The Climb

The Climb

โดย : ภาสกร ศรีศุข

Loading

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

************************

The Climb

ผู้กำกับ : Michael Angelo Covino

ผู้อำนวยการสร้าง : Michael Angelo Covino, Kyle Marvin, Noah Lang

ผู้เขียนบท : Michael Angelo Covino, Kyle Marvin

นักแสดง : Kyle Marvin, Michael Angelo Covino, Gayle Rankin, Talia Balsam, George Wendt, Judith Godrèche

ดนตรีประกอบ : Jon Natchez, Martin Mabz

ผู้กำกับภาพ : Zach Kuperstein

ผู้ตัดต่อ : Sara Shaw

ไคล์กับไมค์เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่แล้วไมค์ก็ดันเผลอไปนอนกับคู่หมั้นของไคล์ ทั้งสองคนต้องกลับมาถามตัวเองว่ายังควรเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม The Climb ว่าด้วยการรักษาไว้ซึ่งมิตรภาพที่ต้องอาศัยความอดทนอย่างสูง ผ่านความสัมพันธ์ของชายสองคนที่ผ่านร้อนหนาว ทุกข์สุข หัวเราะร้องไห้ด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปี

นี่คือหนังที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากหนังเรื่องนี้จะเป็นภาพยนตร์ตลกที่นานๆ ทีจะได้รับเสียงวิจารณ์อย่างท่วมท้นแล้ว แต่ที่น่าสนใจที่สุดที่ทำให้หนังเรื่ีองนี้น่าสนใจมากๆ ก็คือ นี่คือหนังที่ว่าด้วยเรื่องของเพื่อนซี้ที่ทำโดย ‘เพื่อนซี้’ เพื่อ ‘เพื่อนซี้’ โดยแท้เลย

นี่คือหนังที่สองเพื่อนซี้ Michael Angelo Covino และ Kyle Marvin ที่เป็นเพื่อนกันมากว่า 10 ปี พวกเขามีความฝันว่าอยากจะทำหนังสักเรื่องเพื่อเป็นหลักฐานแห่งความเป็นเพื่อนของทั้งคู่ ในที่สุดทั้งสองคนก็เก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มต้นจับมือร่วมกันเขียนบท และไมเคิลหรือไมค์รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ และไหนๆ เขียนบทเองแล้ว ทั้งคู่ก็เลยลงมาเป็นนักแสดงเองเลย แถมยังใช้ชื่อเล่นจริงๆ ในหนังอีกต่างหาก!

แล้วที่แสบสันกันตั้งแต่เปิดเรื่ององก์แรกก็คือ หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องราวของเพื่อนซี้ก็จริง แต่เนื้อหาดันทะลึ่งว่าด้วยเรื่องของไคล์ที่มีคู่หมั้นแล้ว และกำลังจะแต่งงาน แต่อีตาไมค์ดันโพล่งในขณะที่ทั้งคู่กำลังขี่จักรยานขึ้นเขาที่ฝรั่งเศสว่า “เราอ่ะ เคยนอนกับคู่หมั้นของแกมาแล้วนะเว้ย…” พอเปิดประเด็นแบบนี้ ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่น คงต้องมีจอดจักรยาน แล้วต่อยกันแบบไฟลุก ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบแน่นอน

แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ เพราะแม้เรื่องนี้จะว่าด้วยเรื่องพังๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่สั่นคลอน และชีวิตที่เริ่มจะสวนทางกัน ในขณะที่ไคล์กำลังจะแต่งงานและมีชีวิตที่ดีขึ้น กลับเป็นช่วงชีวิตของไมค์ที่กำลังฉิบหายวายป่วงพอดี ซึ่งแทนที่จะโกรธกัน แล้วก็แตกคอกันไปตามสูตร แต่ทั้งสองคนก็ยังคงวนเวียนกลับมาเจอกันอยู่เรื่อยๆ ราวกับว่าลืมไปแล้วว่าเคยทะเลาะกัน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ในแต่ละองก์ของหนัง กลับถูกขับเคลื่อนด้วยมุกตลกหน้าตายที่สอดแทรกเข้ามาอย่างถูกจังหวะมากๆ และในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความอึดอัดชวนให้ระเบิดลงอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นหนังตลกร้ายที่ทั้งฮา ทั้งอึ้ง ดูไปก็ร้องว่าอะไรกันนี่ไปตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้แล้ว จังหวะการเล่าเรื่องของหนังก็ลงตัวดีมากๆ และด้วยความที่เพื่อนซี้ลงทุนเขียนบทและแสดงเองทั้งที ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความลงตัวและเป็นธรรมชาติที่เข้าขากันมากๆ

