The Invisible Man

The Invisible Man

โดย : ภาสกร ศรีศุข

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

ผู้กำกับ : Leigh Whannell

ผู้อำนวยการสร้าง : Jason Blum, Kylie du Fresne

ผู้เขียนบท : Leigh Whannell

ผู้ประพันธ์ : Leigh Whannell

อ้างอิงจากนวนิยายเรื่อง The Invisible Man โดย H.G. Wells

นักแสดง : Elisabeth Moss, Aldis Hodge, Storm Reid, Harriet Dyer, Michael Dorman, Oliver Jackson-Cohen

ดนตรีประกอบ : Benjamin Wallfisch

ผู้กำกับภาพ : Stefan Duscio

ผู้ตัดต่อ : Andy Canny

เซซีเลียส แคส หญิงสาวที่กำลังประสบปัญหากับการใช้ชีวิตร่วมกันกับแฟนหนุ่มเจ้าอารมณ์ เอเดรียน กริฟฟิน นักวิทยาศาสตร์ผู้ร่ำรวยและฉลาดหลักแหลม จนเมื่อเธอหมดความอดทนจึงตัดสินใจหนีไปอยู่กับน้องสาวและเพื่อนๆ จนวันหนึ่งเธอได้รับข่าวว่าแฟนหนุ่มของเธอได้ฆ่าตัวตาย

หลังจากที่เธอได้เงินพร้อมกับเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเอง แต่ทว่ามีอะไรบางอย่างที่ยังตามหลอกหลอนเธอตลอดเวลาจนเธอตั้งข้อสังเกตว่าเธอกำลังถูกคนใกล้ตัวไล่ล่าและไม่สามารถมองเห็นได้ หรือว่าเอเดรียนยังไม่ตาย

The Invisible Man ของลีห์ก็สามารถทำให้มนุษย์ล่องหนนั้นออกมาได้น่ากลัวอย่างกับปีศาจร้ายตัวหนึ่งเลยเชียว ชอบมากกับการเล่นกับการคาดเดาคนดู บ่อยครั้งที่ลีห์เลือกแช่กล้องนิ่งๆ แล้วปล่อยให้นักแสดงเดินไปมา ด้วยการรับรู้ของคนดูว่ามนุษย์ล่องหนอาจจะแอบอยู่ในฉากนั้น ก็ยิ่งต้องจ้องว่าจะมีอะไรขยับเขยื้อนไหม จ้องไปก็ลุ้นไปว่าจะมีอะไรโผล่มาให้ตกใจไหม หนังค่อนข้างเงียบมาก ยิ่งเพิ่มความกดดัน ใช้ดนตรีประกอบน้อยมาก แล้วทุกครั้งที่ใช้ก็ได้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจริง

ก่อนที่จะดู รู้สึกขัดกับภาพลักษณ์ของ เอลิซาเบธ มอส อย่างมาก เป็นนางเอกที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนักและไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดเลย แต่ก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อขายปะหัวหนังเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้ดู ก็ต้องชื่นชมเธอจริงๆ ด้วยเอกลักษณ์ที่เป็นสาวตาโตกับบทที่ต้องเล่นคนเดียวบ่อยครั้ง ยิ่งจำเป็นที่เธอต้องสื่อความรู้สึกอย่างมากผ่านสายตาและสีหน้า มีอยู่ฉากหนึ่งที่เธออยู่คนเดียวแล้วพูดความในใจกับสามีที่เป็นมนุษย์ล่องหน เป็นฉากยาวที่เธอเริ่มพูดจากสีหน้าธรรมดา จากนั้นก็เริ่มระบายความรู้สึกคั่งแค้นที่เก็บกดไว้ในใจ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปตามระดับอารมณ์ เป็นสีหน้าของหญิงที่ผ่านความระทมทุกข์น้ำตาไหลพราก เป็นฉากที่แสดงฝีมือการแสดงให้เห็นจริง เธอคนเดียวเอาหนังได้อยู่จริง ชื่นชมจริงๆ

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความดีความชอบส่วนใหญ่ต้องเทไปที่การเขียนบทของ ลีห์ แวนเนล ที่เล่าเรื่องราวได้ระทึกตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง แค่เปิดฉากมาก็โยนปริศนาโครมใหญ่ใส่คนดูแล้ว เอเดรียน กริฟฟิน มีจุดประสงค์อะไร เขากลายเป็นมนุษย์ล่องหนได้อย่างไร แล้วเอเดรียนที่เป็นศพจากการกรีดข้อมือตัวเองมามีตัวตนในร่างมนุษย์ล่องหนได้อย่างไร หนังค่อยๆ คลี่คลายไปทีละเปลาะ พร้อมทั้งหยอดปริศนาเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาใหม่ตลอดทาง แถมมีหักมุมในช่วงท้าย หนังสร้างบรรยากาศอึมครึม กดดันได้ทั้งเรื่อง และที่สำคัญฉีกออกจากสูตรสำเร็จของหนังสยองขวัญได้ ด้วยการไม่เน้นฉาก Jump Scare และไม่มีฉากแหวะ ลีห์ แวนเนล ดูสนุกกับการเล่นกับการคาดเดาของคนดู ให้ลุ้นเอาเองว่ามนุษย์ล่องหนจะโผล่มาตอนไหน ฉากไหน ที่ชอบอีกอย่างคือการปรับบทให้เข้ากับยุคสมัย รอบนี้มนุษย์ล่องหนหายตัวได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ดูเป็นไปได้จริงกว่าการทำร่างกายตัวเองให้โปร่งแสงในเวอร์ชันก่อนๆ

แต่ก็มีบางจุดที่ชวนขัดใจ แล้วก็ชวนให้รู้สึกเสียดายที่ลีห์ยอมปล่อยให้หนังมีช่องโหว่มากมายเสียเหลือเกินไม่เช่นนั้นหนังจะสมบูรณ์กว่านี้มาก ยิ่งถ้าหนังได้เวลาเพิ่มมาสัก 10 นาที ให้คนดูได้เห็นความโหดร้ายของ เอเดรียน กริฟฟิน ว่าเขาทำอะไรกับเซซิเลียสไว้บ้าง การมาถึงของเอเดรียนในร่างมนุษย์ล่องหนจะชวนระทึกกว่านี้มาก ยิ่งได้ โอลิเวอร์ แจ็กสัน-โคเฮ็น มารับบทเอเดรียน แม้มีเวลาบนจอไม่กี่นาที โอลิเวอร์ก็ฉายแววโรคจิตให้สัมผัสได้จริง แต่โดยรวมแล้วหนังก็สร้างสมคะแนนทางด้านบวกไว้มาก ทำให้ช่องโหว่เหล่านี้ไม่ฉุดคะแนนลงไปมากนัก

Don`t copy text!