Mommy and Uan (2) : Unconditional love

Mommy and Uan (2) : Unconditional love

โดย : คุณนายฮวง

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘(เรื่องเล่า) 6,200 วันในไต้หวัน’ โดย คุณนายฮวง สาวไทยสุดไฮเปอร์ที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ไทเปได้หลายปีดีดักกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในต่างแดนที่เต็มไปด้วยสีสันและมุมมองหลากหลาย เรื่องราวดีๆ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

***********************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เราอยู่ซินจู่ได้สิบเดือน ฉันไม่ชอบเลยเพราะมันไม่สะดวกเหมือนไทเป แถมห่างเพื่อนฝูงอีก เราจึงย้ายกลับมาอยู่ไทเปกันอีกครั้ง บ้านเช่าหลังที่สามนี้ เป็นคอนโดมีลิฟท์ หลังคอนโดเป็นทะเลสาบที่มีทางเดินได้รอบ เดินลึกเข้าไปอีก มี hiking trail ที่ไม่ชันมาก เดินกันได้แบบสบายๆ เราสามคน พ่อ แม่ ลูกสี่ขา มักจะออกไปเดินกันบ่อยๆ เวลาพาอ้วนลงไปเดินรอบทะเลสาบ หรือขึ้นเขา นางก็จะเริงร่า ถลาไปดมดอกไม้ทางนี้ที ไปยกขาฉี่ทางนู้นที เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขกัน ชีวิตค่อนข้างสะดวก เวลาจะออกไปฉี่ เราก็พาอ้วนเดินเข้าลิฟท์เอง ขึ้นลิฟท์ไปดาดฟ้าฉี่ วันที่ไต้ฝุ่นเข้า ก็พาลงไปที่สวนข้างล่างคอนโด ใส่เสื้อกันฝนให้อ้วนออกไปทำธุระส่วนตัว (อ้วนไม่ฉี่ ไม่อึในบ้านค่ะ) ห้องนั่งเล่นก็กว้างขวาง จับอ้วนตัดขนกันสบายๆ ไม่อึดอัดคับแคบเหมือนบ้านที่ซินจู่ เล่าถึงตรงนี้แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องนึงขึ้นมา อ้วนไม่ชอบอาบน้ำตัดขนเท่าไร อาบน้ำเนี่ย หนีไม่ได้ เพราะอยู่ในอ่างอาบน้ำ ส่วนตัดขนนี่ก็มีเรื่องให้ขำๆกัน

มีอยู่ครั้งนึงค่ะ พอแอนดรูว์เริ่มเอาอุปกรณ์ทั้งหลายออกมาเตรียมไว้  หันมาอีกที อ้วนหายไปไหน เดินมาตามในครัว เพราะนึกว่า อ้วนอาจจะเดินเข้ามาหาหม่ามี้ที่กำลังล้างจานอยู่ อ้าว ไม่อยู่นิ เดินไปหาในห้องทำงาน ห้องเก็บของก็ไม่มีอีก ปรากฎว่า นางไปแอบซุกซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ข้างเตียงด้านในที่ห้องนอนใหญ่ ป่าปี๊หัวเราะชอบใจในความฉลาดของลูกสี่ขา อุ้มออกมาฟ้องหม่ามี้ว่าไปเจออยู่ที่ไหน จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงปัตตาเลี่ยน พร้อมกับเสียงคุณชายปลอบเจ้าตัวแสบเป็นระยะๆ สักครู่ก็เงียบเสียงกันไป พอดีกับที่ฉันล้างจานเสร็จ เดินจากในครัวออกมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นคุณชายนั่งอยู่กับพื้น ข้างตัวมีอุปกรณ์การตัดขนวางอยู่ แต่ไร้ซึ่งเงาของอ้วน “อ้าว! ตัดเสร็จแล้วเหรอ แล้วอ้วนอยู่ไหนล่ะ” ฉันถามทันที ฮีก็ตอบยิ้มๆว่า “ไม่รู้สิ ไอแค่หยุดพัก ดึงขนที่ติดอยู่ออกจากปัตตาเลี่ยน อ้วนเดินหนีไปไหนก็ไม่รู้” แหม! มันน่าเอ็นดูทั้งพ่อทั้งลูกจริงๆ นะ เดือดร้อนหม่ามี้ต้องเดินเข้าไปชะโงกมองตามหาในห้องอื่นๆ แล้วก็ไปเจอเจ้าตัวแสบนอนขดอยู่บนที่นอนของตัวเองในห้องนอนใหญ่ เหลือบตามองหม่ามี้ที่กำลังควันเริ่มออกหู ส่งเสียงดังพร้อมกับเดินมาถึงตัว “อ้วน! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไปให้ป๊าตัดขนให้เสร็จเร็วๆ จะได้อาบน้ำต่อ เย็นแล้ว เร็วๆเข้า ลุกๆๆ” นางก็เลยค่อยๆลุกเดินนำฉันออกมาจากห้อง เสร็จแล้วฉันเลี้ยวเข้าครัวจะไปจัดการที่เคลียร์ในครัวต่อ ได้ยินเสียงคุณชายเรียก “อ้วน มานี่ มาหาป๊า มา” ฉันก็เลยหันกลับมาดู เจ้าตัวดีเดินตามฉันจะเข้าครัวมา ฉันหยุดกึก นางก็หยุดกึกตาม พร้อมกับนั่งลง ทำหน้าตาใสซื่อใส่หม่ามี้ ตานี้หม่ามี้ส่งเสียงดัง เขียวจัดเลยทีนี้ ชี้มือประกอบอีกตะหาก “ตามมาทำไม ไปให้ป๊าตัดขนให้เสร็จเดี๋ยวนี้นะ” นางก็ยังส่งสายตาอ้อนวอนต่อ ฉันเลยยกมือทำท่าจะตีบอกว่า “ไปเร็วๆ ยังไม่ไปอีก ต้องเจอหม่ามี้ตีก่อนใช่ไม๊ ฮะ!” เจ้าตัวดีจึงลุกขึ้น เดินคอตกหงอยๆ ไปหาป๊าที่นั่งหัวเราะชอบอกชอบใจรออยู่ ฉันเองก็อดหัวเราะไม่ได้ ที่เห็นท่านางเดินคอตกจ๋อยซะขนาดนั้น😂😃

