Jones, Kemp Powers

นักแสดง : Jamie Foxx, Tina Fey, Graham Norton, Rachel House, Alice Braga, Richard Ayoade, Phylicia Rashad, Donnell Rawlings, Questlove, Angela Bassett

ดนตรีประกอบ : Trent Reznor, Atticus Ross, Jon Batiste

ผู้กำกับภาพ : Matt Aspbury, Ian Megibben

ผู้ตัดต่อ : Kevin Nolting

โจ การ์ดเนอร์ ครูผู้ควบคุมวงดนตรีโรงเรียงมัธยมแห่งหนึ่งที่ได้รับโอกาสสุดยิ่งใหญ่ในชีวิตที่จะได้เล่นในแจ๊ซคลับที่ดีที่สุดในเมือง แต่การก้าวพลาดเพียงหนึ่งก้าวเล็กๆ ได้พาเขาจากถนนในมหานครนิวยอร์กไปสู่นครก่อนเกิด สถานที่มหัศจรรย์ที่ซึ่งเหล่าวิญญาณดวงใหม่จะได้รับบุคลิกภาพ พฤติกรรมแปลกๆ และความสนใจ ก่อนที่จะไปเกิดบนโลก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะกลับไปสู่ชีวิตของเขา โจร่วมมือกับวิญญาณจอมแก่แดดที่ชื่อ 22 ผู้ที่ไม่เคยเข้าใจความเย้ายวนของประสบการณ์การเป็นมนุษย์ ในขณะที่โจพยายามทำให้ทเวนตี้ทูได้เห็นข้อดีของการมีชีวิตอยู่ เขาอาจพบคำตอบของบางคำถามที่สำคัญที่สุดของชีวิต

Soul จะมีการเล่าเรื่องซับซ้อนให้ย่อยง่าย และเล่าเรื่องโลกหลังความตาย เพียงแต่ Soul อาจจะเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก มีปรัชญาที่แน่นเกินไปบ้าง แล้วปรัชญาบางอย่างก็อาจจะขัดกับความคิดความเชื่อของคนดูบางกลุ่มไปบ้าง แต่โดยรวมก็เป็นหนังที่มีความพยายามในการถ่ายทอดความหมายที่ดีและมีข้อคิดในการใช้ชีวิตที่นำไปประยุกต์ได้ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับมันทั้งหมด

เช่นในดินแดนก่อนโลก หนังนำเสนอว่าบุคลิกภาพของคนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดไว้แต่แรกแล้ว ในขณะที่บางคนอาจแย้งหัวชนฝาว่าบุคลิกภาพมันเกิดขึ้นทีหลัง เกิดขึ้นจากการเลี้ยงดู เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่เราคิดว่าทุกคนควรนำไปปรับใช้กับตัวเองคือ “อย่าทำงานหรือมุ่งไปหาแต่เป้าหมายจนละเลยการใช้ชีวิตหรือความงดงามระหว่างทาง” อย่างตัวละครโจ เขามัวแต่คิดถึงแต่ว่าเขาจะต้องเป็นนักดนตรีแจ๊ซที่ประสบความสำเร็จ และมองว่าสิ่งอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับความฝันนั้นของเขา เช่น การเป็นครูสอนดนตรี หรือกระทั่งความคิดกับความฝันอื่นๆ ของคนรอบตัวเขามันไม่สำคัญหรือไร้ค่า

เราเข้าใจโจที่เขามีความเห็นต่างกับแม่เรื่องอาชีพการงาน แม่ของเขาก็เหมือนผู้ใหญ่ทั่วไปที่อยากเห็นลูกหลานมีงานประจำที่มั่นคง มีสวัสดิการ ฯลฯ มากกว่าเป็นนักดนตรีที่เล่นตามผับตามบาร์ ซึ่งเราก็เข้าใจความคิดเห็นของแม่เขาเช่นกันนั่นแหละ

มันจึงต้องย้อนกลับมาที่คำถามสำคัญหรือหัวใจหลักของเรื่องนี้ว่า “ชีวิตคืออะไร”, “เราเกิดมาทำไม”, “เป้าหมายของชีวิตคืออะไร”, “ชีวิตเรามันก็แค่นี้จริงๆ หรือ” ฯลฯ

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

บางทีผู้เขียนก็คิดนะ ผู้เขียนแค่มีความสุขกับการเขียน ผู้เขียนแค่มีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ผู้เขียนรัก มันจำเป็นด้วยหรือว่า ผู้เขียนจะต้องประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ร่ำรวย หรือยิ่งใหญ่ในทางนั้น ในเมื่อแค่ผู้เขียนได้ทำผู้เขียนก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ แล้วถ้าผู้เขียนต้องทำด้วยความกดดัน ความคาดหวัง หรือการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ผู้เขียนจะสูญเสียห้วงเวลาแห่งความสุขในพื้นที่ที่ผู้เขียนรักไปหรือเปล่า

