Burning

Burning

โดย : ภาสกร ศรีศุข

Loading

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

************************

Burning

ผู้กำกับ : Lee Chang-dong

ผู้อำนวยการสร้าง : Lee Joon-dong, Lee Chang-dong

ผู้เขียนบท : Oh Jung-mi, Lee Chang-dong

อ้างอิงจากเรื่องสั้น Barn Burning โดย Haruki Murakami

นักแสดง : Yoo Ah-in, Steven Yeun, Jeon Jong-seo

ดนตรีประกอบ : Mowg

ผู้กำกับภาพ : Hong Kyung-pyo

ผู้ตัดต่อ : Kim Hyeon, Kim Da-won

อีจงซู ชายหนุ่มผู้ยากไร้ผู้มีอดีตอันซับซ้อนได้ไปพบกับชินแฮมี หญิงสาวแปลกประหลาดที่กลายเป็นว่าเธอคืออดีตเพื่อนบ้านที่เขาห่างเหินไปนาน ทั้งสองกลับมาสานสัมพันธ์เพราะหญิงสาวอยากให้ชายหนุ่มดูแลแมวที่เธอเลี้ยงไว้ระหว่างที่เธอเดินทางไปต่างประเทศ เวลาผ่านไป ชินแฮมีเดินทางกลับมาเกาหลีและร้องขอให้อีจงชูมารับ แต่ครั้งนี้เธอกลับมาพร้อมกับเบน ชายหนุ่มลึกลับผู้ร่ำรวยที่หญิงสาวบอกว่าพบเจอระหว่างการเดินทาง เมื่อตัวละครครบ เรื่องราวของหัวใจด้านความหวังและด้านมืดของตัวละครสุดแสนซับซ้อนก็ได้เริ่มขึ้น

ก่อนไปชมหนังเรื่องนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ของมูราคามิหรือยัง เพราะความที่มูราคามิมีผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้นเรื่องยาวมากมาย ด้วยความที่มีผลงานเรื่องแรกตั้งแต่ปี 1979 แล้วยังขยันเขียนมาจนถึงปัจจุบัน เอาแค่เฉพาะรวมเรื่องสั้นก็มีถึง 5 เล่มเข้าไปแล้ว ปัญหานี้แก้ง่ายๆ ด้วยการแวะร้านหนังสือสักร้านแล้วเปิดอ่านดู ด้วยความที่เรื่องสั้นนี้ความยาวไม่มากนักก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถจบความได้แล้ว แต่ปัญหาถัดมาก็เช่นเดียวกับเวลาที่อ่านงานของมูราคามิหลายๆ ครั้งที่เราจะเพลิดเพลินตากับรสทางภาษาที่แปลกประหลาด ทั้งสำคัญว่าหลายทีเรื่องราวถูกเขียนราวงานแฟนตาซีปลายเปิดที่เรียกร้องการแสวงหาการขุดคุ้ยด้วยปัญญาและประสบการณ์อันแตกต่างของแต่ละบุคคล สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน ความลำบากใจต่อมาคือแล้วเราจะดูหนังหรือตีความเรื่องเล่าของนักเขียนตลอดจนผู้กำกับที่รับไม้ต่อนี้มาได้หรือเปล่า

Burning ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อ Barn Burning แปลเป็นไทยในชื่อ มือเพลิง โดย วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน ผลงานของ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชื่อดังระดับโลกที่ผลงานเคยถูกถ่ายทอดบนจอเงินมาแล้วถึง 11 เรื่อง ผ่านวิสัยทัศน์ของทั้งผู้กำกับญี่ปุ่นเองและต่างชาติ หนังจากนิยายของมูราคามิที่คอหนังคอหนังสือบ้านเราน่าจะคุ้นหูคุ้นตาสุดคงเป็น Norwegian Wood หนังญี่ปุ่นที่ได้ผู้กำกับชาวเวียดนาม อันห์หงตราน มากุมบังเหียนและสร้างจากนิยายที่ดังที่สุดเรื่องหนึ่งของมูราคามิด้วยนั่นเองซึ่งก็มีรสประหลาดตามลักษณะงานเขียนของมูราคามิที่ค่อนข้างเฉพาะตัวอยู่มาก ทำให้หนังจากหนังสือของมูราคามิมักแปลงสภาพเป็นหนังเฉพาะทางอยู่กลายๆ เสมอ

