1917

1917

โดย : ภาสกร ศรีศุข

Loading

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

*************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ผู้กำกับ : Sam Mendes

ผู้อำนวยการสร้าง : Sam Mendes, Pippa Harris, Jayne-Ann Tenggren, Callum McDougall, Brian Oliver

ผู้เขียนบท : Sam Mendes, Krysty Wilson-Cairns

นักแสดง : George MacKay, Dean-Charles Chapman, Mark Strong, Andrew Scott, Richard Madden, Claire Duburcq, Colin Firth, Benedict Cumberbatch

ดนตรีประกอบ : Thomas Newman

ผู้กำกับภาพ : Roger Deakins

ผู้ตัดต่อ : Lee Smith

 

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารอังกฤษ 2 คน สโกฟิลด์และเบลก ได้รับมอบหมายให้ไปร่วมปฏิบัติการที่ดูเหมือนว่าอาจไม่มีทางสำเร็จ พวกเขาต้องข้ามเขตแดนของข้าศึก เพื่อส่งสารให้หยุดการโจมตีทหารฝ่ายตรงข้ามนับร้อย

พูดแล้วก็เหมือนกับท่องคาถาวนไปเวียนมา แต่กล่าวเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ว่าความเต็มเม็ดเต็มหน่วยทางด้าน ‘อรรถรสและสุนทรียะ’ ของหนังเรื่อง 1917 สัมพันธ์กับการได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ เพราะสิ่งที่หนังบอกเล่าไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อมูลข่าวสารเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่เราสามารถเก็บเกี่ยวจากการดูผ่านจอแบบไหนก็ได้ ทว่าความสําเร็จหรือล้มเหลวของการที่คนทําหนังเลือกใช้เทคนิคการถ่ายแบบช็อตเดียวตลอดเรื่องหรืออีกนัยหนึ่ง (ดูเหมือน) ไม่มีการตัดภาพ และเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นแบบสมจริง ซึ่งต้องพึ่งพาการมีส่วนร่วมของผู้ชมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และการดูหนังเรื่องนี้ในสภาพปิดของโรงภาพยนตร์นั้นห่อหุ้มรวมถึงโอบอุ้มความรู้สึกและสภาวะการรับรู้ของผู้ชมได้อย่างเข้มข้นและหนักแน่นกว่าช่องทางอื่นๆ อย่างไม่ต้องเทียบเคียง และนั่นยังไม่ต้องเอ่ยถึงขนาดของจอ

ภาพ : https://scroll.in/

โดยปริยาย สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการที่ผู้ชมได้ร่วม ‘รู้เห็น’ ความเลวร้ายของสงคราม แต่กลวิธีทั้งทางด้านภาพและเสียงในหลายช่วงเวลาหยิบยื่นทั้งความน่าหดหู่และสยดสยอง ความน่าตื่นเต้นระทึกขวัญ ความอลหม่านสับสน และความเศร้าสร้อยหม่นหมอง อีกทั้งเทคนิคแบบ Long-take ดังที่กล่าวถึงการถ่ายอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการตัดภาพก็ยังผูกมัดผู้ชมเอาไว้กับตัวละครอย่างชนิดไปไหนไปด้วยกัน ในแง่หนึ่งมันอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนถูกจองจํา เพราะผู้ชมไม่มีทางเลือกนอกจากล่มหัวจมท้ายไปกับตัวละคร นั่นรวมถึงฉากหนึ่งที่ตัวละครต้องหนีตายด้วยการกระโจนลงแม่น้ำและการถูกกระแสอันเชี่ยวกรากพัดพาไปอย่างกระเซอะกระเซิง กล้องก็ ‘ดูเหมือน’ ลอยละลิ่วตามตัวละครไปด้วย แต่พร้อมๆ กับที่กาลเวลาผ่านพ้น ทั้งหลายทั้งปวงก็ค่อยๆ พัฒนากลายเป็นความรู้สึกเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง ความห่วงหาอาทร และนั่นคือตอนที่กลไกของหนังทํางานอย่างทรงพลัง และผู้ชมตระหนักได้ว่านี่เป็นการผจญภัยที่พวกเรามีส่วนได้ส่วนเสียและลืมไม่ลง

