Waterloo Bridge

Waterloo Bridge

โดย : ภาสกร ศรีศุข

Loading

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

************************

ผู้กำกับ : Mervyn LeRoy

ผู้อำนวยการสร้าง : Sidney Franklin

ผู้เขียนบท : S. N. Behrman, Hans Rameau, George Froeschel

อ้างอิงจากละครเวทีเรื่อง Waterloo Bridge ปี 1930 โดย Robert E. Sherwood

นักแสดง : Robert Taylor, Vivien Leigh, Lucile Watson, Virginia Field, Maria Ouspenskaya, C. Aubrey Smith

ดนตรีประกอบ : Herbert Stothart

ผู้กำกับภาพ : Joseph Ruttenberg

เพราะประทับใจ Vivien Leigh จาก Gone with the Wind (1939) จึงอยากลองหาหนังเรื่องอื่นๆ ของเธอ จนกระทั่งไปเจอกับ ‘Waterloo Bridge’ (1940) ซึ่งออกฉายหลังจาก Gone with the Wind ไม่นาน (แต่เรื่องนี้เป็นภาพขาวดำ ขณะที่ใน Gone with the Wind ที่ฉายก่อนเป็นภาพสี เนื่องจากยุคนั้นการทำหนังสียังมีราคาแพง หนังขาวดำเลยยังได้รับความนิยมไปอีกหลายปี) แม้ว่า Waterloo Bridge อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเทียบเท่าผลงานสร้างชื่อของเธอ แต่ก็เป็นหนึ่งในหนังที่เมื่อคนนึกถึง Vivien Leigh ต้องดู

เนื้อเรื่องของ Waterloo Bridge นี่ก็พล็อตน้ำเน่าคลาสสิกมาก Vivien Leigh เล่นเป็น ‘Myra’ นักบัลเลต์ที่พบรักโดยบังเอิญกับ ‘Roy’ (Robert Taylor) บนสะพาน Waterloo ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเพียงไม่นาน (หรือจริงๆ คือไม่กี่ชั่วโมง) Roy ก็ขอ Myra แต่งงาน แต่แล้วก็มีอุปสรรคมาขัดขวาง เมื่อ Roy โดนเรียกตัวไปแนวหน้าด่วนในวันก่อนแต่งงาน หลังจากนั้น Myra ก็ต้องเผชิญชะตากรรมบางอย่าง ซึ่งทำให้เมื่อเธอได้กลับมาเจอ Roy แบบไม่คาดฝันอีกครั้ง จึงเกิดความสงสัยว่า “เธอยังคู่ควรกับ Roy อยู่หรือเปล่า”

ตัวหนังนั้นสร้างมาจากบทละครของ Robert E. Sherwood นะครับ ซึ่งตอนแรกนั้นถูกทำออกมาเป็นหนังในปี 1931 มาก่อนแล้วนะ (ดูเหมือนฉบับเก่าจะมีตัวละครครบมากกว่า (รู้สึกว่าจะมี Bette Davis เล่นด้วย) แต่อันนี้ก็ไม่รู้นะ เพราะไม่เคยอ่านบทละครเรื่องนี้) แต่เรื่องนี้โด่งดังมากกว่า โดยเนื้อเรื่องตอนแรกจะเล่าถึงการประกาศสงครามกับเยอรมันในเดือนกันยายน ปี 1939 (หนังฉายปี 1940) ซึ่งสงครามโลกครั้งที่สองยังไม่จบเลยนะ

นับว่าแม้จะน้ำเน่าไปนิดตามประสาหนังโรแมนติก แต่พอดูจบแล้วนี่ประทับใจมากๆเลยล่ะ เสียดายตอนจบบอกไม่ได้ กลัวจะดูไม่สนุก แต่แหม… ซึ้งกินใจจริงๆ และแถมยังมีเพลง Auld Lang Syne แบบมีแต่ทำนองบรรเลงในบางฉากอีก ฟังแล้วคิดว่ามันเหมาะกับหนังจริงๆ แม้ว่าจะถูกร้องในฉากที่เศร้าๆ ก็ตาม (ความรู้สึกคล้ายๆ กับ It’s Wonderful Life ทีเดียวแหละ)

ปเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่นักแสดงนำทั้งสองต่างบอกว่าเป็นหนังในดวงใจเลย (ถ้านับแค่หนังที่แต่ละคนเคยเล่นมา) โดยหนังยังได้ชิงออสการ์ 2 สาขาด้วยละ คือสาขากำกับภาพขาว-ดำกับสาขาดนตรีประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม (ถึงแม้จะพลาดรางวัลไป แต่ทั้งสองที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนั้นก็ได้รางวัลในสาขาเดียวกันจากเรื่องอื่นแทน)

มีเกร็ดเล็กนิดหนึ่ง ฉากตอนบรรเลงเพลง Auld Lang Syne ที่พระเอกกับนางเอกเต้นรำกันในตอนแรกนั้น มีบทพูดระหว่างนั้นด้วยนะ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครจำคำพูดที่ถูกได้ ผู้กำกับก็เลยตัดสินใจนาทีสุดท้ายว่าจะตัดบทพูดออก ก็เลยเป็นแบบอย่างที่เห็นนั่นแหละ และที่สำคัญหนังฉายในช่วงปีที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ แถมวันฉายรอบปฐมทัศน์เป็นวันที่เนเธอร์แลนด์โดนเครื่องบินเยอรมันถล่มที่เมืองร็อตเตอร์ดัมอีก

ส่วนสะพานวอเตอร์ลูนั้นถูกตั้งชื่อเพื่อรำลึกถึงสงครามวอเตอร์ลูที่อังกฤษและปรัสเซียชนะการรบกับจักรพรรดินโปเลียนในเบลเยียม รายละเอียดส่วนลึกนั้นต้องไปอ่านเอาเอง (เห็นใจผู้น้อยที่ไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ด้วย) และสะพานนี้มีความหมายกับพระเอกนางเอกมาก เพราะอะไรนั้นต้องดูเอาเอง

Don`t copy text!