Greenland

Greenland

โดย : ภาสกร ศรีศุข

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

ผู้กำกับ : Ric Roman Waugh
ผู้อำนวยการสร้าง : Gerard Butler, Basil Iwanyk, Sébastien Raybaud, Alan Siegel
ผู้เขียนบท : Chris Sparling
นักแสดง : Gerard Butler, Morena Baccarin, Roger Dale Floyd, Scott Glenn, David Denman, Hope
Davis
ดนตรีประกอบ : David Buckley
ผู้กำกับภาพ : Dana Gonzales
ผู้ตัดต่อ : Gabriel Fleming

 

หนังเล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ต้องเอาตัวรอดจากเหตุการณ์หายนะโลกแตกจากเหตุอุกกาบาตที่ดูจากในตัวอย่างก็จะเห็นว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเขาต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อเดินทางไปยังหลุมหลบภัยที่ดินแดนกรีนแลนด์ แต่แน่นอนว่าจะไปถึงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะต้องฝ่าภัยพิบัติแล้ว มนุษย์ที่แย่งกันเอาตัวรอดก็อาจจะทำให้พวกเขาตายก่อนจะไปถึงที่นั่น

ก่อนอื่นคงต้องบอกไว้ก่อนว่า Greenland อาจไม่ได้มีรูปรอยการเล่าเรื่องที่ต่างจากหนังโลกวิบัติเรื่องอื่นนัก มันยังมีฉากอุกกาบาตถล่มเมือง ฉากร้านค้าถูกปล้นและเผา รวมไปถึงบุคลิกของมนุษย์ที่มีความเห็นแก่ตัว ไปจนถึงฉากบังคับอย่างสถานการณ์บีบคั้นจนพระเอกต้องวิ่งออกมาเอายาเบาหวานให้ลูกทั้งที่เครื่องบินกำลังจะออกเดินทาง แต่ต้องชื่นชม ริก โรมัน วาฟ ที่ยังอุตส่าห์หามุมใหม่ในการเล่าเรื่องให้สนุกและลุ้นไปกับพระเอกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

โดยเฉพาะการเปรียบเปรยระบบการคัดเลือกผู้รอดชีวิตของรัฐบาลที่แทบไม่ต่างจากพระเจ้า โดยหนังก็สามารถสร้างซีนสะเทือนอารมณ์ได้ตั้งแต่ซีนแรกๆ อย่างการปฏิเสธรับเด็กสาวข้างบ้านแม้จะเป็นเพื่อนของลูกชายเพียงเพราะกฎห้ามนำคนอื่นเข้าไปในสนามบิน ซึ่งลำพังซีนนี้ซีนเดียวเราก็สัมผัสได้แล้วว่าตัวหนังจะต้องมีอะไรมากระทบความรู้สึกคนดูแน่ๆ

และมันก็มาตามนัดจริงๆ หนังมีฉากที่โชว์สัญชาตญานดิบของมนุษย์ที่ดูโหดร้ายหลายฉาก ทั้งกราดยิงในร้านยา ฉากคนแปลกหน้าที่พร้อมห้ำหั่นกันให้ได้สิทธิเดินทางไปยังที่ปลอดภัยโดยไม่สนหลักการมนุษยธรรมใดๆ เลยทำให้มันโดดเด่นออกมาจากหนังภัยพิบัติโลกแตกเรื่องอื่นที่พยายามเน้นฉากสเปเชียลเอฟเฟกต์อลังการ แต่ตรงข้าม Greenland สามารถเล่าเรื่องในเชิงหนังเอาชีวิตรอดได้อย่างระทึกใจและกระแทกความรู้สึกคนดูได้อย่างไม่น่าเชื่อ

และทีละน้อยมันก็ค่อยๆ ปรับสู่ประเด็นด้านศาสนาอย่างไม่ต้องสงสัย ที่เห็นได้ชัดคือหนังพยายามเน้นป้ายโบสถ์บัพติศมา (Babtism) ซึ่งในทางสัญลักษณ์แล้วก็เดาได้ไม่ยากว่ามันจะนำไปสู่การพูดเรื่องการล้างบาปแน่นอน โดยเฉพาะกรณีของจอห์นที่แบกความผิดบาปต่อครอบครัวเป็นส่วนผลักดันให้เขาพาเมียและลูกตัวเองออกเดินทางไปในที่ปลอดภัยให้จงได้

ซึ่งก็มีส่วนคล้ายเรื่องราวในพระคัมภีร์อย่างเรือของโนอาห์ (Noah’s Ark) ไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่เปลี่ยนจากเหล่าสรรพสัตว์และครอบครัวมาเป็นมนุษย์ และที่สำคัญประเด็นด้านศาสนายังไปไกลถึงขั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกของตัวละครจอห์นที่ตอนแรกเขาต้องเผชิญอุปสรรคนานาจากความเห็นแก่ตัวจนในตอนท้ายเรื่องเหมือนเขาพยายามพิสูจน์ตนเองให้พระเจ้าเห็นไม่น้อยกับความพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หลังเป็นพยานเหตุการณ์สะเทือนใจตอนกลางเรื่อง

และแม้หนังจะมีฉากบังคับให้ต้องขายสเปเชียลเอฟเฟกต์ตระการตา แต่ Greenland ก็เลือก ‘โชว์’ อย่างพอดี โดยนอกจากฉากอุกกาบาตพุ่งชนโลกจนเกิดความวินาศสันตะโรแล้ว มันยังทำหน้าที่รองรับเรื่องราวที่เล่าผ่านท้องฟ้าที่ลุกเป็นไฟที่สร้างบรรยากาศวันสิ้นโลกให้เราได้ตามตัวละครไปลุ้นกับการเอาชีวิตรอดของเขาแทนซึ่งถือเป็นความโชคดีที่หนังก็ได้นักแสดงที่ดีเสียด้วย

 

Don`t copy text!