อีกจุดที่น่าสนใจก็คือวิธีการเล่าเรื่อง อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าตัวหนังเรื่องนี้ถูกแบ่งเป็นองก์ต่างๆ ซึ่งในแต่ละองก์ ตัวหนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ Long Take ด้วยนะ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นกลวิธีการนำเสนอของหนังที่เราคุ้นเคยกันมาแล้วแหละ แต่ไม่น่าเชื่อว่าพอเป็นเรื่องราวต่างๆ ในเรื่องที่ส่วนหนึ่งก็ขับเคลื่อนด้วยบทสนทนา การถ่ายแบบลองเทก และการเคลื่อนกล้องก็ทำให้เหตุการณ์และบทสนทนาในแต่ละองก์น่าสนใจมากๆ ทำให้เราได้มองเห็นมวลของอารมณ์และความรู้สึกอึดอัดหม่นมัวที่เกิดขึ้นในแต่ละองก์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และพร้อมที่จะระเบิดความประหลาดใจด้วยมุกตลก (ที่แต่ละมุกนี่กวนเบื้องล่างเหลือเกิน) อยู่ตลอดเวลา

เอาจริงๆ แล้ว แม้ไมค์จะดูเป็นเพื่อนที่เฮงซวย และงี่เง่าที่สุดที่ตัดสินใจ ‘ตีท้ายครัวเพื่อน’ แต่ลองคิดดีๆ บางทีก็เหมือนมิตรภาพหรือความสัมพันธ์จริงๆ ที่เรามักพบเจอกันเป็นปกตินั่นแหละ เราอาจจะคิดว่าที่เพื่อนเราทำแบบนี้มันช่างเฮงซวยซะจริงๆ ทำไมเพื่อนเราถึงงี่เง่าเต่าตุ่นได้ขนาดนี้

แต่ถ้าเราลองถอยออกมามองก้าวหนึ่ง เราจะพบว่าบางทีไม่ใช่แค่ (อดีต) เพื่อนรักที่เฮงซวย จริงๆ แล้ว ไคล์และภรรยาเองก็มีความเฮงซวยไม่แพ้กันนั่นแหละ พอถึงจุดหนึ่ง หากมีสติมากพอบางทีเราอาจจะรักตัวเองที่ยอมรับว่าตัวเราเองก็เฮงซวย และเราเองก็อาจจะรักเพื่อนคนนั้นมากๆ ในฐานะเพื่อนเฮงซวยที่สามารถยอมรับได้ในความเฮงซวยของเรานั่นเอง

ไม่ว่าคุณจะมาดูหนังเรื่องนี้คนเดียว หรือมาดูหนังเรื่องนี้กับเพื่อนซี้ แต่ผู้เขียนเชื่อเลยว่าหนังตลกหน้าตายสุดขันขื่นเรื่องนี้ จะทำให้มุมมองความเป็นเพื่อนและมุมมองของเราเองที่มีต่อเพื่อนเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ถ้าดูจบแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าเราจะได้มองเห็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนซี้ที่ไม่ได้มีแค่รักกันแบบซี้ย่ำปึ้กหรือเลิกคบกันเพราะทำเรื่องเฮงซวยใส่กันเหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยแต่เพียงอย่างเดียว แต่บางที เพื่อนซี้บางทีก็อาจจะเป็นการยอมรับและเข้าใจในระหว่างกันว่าเราทุกคนต่างก็เคยมีและต่างก็เคยเป็น ‘เพื่อนรักแสนเฮงซวย’ กันทั้งนั้นแหละ

ก็ถ้าไม่ทะเลาะกันจนตายไปซะก่อนนะ

Don`t copy text!