โครงเรื่องของหนังเรื่อง 1917 แทบจะไม่มีความสลับซับซ้อน เหตุการณ์ตามท้องเรื่องตรงกับวันที่ 6 เมษายน 1917 หรือช่วงเวลาที่การสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกําลังสุกงอม ฉากหลังคือเมืองชนบทในประเทศฝรั่งเศส และหนังเริ่มต้นด้วยภาพของทุ่งหญ้าเขียวขจี ดอกไม้กําลังผลิบาน ซึ่งว่าไปแล้วเป็นช็อตที่หลอกลวงความรู้สึก หรืออีกนัยหนึ่งคือตรงกันข้ามกับเรื่องที่กําลังจะได้รับการบอกเล่าอย่างชนิดฟ้ากับเหว เพราะนับจากนี้เป็นต้นไป สิ่งที่พวกเรากําลังจะได้ประสบพบเห็นก็เป็นอย่างเดียวกับที่บรรดาทหารเจอะเจอในสมรภูมิ การฆ่าแกง ความสูญเสีย การบาดเจ็บล้มตาย ซากปรักหักพัง ผลพวงอันน่าเอน็จอนาถของสงคราม หลายครั้งหลายครามันดูเหมือนฉากสุดท้ายของวันสิ้นโลก

จุดปะทุของเรื่องทั้งหมดมาจากข้อมูลที่ฝ่ายอังกฤษสืบทราบว่าการเพลี่ยงพล้ำและล่าถอยครั้งล่าสุดของกองทัพเยอรมนีเป็นเพียงกลลวง และการเตรียมบุกโจมตีของทหารอังกฤษสองกองพันในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น แท้ที่จริงแล้วมันก็คือการเดินไปติดกับดักของฝ่ายตรงข้าม และสิ่งที่น่าวิตกกังวลว่าจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากคําบอกเล่าของนายพลก็คือการจบชีวิตของทหารจํานวนมากภายใต้เงื่อนไขที่ระบบการสื่อสารถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ทหารยศนายสิบจํานวนสองนายได้รับมอบหมายให้เดินเท้าจากสนามเพลาะด้านหลังผ่านพื้นที่การสู้รบ เพื่อนําคําสั่งระงับการบุกโจมตีไปแจ้งให้กับผู้บังคับกองพันรับทราบก่อนหายนะใหญ่หลวงจะมาเยือน และพวกเขามีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ภาพ : https://www.telegraph.co.uk/

นายสิบทั้งสองได้แก่ ทอม เบลก ผู้ซึ่งมีความช่ำชองเรื่องแผนที่ อีกทั้งพี่ชายของเขาก็ยังร่วมรบอยู่ในกองพันดังกล่าวด้วย เป็นไปได้ว่านั่นคือเหตุผลที่นําพาให้เขาถูกเลือก และมันทําให้เดิมพันของการปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงก็ยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น อีกหนึ่งคนคือ วิลเลียม สโกฟิลด์ ผู้ซึ่งสถานะของเขาเป็นเพียงแค่บัดดี้ติดสอยห้อยตาม หรืออีกนัยหนึ่งคือมาเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการครั้งนี้แบบตกกระไดพลอยโจน

ดูผิวเผินแล้ว ทั้งเบลกและสโกฟิลด์ก็เป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องปฏิบัติตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่ยิ่งคนดูได้คลุกคลีตีโมง ระหว่างคนทั้งสองกลับมีบุคลิกที่ผิดแผกอย่างมีนัยสําคัญ อย่างน้อยเบลกก็เป็นตัวละครที่ไร้เดียงสาทีเดียว (เหมือนใบหน้าของเขา) เมื่อเทียบเคียงกับสโกฟิลด์ผู้ซึ่งบทสนทนาในช่วงหนึ่งบอกให้รู้ว่าเขาเคยได้รับเหรียญกล้าหาญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกๆ แล้วเบลกหมายมั่นปั้นมือ แต่จนแล้วจนรอดสโกฟิลด์ก็แลกมันกับไวน์ขวดหนึ่งอย่างมองไม่เห็นคุณค่าและความหมายไม่มากไม่น้อย ทัศนคติที่มีต่อสงครามของตัวละครทั้งสองก็ไม่เหมือนกัน ในมุมของสโกฟิลด์ มันไม่ใช่เวทีแสดงวีรกรรมห้าวหาญแต่อย่างใด และเขาดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากสงคราม หรือแม้กระทั่งว้าวุ่นสับสน

โดยปริยาย ขณะที่ความมุ่งมาดปรารถนาของเบลกผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและกระตือรือร้นได้แก่การรักษาชีวิตทหารนับพันรวมถึงพี่ชายของเขาจากการถูกฝ่ายตรงข้ามซุ่มโจมตี สโกฟิลด์ดูเหมือนเป็นตัวละครที่หลงทาง เขาไม่มีความกระหายจะสู้รบ แต่ในขณะเดียวกันเราได้ยินเขาเอ่ยไม่น้อยกว่าสองครั้งว่าไม่อยากจะกลับบ้านเช่นกัน มองในแง่มุมหนึ่ง สโกฟิลด์เหมือนคนที่ตายไปแล้วในทางจิตวิญญาณ หรือในช่วงเวลาหนึ่งเขาก็เกือบจะตายไปแล้วจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ ความไม่แน่ไม่นอนของเหตุการณ์ก็นําพาไปถึงจุดสุดท้ายที่เขากลายเป็นคนที่ต้องแบกความรับผิดชอบครั้งมหึมา และมันมีส่วนดลบันดาลให้เขากลายเป็นคนที่ ‘เกิดใหม่’ อีกครั้ง

