Encanto

Encanto

โดย : ภาสกร ศรีศุข

Loading

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

 

ผู้กำกับ :   Jared Bush, Byron Howard

ผู้เขียนบท : Charise Castro Smith, Jared Bush

ผู้ประพันธ์ : Jared Bush, Byron Howard, Charise Castro Smith, Jason Hand, Nancy Kruse, Lin-Manuel Miranda

ผู้อำนวยการสร้าง : Yvett Merino, Clark Spencer

นักแสดง : Stephanie Beatriz, María Cecilia Botero, John Leguizamo, Mauro Castillo, Jessica Darrow, Angie Cepeda, Carolina Gaitán, Diane Guerrero, Wilmer Valderrama

ผู้กำกับภาพ : Alessandro Jacomini

ผู้ตัดต่อ : Jeremy Milton

ดนตรีประกอบ : Germaine Franco

เรื่องราวของครอบครัว ‘มาดริกัล’ ที่อาศัยในบ้านเวทมนตร์ที่ซ่อนตัวอยู่กลางภูเขาในโคลอมเบียในเมืองสุดมหัศจรรย์ที่เรียกว่า ‘เอนคานโต’ เวทมนตร์แห่งเอนคานโตมอบพลังวิเศษที่แตกต่างกันให้กับเด็กทุกๆ คนในครอบครัวมาดริกัล ตั้งแต่พลังกายอันมหาศาล พูดคุยกับสัตว์ เสกดอกไม้ ไปจนถึงพลังแห่งการฟื้นฟูร่างกาย ยกเว้น ‘มิราเบล’ สาวน้อยธรรมดาเพียงหนึ่งเดียวในบ้านมาดริกัลที่ไม่มีพลังพิเศษอะไรเหมือนคนอื่น

มิราเบลต้องการที่จะพิสูจน์ตัวตนของเธอว่าคู่ควรที่จะอาศัยอยู่ในครอบครัวนี้ แม้ว่าจะขาดพลังเหมือนกับคนอื่นๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอค้นพบว่ามีอันตรายบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา และมันกำลังจะทำลายเวทมนตร์ของเอนคานโตให้หายไป เธอจึงเป็นความหวังเดียวและความหวังสุดท้ายของครอบครัวมาดริกัลที่จะปกป้องเวทมนตร์ให้คงอยู่

หากมองผิวเผิน ‘Encanto’ ก็แทบจะมีพล็อตเรื่องไม่ได้แตกต่างจากแอนิเมชันสไตล์ดิสนีย์เหมือนที่ผ่านๆ มาอันว่าด้วยเด็กสาวที่ค้นพบความพิเศษในตัวเองที่ดิสนีย์พยายามจะชูประเด็นจุดนี้มาโดยตลอดโดยเฉพาะผลงานระดับปรากฏการณ์โลกอย่าง ‘Frozen’ แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษขึ้นมาคือการนำเรื่องราวที่คุ้นเคยมาอยู่ในบริบทของสังคมการเมืองของโคลัมเบีย หนึ่งในประเทศที่มีความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองจนติดอันดับประเทศที่มีการย้ายถิ่นฐานมากที่สุดในโลก

มันเลยทำให้ภารกิจปกป้องโลกเวทมนตร์ในหนังดูมีความหนักแน่นและในเวลาเดียวกันก็แอบแฝงการสะท้อนความเจ็บปวดของผู้คนอยู่ในทีได้อย่างแยบยลเพราะทั้งภูเขาที่ปิดล้อมและมนตราต่างๆ คือการมีเพื่อปกป้องชาวเมืองจากศัตรูที่จะเอาสงครามมาทำลายชีวิตของพวกเขาอีก รวมถึงการที่อาบัวล่าให้ค่ากับพลังพิเศษที่หลานๆ จะต้องคอยแก้ไขปัญหาชีวิตให้ชาวเมืองและต้องรักษาภาพลักษณ์ของครอบครัวก็ยังทำให้เห็นถึงการแอบแฝงค่านิยมแบบชาวเบบีบูมเมอร์ที่พยายามตั้งกฎเกณฑ์และกำหนดกรอบให้เยาวชนทำตาม

และหากมองให้ลึกแล้วหนังยังให้ตัวละครมีราเบลกับอาบัวล่าเป็นตัวแทนของคนยุคเก่าและยุคใหม่ที่ปะทะความคิดกันอย่างน่าสนใจโดยฝ่ายแรกแทนค่าความคิดเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สืบทอดคุณสมบัติอะไรจากคนรุ่นเก่าและทีละน้อยเธอยังตั้งคำถามกับค่านิยมที่ฝ่ายหลังพยายามปกป้องและหวงแหนรวมถึงการพิสูจน์ความจริงเรื่องข้อกล่าวหาที่ญาติๆ และชาวเมืองกล่าวหาบรูโน่อาที่หาญสาบสูญตัวของเธออีกด้วย ดังนั้นความสนุกอีกอย่างของ ‘Encanto’ ก็คือการค่อยๆ ถอดความและตีความความสัมพันธ์ของตัวละครและการแฝงการปะทะกันทางความคิดนี่แหละ

ซึ่งจุดเด่นในงานของหนังเรื่องนี้คืองานเพลงที่เป็นแนวละครเวทีมิวสิคัลชัดเจนกว่าเพลงแอนิเมชันของดิสนีย์ในยุคหลังที่เน้นเป็นเพลงป๊อปเสียมากกว่า ดังนั้นงานเพลงและบทภาพยนตร์ของ ‘Encanto’ เลยทำหน้าที่สอดประสานกันไปในจังหวะของเรื่องราวและท่วงทำนองของบทเพลง ที่สำคัญการที่ได้แต่งเพลงให้ยังส่งผลต่อคาแรกเตอร์ในหนังที่สามารถเพิ่มจุดเด่นได้ด้วยบทเพลงประจำตัว

เพลงในหนังเริ่มด้วยเพลง ‘The Family Madrigal’ ที่บอกความพิเศษของครอบครัวมาดิกรัลได้ครบถ้วนในเพลงเดียว ในขณะที่ต่อมาแต่ละเพลงจะค่อยๆ เปิดเปลือยความในใจของตัวละครแต่ละตัวออกมาได้อย่างแยบยลและที่สำคัญมันยังทำให้เรื่องเดินหน้าได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น ‘Waiting on a Miracle’ ที่มิราเบลร้องเพื่อแทนความอัดอั้นในใจ ‘Surface Pressure’ ที่แทนความกดดันของลุยซ่าสาวแกร่งจอมพลังที่มีจังหวะจะโคนเก๋ๆ แต่ทรงพลัง

‘We Don’t Talk About Bruno’ ที่ตัวละครหลายๆ ตัวบอกถึงประสบการณ์อันเลวร้ายจากบรูโน่ สมาชิกที่เห็นนิมิตของครอบครัวแต่ต้องจรลีเพราะอคติที่ผู้คนมีต่อเขาไปจนถึง ‘What Else Can I Do?’ ที่แทนความอัดอั้นของอิซาเบลา สาวสวยผู้สามารถเสกดอกไม้ได้ ซึ่งในภาพรวมต้องบอกว่าเพลงในหนังทำได้ดีเกินคาดจริงๆ

Don`t copy text!