The Outpost

The Outpost

โดย : ภาสกร ศรีศุข

Loading

นอกจากนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากนักเขียนมากมายแล้ว อ่านเอายังมีเรื่องหนังมาเล่าให้อ่านในคอลัมน์  “อ่านเอาเล่าหนัง” โดย โอ่ง – ภาสกร ศรีศุข ผู้มีความสนใจในเรื่องภาพยนตร์และมีความรักในการอ่านการเขียน เขาจึงเขียนมาเล่าให้ชาวอ่านเอาได้อ่านออนไลน์

ผู้กำกับ : Rod Lurie

ผู้อำนวยการสร้าง : Paul Michael Merryman, Paul Tamasy, Marc Frydman, Jeffrey Greenstein, Jonathan Yunger, Les Weldon

ผู้เขียนบท : Eric Johnson, Paul Tamasy

อ้างอิงจากนวนิยายเรื่อง The Outpost: An Untold Story of American Valor โดย Jake Tapper

นักแสดง : Scott Eastwood, Caleb Landry Jones, Orlando Bloom, Jack Kesy, Cory Hardrict, Milo Gibson, Jacob Scipio, Taylor John Smith

ดนตรีประกอบ : Larry Groupé

ผู้กำกับภาพ : Lorenzo Senatore

ผู้ตัดต่อ : Michael J. Duthie

The Outpost ดัดแปลงมาจากหนังสือจากนักข่าวสงครามของช่องซีเอ็นเอ็น เจค แท็ปเปอร์ ที่มีชื่อว่า The Outpost: An Untold Story of American Valor เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2009 เมื่อกองกำลังทหารสหรัฐฯ 54 นายได้ประจำการอยู่ที่ด่านหน้า เพื่อรักษาฐานที่มั่นบริเวณหุบเขาคัมเดซ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน ใกล้กับชายแดนปากีสถาน แต่ปรากฏว่าพวกเขาถูกดักจู่โจมโดยกลุ่มทหารตาลิบันกว่า 400 นาย กลายเป็นยุทธการสาดกระสุนกันอย่างโครมครามในหุบเขาอันห่างไกลจากความเจริญ เหตุครั้งนี้ทำให้มีทหารอเมริกันเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บอีก 27 นาย ขณะที่ทหารฝ่ายตรงกันข้ามเสียชีวิตนับร้อยชีวิต เรื่องราวดังกล่าวถูกนำมาตีแผ่เป็นหนังสือนิยายเชิงสารคดี ก่อนจะได้รับความสนใจหลังจากที่วางแผงไป

เป็นหนังที่แทบจะไม่ต้องการสตอรี่หรือพล็อตเรื่องอะไรเลย นอกจากชีวิตประจำวันของเหล่าทหารอเมริกันในค่าย ภารกิจเล็กใหญ่ที่ต้องทำในแต่ละวัน บางอย่างก็ดูบ้าบอและพาตัวเองไปเสี่ยงตายด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่เป็นแนวคิดสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาน่าสนใจและน่าประทับใจ ก็คงเป็นการเล่าเรื่องให้มองเห็น เข้าใจชีวิตและความรู้สึกนึกคิดของเหล่าทหาร โดยที่ไม่ต้องเน้นเล่าให้เป็นเรื่องราว แค่มองเห็นชีวิตประจำวัน ได้ฟังคำสนทนาที่ยิงเข้าใส่กันน้ำไหลไฟดับก็พอจะเก็บเกี่ยวได้แล้วว่าพวกเขาเจออะไรมาบ้างและกำลังเผชิญกับอะไรในค่ายที่เป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่เริ่มต้น

การจดจำตัวละครแต่ละตัวในนั้นอาจจะยากสักนิดนึง เพราะพวกเขามีเป็นสิบ ชื่อที่ขึ้นมาเพียงแวบเดียว และการที่แต่ละคนแต่งตัวด้วยชุดทหารจนมองเหมือนๆ กันไปหมด แถมหน้าตาที่มอมแมมยิ่งทำให้จดจำยากขึ้นไปอีก แต่เรายังดูหนังด้วยความตื่นเต้นได้

หนังไม่ได้บอกอะไรมากนัก ว่าสถานะของทหารอเมริกันกับกลุ่มชาวบ้านแถบนั้นเป็นอย่างไร ดูมีความคลุมเครืออยู่ไม่น้อย แต่สถานการณ์ช่วงครึ่งหลังที่กลุ่มตาลิบันบุกล้อมทุกทิศทาง ระดมยิงใส่ฐานที่มั่นหนึ่งเดียวของพวกเขา หนังจู่โจมเข้าใส่คนดูด้วยลีลาการเคลื่อนกล้องกึ่งแฮนด์เฮลด์ การถ่ายระยะใกล้ และลองเทก ประกอบกับเสียงปืน เสียงระเบิด ทั้งหมดเสมือนพาผู้คนให้เข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์จริง วิ่งหนีกระสุนกันจ้าละหวั่น เล็งเป้าเข้าหาศัตรูด้วยตาตัวเอง ตัดสินใจออกไปช่วยเหลือเพื่อนทหารด้วยความกล้าหาญ ครึ่งหลังของเรื่องเล่นเอานั่งไม่ติดที่ ใจเต้นระรัวตลอดเวลา นี่แหละสิ่งที่หนังทำให้เรารู้สึก

มันเป็นหนังสงคราม และอาจดูเหมือนหนังที่อวยความเป็นสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ใช่เลย หนังออกจะโวยต่อคนใหญ่คนโตด้วยซ้ำที่คิดก่อตั้งค่ายนี้ขึ้น ทั้งพื้นที่ซึ่งไร้ความได้เปรียบใดๆ ศัตรูไม่ต้องชำนาญพื้นที่ก็สามารถซุ่มโจมตีได้ทุกเมื่อ และกลุ่มทหารก็มีอยู่เพียงกระหย่อมหนึ่ง

หนังปิดท้ายด้วยความเศร้าสะเทือนใจ มองเห็นอย่างชัดแจ้งถึงความสั่นสะเทือนทางจิตใจที่ทหารได้รับจากการปฏิบัติงาน ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เราได้เห็นช่วงเวลาเหล่านั้น แถมยังเสมือนได้เข้าไปผจญห่ากระสุนด้วยตนเอง ฉากนั้น ใครที่ได้ดูมาตั้งแต่ต้นคงอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว มันมากเกินจะทนจริงๆ

ไม่ต่างกับหนังแนวสงครามที่สร้างจากเรื่องจริงเรื่องอื่น หนังเรื่องนี้มีของแถมปิดท้ายด้วยภาพของเหล่าทหารในค่ายที่ต่างได้รับเหรียญต่างๆ พร้อมให้เปรียบเทียบกันทั้งตัวจริงๆ กับตัวที่เล่นในหนัง ถ้าใครยังนั่งอยู่ไม่ลุกไปไหนก็จะได้ชมสารคดีที่ทหารจริงมาบอกเล่าเรื่องราวการสร้างอีกด้วยนะ

Don`t copy text!