ก็จริงอยู่ที่ว่าไม่ว่าจะการงานที่มั่นคง เงินทองที่เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนกับปัจจัยสี่ หรือกระทั่งความฝันที่กินไม่ได้ ล้วนมีความสำคัญกับชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งสิ้น แต่อะไรที่มันมากไป มันก็ไม่ดี ความหมกมุ่นกับสิ่งสิ่งหนึ่งอาจทำให้ผู้เขียนหลุดพ้นจากชีวิตจริง และอาจทำให้ผู้เขียนพลาดบางสิ่งบางอย่างในชีวิตไป ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้เขียนเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น บ้าทำแต่งาน ติดอยู่ในกับดักของความสำเร็จที่สังคมตีกรอบ ไม่ว่าจะเรื่องการศึกษา การเงิน หรือการงาน

เราล้วนเคยตั้งเป้าหมายหรือพิชิตเหตุการณ์สำคัญในแบบที่สังคมคิดว่าควรจะมีควรจะเป็น เช่น เรียนให้จบปริญญาตรี มีงานทำเงินเดือนเท่านั้นเท่านั้น มีรถ มีบ้าน มีของใช้แบรนด์เนม ฯลฯ แต่พอเราพิชิตเป้าหมายหนึ่งแล้ว เราก็มีความสุขได้แว้บหนึ่ง จากนั้นเราก็คิดว่า “แล้วยังไงต่อ” เราก็ต้องตั้งเป้าหมายใหม่พิชิตใหม่แล้วก็วนกลับมาอยู่อย่างนี้กระนั้นหรือ แล้วถ้าวันหนึ่งเราเล่นเกมไปถึงเลเวลสูงสุดที่มีทุกอย่างครบแล้ว “มันก็แค่นี้เองหรือ” เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบนี้กันจริงๆ หรือ ถ้าเราไม่ตั้งเป้าแบบนี้ ชีวิตเราจะไร้ความหมายเลยกระนั้นหรือ

จะว่าไปแล้ว ปี 2020 ที่ผ่านมา ก็เหมือนจะเป็นปีแรกในรอบหลายปีของเราที่เราได้ใช้ชีวิตแบบเรื่อยๆ ที่สุด บางวันก็ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกและแผนที่ว่างเปล่า แรกๆ ก็มีความเครียดที่แผนอะไรๆ ก็พังไปแทบทุกอย่างเพราะโควิด-19 จนหมดแรงที่จะไขว่คว้าเป้าหมายหรือกล้าคิดฝันที่จะทำอะไรใหม่ แต่ในเมื่อเรายังทำอะไรไม่ได้กับไวรัสนี้ไม่ได้มาก เราก็ควรพยายามมองหาและให้ความสนใจแต่ในสิ่งดีๆ ท่ามกลางสิ่งแย่ๆ ในแต่ละวัน บอกตัวเองว่าโลกนี้ก็ยังมีสิ่งที่สวยงามอีกมากมาย

ผู้เขียนได้ค้นพบว่าเมื่อตัวเองเดินช้าลงหรือมองไปข้างหน้าน้อยลง เราอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ได้ค้นพบความชอบความสนใจใหม่ๆ และเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน เช่น การเห็นต้นไม้ที่เลี้ยงไว้แตกใบใหม่ การนอนกอดหมาหรือการดื่มโกโก้ทุกคืนก่อนนอน

คล้ายๆ กับเจ้าวิญญาณน้อยที่ชื่อว่า 22 เธอไม่ได้ค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่จากแรงผลักดันของความสำเร็จของคนอื่น เธอผ่านมือพี่เลี้ยงคนดังระดับโลกมามากมาย ไม่ว่าจะแม่ชีเทเรซ่า โคเปอร์นิคัส ลินคอร์น ออร์เวล ฯลฯ แต่ไม่มีใครที่เติมเต็มหรือจุดประกายเธอได้เลย จนกระทั่งเธอมาเจอโจ คนธรรมดาที่ไม่ยิ่งใหญ่ (หรือค่อนไปทางล้มเหลวเบาๆ ด้วยซ้ำถ้าวัดจากค่านิยมหรือบรรทัดฐานของสังคมทุนนิยมในปัจจุบัน) เธอได้ค้นพบว่าเธอมีความสุขกับการกินพิซซ่า ฟังเพลง ดูใบไม้ร่วง พระอาทิตย์ตกดิน ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งงดงามที่ผู้ใหญ่หลายคนมักหลงลืม มองข้าม หรือเลิกให้ค่ากันไปแล้ว

จะบอกว่ามันเป็นสุขนิยมที่เกินจริงไปหน่อยก็ได้ เพราะชีวิตจริงเหมือนจะไม่อนุญาตให้คนเรามีชีวิตได้กับสิ่งเล็กๆ แค่นั้น หรือบางที ถ้ามองอีกมุม จริงๆ แล้ว ชีวิตมันก็ควรจะมีแค่นี้แหละตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ แต่ก็นั่นแหละ เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับหนังทั้งหมด เราแค่ให้ความสำคัญกับสิ่งดีๆ ของมัน และมีความสุขไปกับมัน แค่นี้ก็บรรลุเป้าหมายของการดูหนังเรื่องหนึ่ง และบรรลุเป้าหมายของคนทำหนังเรื่องนี้เข้าแล้วเช่นกัน

Don`t copy text!