The Impossible

The Impossible

โดย : ภาสกร ศรีศุข

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

*************************

ผู้กำกับ : J. A. Bayona

ผู้อำนวยการสร้าง : Álvaro Augustin, Belen Atienza, Enrique López Lavigne

ผู้เขียนบท : Sergio G. Sánchez

ผู้ประพันธ์ : María Belón

นักแสดง : Naomi Watts, Ewan McGregor, Tom Holland

ดนตรีประกอบ : Fernando Velázquez

ผู้กำกับภาพ : Óscar Faura

ผู้ตัดต่อ : Elena Ruíz, Bernat Vilaplana

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“The Impossible” เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง เรื่องราวของมาเรีย เฮนรี และลูกชายทั้งสามคนที่เดินทางมาพักผ่อนชายทะเลในประเทศไทย แต่เช้าวันที่ 26 หลังคืนวันคริสต์มาส สวรรค์บนดินก็แปรเปลี่ยนเป็นฝันร้าย เมื่อคลื่นยักษ์สูงเท่าตึกสามชั้น พุ่งเข้าถล่มทุกสิ่งทุกอย่างแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ความเป็นความตาย

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2004 คงไม่มีใครคาดคิดแม้ว่าจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่พรากหลากชีวิตและทำลายทุกสิ่งไปภายในช่วงพริบตา มันเป็นเรื่องราวน่าสะเทือนใจที่ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครจะกล้าหยิบจับมันบอกเล่าตรงๆ

และในที่สุด The Impossible ก็หยิบมันมาเล่าอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญคือมันพยายามที่จะปรุงแต่งและเจือสีให้เจือจางน้อยที่สุด และผลที่ได้ก็คือภาพยนตร์ที่ทรงพลังเหลือล้นทั้งทางภาพและอารมณ์

ภาพ : http://nicholasjv.blogspot.com/

เรารู้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับภัยพิบัติสึนามิที่เกิดขึ้นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นภาพช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นจึงเป็นภาพที่น่าปวดใจยิ่งนัก เราเห็นภาพของครอบครัวธรรมดาที่หาเวลามาพักผ่อนเหมือนครอบครัวอื่นๆ ที่คิดว่าที่นี่นั้นคือแดนสวรรค์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ฉะนั้นแล้ว เมื่อเราเห็นพวกเขามีความสุขมากแค่ไหน เราผู้ชมก็ยิ่งปวดร้าวมากขึ้นเท่านั้น

สิ่งที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งใน The Impossible ก็คือมันเป็นเรื่องราวของภัยพิบัติที่อิงกับความเป็นจริงสูง หรือหากให้พูดในอีกแง่หนึ่งก็คือเนื้อเรื่องของมันเองก็ไม่ได้มีความซับซ้อนหรือเคร่งเครียดแบบหนังฮอลีวูดเท่าไหร่นัก ทั้งนี่ต้องกล่าวว่าเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังจากทางฝั่งอเมริกาที่มีรสชาติที่หลายคนคุ้นเคย หากแต่มาจากทางสเปนซึ่งก็มีอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป

แม้ว่าหลายคนอาจจะมองเห็นว่าเรื่องราวไม่หนักแน่นหรือไม่สนุกสนานแบบหนังภัยพิบัติเรื่องอื่น แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวของผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราและก็ผ่านไป เรื่องราวที่เราคงไม่มีทางรู้ และแม้จะผ่านไปแล้วมันก็ยังคงติดตัวกับเราไปกับชีวิตและความทรงจำ

แน่นอน เราเชื่อว่า The Impossible พูดถึงความหวังในชีวิตของมนุษย์ แต่เราเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มากมายแค่ไหนกัน ภาพของความหายนะที่วิ่งเข้าหาเราโดยไม่มีทางรู้ตัว และเมื่อเราเอาตัวรอดจากมันได้แล้ว มันคือความปลอดภัยจริงหรือ หรือแท้ที่จริงมันเพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากหายนะที่เกิดขึ้นเพราะธรรมชาติทิ้งเหลือเพียงแค่ความเงียบงัน อีกด้านหนึ่งความสับสนวุ่นวายก็บังเกิดเพราะอีกหลายชีวิตกำลังพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อเอาตัวรอด

ภาพ : https://www.backstage.com/

มีช่วงหนึ่งเรื่องราวเหมือนจะดำเนินไปในหนทางของความหวัง ลูคัส เด็กชายได้รับคำขอจากแม่ให้ไปช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่จะทำได้ แม้จะเป็นโอกาสหนึ่งในพันที่เขาสามารถทำสำเร็จ แต่วินาทีที่เปี่ยมด้วยความหวังที่เราเชื่อว่าตัวเรานั้นสามารถที่จะทำอะไรได้ก็ถูกดับลงด้วยคำถามที่ว่าแท้จริงเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือเปล่า

ทั้งความหวังและความสิ้นหวังเป็นภาพที่ตัดสลับกันในหนังเรื่องนี้ มันไม่ได้นำเสนอในแง่ใดแง่หนึ่งอย่างสร้างภาพเกินไป เราควรจะเรียกได้ว่ามันเกิดขึ้นไปตามกลไกและความสามารถที่เราจะสามารถทำได้ ในตอนนั้น มีภาพของความหวาดกลัวที่เราไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกและภาพของความตายที่หลงเหลือเอาไว้ แต่ในความตายก็มียังมีชีวิต เช่นเดียวกับชีวิตที่มีความตาย ภาพของชายชราผอมแห้งที่พยายามลากหญิงสาวผิวขาวอย่างทุลักทุเลทั้งที่เป็นแผลที่ขา แต่เมื่อมองไปในแววตาสิ่งที่เรามองเห็นคือความจริงใจที่เปี่ยมล้น และที่สำคัญคือมันไม่จำเป็นต้องบรรยายด้วยคำพูดอะไร หากเพียงแต่ภาพของแววตาของคนสองคนที่จับจ้องด้วยกันนั้นมันก็มีพลังที่มากเกินเหลือเชื่อ