สำหรับข้อน่าสังเกต หนังเริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยช็อตที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือภาพของทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่อย่างหนึ่งที่ผู้ชมบอกได้แน่ๆ ก็คือสโกฟิลด์ในตอนท้ายเป็นคนละคนกับในตอนต้น เขาดูเหมือนค้นพบความหมายบางอย่างที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวทําตกหล่นสูญหาย และอย่างหนึ่งที่ชัดแจ้งก็คือเขาเริ่มคิดถึงการกลับบ้าน

กล่าวจนถึงบรรทัดนี้ ความท้าทายอย่างยิ่งยวดของการถ่ายแบบ Long-take ก็คือการที่คนทําหนังไม่สามารถยักย้ายถ่ายเทเรื่องเวลาและสถานที่ แน่นอนว่าการตัดต่อหรือเทคนิคแฟลชแบ็กน่าจะช่วยให้คนทําหนังบอกเล่าโน่นนี่นั่นได้อย่างคล่องแคล่ว หรืออธิบายตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับตัวละครได้สะดวกโยธิน ข้อจํากัดของ Long-take ทําให้คนดูไม่มีอํานาจวิเศษแบบนั้น และนั่นทําให้เราตกที่นั่ง ‘คนตัวเล็กๆ’ ไม่แตกต่างจากตัวละคร แต่ในทางกลับกัน พลังของ Long-take ได้แก่การที่ผู้ชมได้อยู่ร่วมกันกับทุกขณะจิตของตัวเอกจริงๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือเวลาของเขาเป็นเวลาเดียวกับของเรา และทุกนาทีที่ผ่านพ้นไปก็คือการลงทุนในทางอารมณ์และความรู้สึกที่ค่อยๆ สั่งสมอย่างแน่นหนาและผนึกเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

แต่ Long-take ก็เรื่องหนึ่ง วิธีการเคลื่อนกล้องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง และในขณะที่ตัวละครถูกกําหนดให้ต้องย้ายตัวเองไปไหนต่อไหน งานกํากับภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีบทบาทคล้ายคลึงกัน บางครั้งกล้องต้องเคลื่อนถอยหลังเพื่อจับภาพตัวละครเดินตรงมา และพร้อมๆ กันนั้นเราก็ได้เห็นพื้นหลังที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างน่าแปลกตา (เช่น ฉากเปิดเรื่อง และต้องปรบมือให้กับงานออกแบบงานสร้าง) หรือบางครั้งกล้องก็ติดตามอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครต้องแหวกแถวทหารในช่องแคบๆ ของสนามเพลาะภายใต้สถานการณ์ที่สุดแสนคับขันและจวนเจียน แต่จริงๆ แล้วงานกํากับภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังครอบคลุมถึงการนําเสนอฉากกึ่งจริงกึ่งฝันอย่างวิจิตรบรรจงในยามค่ำคืนที่ทุกอย่างดู ‘เหนือจริง’ และมันทําให้พูดได้เต็มปากว่านี่เป็นหนังที่องค์ประกอบทางด้านภาพทั้งแพรวพราวและน่าพิศวงงงวย

อย่างที่รับรู้รับทราบ หนังสงครามที่ดีทุกเรื่องล้วนแล้วแต่มีแก่นเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือสงครามคือขุมนรก หนังเรื่อง 1917 ของเมนเดสก็ไม่ได้บอกเล่าอะไรที่ผิดแผกออกไป กระนั้นมันก็พูดถึงแง่มุมดังกล่าวได้อย่างฉะฉาน คมคาย โน้มน้าวชักจูง และอีกอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อนึกย้อนทบทวนก็คือในบรรดากลุ่มคนที่ต้องรับเคราะห์กรรมเป็นลําดับแรกๆ ของการสู้รบในสงครามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกสั่งให้ไปเผชิญความเป็นความตายตามยถากรรมกลางสมรภูมิ ขณะที่ระดับนายพลหรือนายพันซ่อนตัวอยู่ในที่กำบังอย่างปลอดภัย

สุดท้ายแล้ว สงครามคือขุมนรกสําหรับคนตัวเล็กๆ อย่างแท้จริง

Don`t copy text!