หนังเล่าเรื่องผ่าน 3 ตัวละครหลักซึ่งแต่ละคนจะเริ่มจากความธรรมดาเหมือนไม่มีอะไร เช่นเดียวกับเวลาที่เราเริ่มรู้จักใครสักคนมันผิวเผินขนาดนั้น เราตัดสินเขาจากรูปลักษณ์ จากงานการ จากบุคลิกท่าทาง แต่เมื่อหนังเดินทางไป เราก็ได้เริ่มรู้แง่มุมบางอย่างของแต่ละตัวละครมากขึ้น ไม่ใช่เพราะตัวละครเติบโตขึ้นหรือเปลี่ยนความคิดไปอย่างที่หนังอื่นๆ เป็น หากแต่เป็นเช่นมนุษย์ทั่วไปในชีวิตจริงของเราที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แค่ตัวตนภาคที่เลือกแสดงออกและภาคที่เก็บงำ ก็มากมายพอให้เรารู้จักและตื่นตาตื่นใจกับคนตรงหน้าว่าแท้จริงมันเป็นคนแบบนี้เองเหรอ

ที่สำคัญ หนังทำให้เรารู้สึกเช่นนี้หลายครั้งหลายครา คิดว่าเข้าใจดีแล้วก็มีอะไรให้พบอีกว่ายังมีอะไรมากกว่านั้น มันคือความรู้สึกหลายต่อหลายครั้งที่เราอ่านงานของมูราคามิที่เราจะค่อยๆ รู้จักตัวละครจริงๆ ก็ต้องผ่านสถานการณ์และบทสนทนาที่ไม่คิดว่าคนอย่างนี้จะพูดจะทำนั่นล่ะ การดูหนังเรื่องนี้จึงมีแก่นแท้คือการสำรวจตัวตนที่แท้จริงของตัวละคร สำรวจเขาและเรียนรู้ตัวเราไปด้วยว่าจริงๆ แล้วก็มีด้านแบบนี้ ด้านที่ปิด ด้านที่เผย แล้วมันส่งผลต่อคนรอบข้างต่อตัวเราอย่างไร ซึ่งไม่เพียงเราที่สำรวจตัวละคร ตัวละครเองก็สำรวจและค่อยๆ เรียนรู้ตัวละครอื่น ซึ่งตรงนี้คือพล็อตที่นำไปสู่จุดปะทุและโศกนาฏกรรมของหัวใจในช่วงครึ่งหลัง

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

จริงแล้วเนื้อหาของหนังนั้นก็ไม่ต่างจากหนังดราม่าความรักของชายหญิงทั่วไปในสากลโลกเลย ในช่วงชีวิตเราพบคนบางคน เราแอบรัก เขาอาจรู้ เขาอาจไม่รู้ เราอาจอยากบอก หรืออยากเก็บงำ การตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับหัวใจของหนุ่มสาวเช่นนี้จึงนำพาไปได้ทั้งบทสรุปที่แสนสะท้านหัวใจอย่างง่ายดาย เพราะทุกคนบนโลกล้วนเคยผ่านความรู้สึกนี้และเรียนรู้คำว่าน่าเสียดายมาแล้วทั้งสิ้น

แต่ด้วยกลการเล่าเรื่องที่ฉลาดและเปี่ยมศิลปะในการซ่อนและเผยทำให้ความสัมพันธ์ของคน 3 คนนี้ไม่ง่ายเลยที่เราจะเข้าใจในทันที ความสนุกที่ทำให้เราหมกมุ่นดำดิ่งกับเรื่องราวจึงมากมายทวีคูณไปพร้อมกับปริศนาของหัวใจที่ทั้งคลี่คลายและตั้งคำถามใหม่อยู่เป็นระยะ

อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจตัดสินว่ามันคงเป็นหนังรักชวนเศร้าใจอย่างประสบการณ์ที่ใครบางคนเคยดูมาก่อนหน้า แต่ต้องบอกว่าระดับมูราคามิ และยิ่งได้อีชางดงกับทีมงานเกาหลีที่เข้มข้นทางดราม่ามืดมนๆ มาปรุงแต่งด้วยแล้ว ต้องบอกว่าหนังขยายจากเรื่องสั้นไปอีกไกล ในขณะที่งานของมูราคามิทิ้งอารมณ์ค้างไว้ด้วยปริศนาปลายเปิดถึงชะตากรรมของหญิงสาว แต่อีชางดงทำให้ทุกอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อดีคนละอย่าง งานมูราคามิทำให้เราฉงน เหมือนโดนพาไปเกาะสวรรค์แต่ทิ้งให้ลอยค้างอยู่กลางทะเลเดือนมืด เพื่อจะอยู่กับตัวเองและค่อยๆ คิดเองว่าแท้จริงแล้วเกาะสวรรค์กับกลางน้ำนี้คือสิ่งใด อาจคือสิ่งเดียวกันหรือไม่ และคือสิ่งที่เราเคยพบในชีวิตเรามาก่อนหรือไม่ แต่สำหรับฉบับหนังของอีชางดง เขาเลือกที่จะเล่าไปจนฟ้าสาง เพื่อให้เห็นทุกอย่างกระจ่างตาว่านำพามาสู่ที่ใด มันอาจไม่เรียกร้องปัญญามากเท่างานเขียน แต่มันตอกลิ่มเข้าหัวใจได้ไวและรุนแรงกว่าอย่างแน่นอน

สิ่งที่ยอดเยี่ยมนอกจากเรื่องเล่าที่ดึงความเป็นมูราคามิมาได้อย่างบริบูรณ์แล้วต้องยอมรับว่างานภาพที่เหมือนดูไม่โดดเด่นอะไรมากกลับสวยงามอย่างประหลาด ทั้งรสแห่งความงามด้านองค์ประกอบ สี แสง มุมกล้อง และรสแห่งสัญญะการตีความที่บางทีสร้างกรอบ บางทีสร้างระยะห่าง เกิดความหมายซ้อนลงไปอธิบายเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ที่ไม่ทันรู้สึกถึงมันอาจเพราะเราถูกดึงให้จดจ้องกับตัวละครจนบางทีก็ลืมมองว่างานสร้างภาพยนตร์เองก็ดีงามไม่แพ้กัน เสียงประกอบนั้นทำหน้าที่ได้อย่างสั่นสะเทือน ในฉากหนึ่งที่ตัวละครไล่ตามกันมันสั่นประสาทอย่างที่เรารู้สึกหวาดหวั่นและขอร้องให้เสียงนี้หยุดลงเสียที ในขณะที่ซับไทยเองก็ได้ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา ผู้แปลเรื่องสั้น มือเพลิง มารับหน้าที่เอง ก็ทำให้ได้รสชาติคุ้นเคยสำหรับคอหนังสือเช่นกัน

สิ่งที่นึกติก็มีอยู่ ระหว่างที่ดูเราหงุดหงิดกับท่าทีของตัวละครของยูอาอิน เราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงล่องลอยและไม่ได้ความได้ขนาดนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งความหงุดหงิดก็เป็นความเข้าใจขึ้นมา อ่อ เขามีเหตุที่เป็นแบบนี้นี่เอง เหตุที่บางทีหนังโปรยมาไม่รู้ตัวตั้งแต่แรก แต่เราเพิ่งมาตรึกนึกได้ เมื่อพิจารณาแล้วยิ่งพบว่าหนังสมบูรณ์ในการสร้างตัวละครจนเราไม่อาจติได้เลย

นี่คืองานที่เรารักเรื่องหนึ่งเลย มันเหมือนไม่มีอะไร แต่มีอะไรให้ค้นหาจับต้องมากมาย และเรียกร้องการเข้าใจอย่างสุดซึ้ง มันสอนเราให้กลับมาทำเช่นเดียวกันกับคนที่อยู่รอบตัว คนที่เราอาจให้ความสำคัญน้อยไป คนที่ตัดสินเขาเร็วไป คนที่เราอาจผ่านเลยเขาไปอย่างน่าเสียดาย บางทีถ้าตอนนี้เราให้เวลารู้จักเขามากขึ้น เราอาจตัดเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียดายในอนาคตไปได้อีกมากทีเดียว

 

Don`t copy text!