และตัว The Impossible เองนั้นก็ไม่ได้ต้องการที่จะบีบคั้นให้เรารู้สึกสิ้นหวัง และทีสำคัญมันเองก็ไม่ได้หักหาญน้ำใจของผู้ชม มันไม่ทำร้ายเราด้วยการขยี้ความหวังของเราและบอกเราว่านี่คือโลกแห่งความจริง กลับกันมันให้เรามองไปยังแสงแห่งความหวังและการให้กันไปรอบๆ ว่าพื้นที่ที่แสงส่องไปไม่ถึงนั้นมันมืดแค่ไหน

ต้องยอมรับว่าช่วงหลังของเรื่องนั้นอาจไม่ทรงพลังเท่าช่วงแรกที่ทำให้เราหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้เราได้เห็นภาพหลายอย่างที่น่าสนใจรวมถึงฉากที่เรากล่าวไปถึงข้างต้น แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะดูวุ่นวายไปบ้าง เพราะมันต้องการที่จะนำพาตัวละครที่แตกกระจายเข้าไว้ด้วยกัน แต่มันก็ไม่ใช่ข้อเสียที่เลวร้ายแต่อย่างใด

ภาพ : https://people.com/

หากพูดถึงฉากดีๆ ของ The Impossible ก็คงมีมากมายนับไม่ถ้วน หากพูดอย่างไม่เป็นกลางแล้วคงสามารถพูดได้ว่าฉากที่ตัวละครหลักในเรื่องนั้นเจอตัวละครคนอื่นเป็นฉากที่มีความน่าสนใจ เพราะในมุมหนึ่งมันคือเรื่องราวที่คนแปลกหน้ามาพบกันร่วมมือกันโดยไม่สนใจถึงเชื้อชาติใดๆ อีกแง่มุมหนึ่งก็คือมันมีเสน่ห์ของชีวิตที่น่าหลงใหลกับเรื่องราวของคนแปลกหน้าบางคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ทิ้งบางสิ่งไว้ให้เรา และผ่านไปโดยที่คงไม่มีทางได้พบกันอีก

ในความเห็นส่วนตัว ฉากหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบคือฉากที่ตัวละครสองคนพบกันอีกครั้งบนเตียงผู้ป่วย คำพูดประโยคแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาคงไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจะเป็นกำลังใจให้อีกคนได้มากมายแค่ไหน และหากไร้ซึ่งคำพูดนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ฉากถัดมาเองก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ มันเกิดขึ้นหลังจากคำพูดที่ว่าให้หลับตาลงแล้วนึกถึงแต่สิ่งดีๆ หากแต่ภาพถัดมาที่เราเห็นคือภาพของตัวละครคนนั้นโดนคลื่นหนักซัดกระหน่ำทำให้ทุกอย่างหายไปในพริบตา ร่างที่ควบคุมไม่ได้ถูกคลื่นน้ำพัดเหวี่ยงไปทั่ว กิ่งหนามมากมายเฉือนร่างอย่างเจ็บปวด สิ่งแปลกปลอมพันรอบคอจนเกือบเอาไม่ออก และร่างนั้นเองก็ทิ้งดิ่งลงในน้ำลึกที่ดูมืดและสิ้นหวัง หากแต่เหนือผิวน้ำนั้นคือแสงสว่างเรืองรองที่ตัวละครนั้นพยายามที่จะไขว่คว้ามันเอาไว้ ไม่ต้องอธิบายต่อเราก็รู้ว่ามันเป็นฉากที่แสดงถึงการอยู่รอดและความหวังของมนุษย์ แม้จะดูเหมือนปรุงแต่งจนเกินพอดี แต่มันก็ได้รับการหยุดเอาไว้ไม่ให้เลยเถิดจนเกินไปด้วยเสียงดนตรีที่ตึงเครียดและกดดันมากกว่าจะเป็นเสียงสรรเสริญแห่งความสุข

ทั้งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่หนังต้องการจะบอก มันเชื่อมไปกับฉากสุดท้าย เหมือนมันกำลังบอกเราว่าแม้เราจะปลอดภัยแล้ว แต่เรื่องราวต่างๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไปในฉากหลังที่เรามองไม่เห็น เหล่าผู้คนที่ยังคงพลัดพราก ครอบครัวที่สูญเสีย เหล่าผู้คนที่กำลังค้นหา เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ได้เป็นการปลอบประโลมหรือสร้างความหวังให้แก่เราจนไร้สติ กลับกันมันย้ำลึกความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ในใจเราเอาไว้อีกครั้ง

และคงไม่ต้องพูดถึงเหล่าผู้คนมากมายที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาจริงๆ ว่าเป็นเช่นไร

ทั้งหมดนั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่ความสุขหรือความเศร้า ความหวังหรือความกลัว ชีวิตหรือความตาย อย่างใดอย่างหนึ่งมากน้อยเกินไป

แต่มันคือชีวิตที่รวมทุกสิ่งเอาไว้ด้วยกัน

Don`t copy text!