มีอยู่วันนึง ฉันตื่นมาแล้วบ้านหมุน (ฉันมีอาการของ vertigo เป็นครั้งคราว) ก็เลยนอนแผ่อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ส่งสามีออกไปทำงานแบบนอนๆ ก่อนคุณชายจะออกไป ฮีก็พูดกับลูกชายสี่ขาของเราว่า “วันนี้หม่ามี้ไม่สบาย อ้วนอย่าดื้อกับหม่ามี้นะ แล้วคอยดูแลหม่ามี้แทนป๊านะ แล้วป๊าจะรีบกลับ” ฉันนอนฟังนึกขำในใจ อือ เอาๆ ใครจะดูแลใครกันแน่ แล้วก็นอนหลับตา ดมยาดมต่อไปอีกพักใหญ่ๆ คิดว่าเดี๋ยวอ้วนก็คงเดินเข้าไปนอนบนที่นอนของนางในห้องนอนเอง (เป็น routine ของนางค่ะ หม่ามี้จะเป็นอีแจ๋วก็เป็นไป นางต้องงีบช่วงเช้า หลังจากป่าปี๊ออกไปทำงานแล้ว) เมื่อรู้สึกดีขึ้น ลืมตาขึ้นพบว่าบ้านไม่หมุนแล้ว ก็เลยคิดว่าจะซักผ้าต่อเพราะแดดดี ลุกขึ้นมานั่ง เห็นน้องอ้วนนั่งอยู่ที่พื้น หน้าโซฟา ตาจ้องเป๋งอยู่ที่หม่ามี้ เลยยิ้มทักทายว่า “อ้าว! อ้วนไม่ได้ไปนอนเหรอ” แล้วฉันก็ลุกไปคว้าตะกร้าผ้าที่จะซัก เดินผ่านครัวออกไปที่ระเบียงหลัง เพื่อจะเอาผ้าลงเครื่อง ปกติอ้วนไม่เคยตามฉันออกไประเบียงหลังเลย ไม่แน่ใจว่าเพราะขี้เกียจก้าวข้ามประตูด้านหลังของครัวที่จะออกไประเบียงหรืออย่างไร เนื่องจากมีขอบเหล็กขึ้นมาค่อนข้างสูงอยู่ เพราะเจ้าของบ้านเช่าติดประตูมุ้งลวดขึ้นมาอีกบานนึง แต่วันนั้นหลังจากที่ฉันจัดการเอาผ้าลงเครื่องเสร็จ (กินเวลาประมาณ 15 นาทีได้ เพราะต้องทาพวกคอปกเสื้อเชิร์ต) หันกลับมาจะเดินเข้าบ้าน เห็นน้องอ้วนนั่งจุมปุ๊กรอหม่ามี้อยู่ตรงระเบียงหลัง ฉันชะงักแล้วยิ้มอย่างกว้างขวาง ลูบหัวน้องอ้วนเบาๆถามว่า “รอหม่ามี้เหรอ นึกยังไงวันนี้ออกมาข้างนอกนี่ได้ล่ะ อ้วน” ใจก็นึกอยู่ว่า ท่าทางลูกชายจะปฎิบัติตามคำสั่งของป๊าอย่างเต็มกำลังมั้งนี่ วันนั้นแอนดรูว์กลับมา ฉันเล่าให้ฮีฟัง ฮีก็ยิ้มปลื้ม ลูบหัวน้องอ้วนพูดด้วยว่า “อ้วน กู๊ดบอย” ฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้อากงของอ้วน (พ่อสามีฉันเองล่ะค่ะ😄) ฟังตอนไปเยี่ยมบ้านทางใต้ด้วย อากงก็หัวเราะชอบใจพูดว่า “ไม่เสียแรงที่เก็บมาเลี้ยง เป็นห่วงหม่ามี้ใช่ไหม อ้วน หือม์!”

หลังจากบ้านเช่าหลังที่สามหมดสัญญาเช่า พอดีกับที่เราได้ซื้อบ้านเป็นของเราเอง เป็นยูนิตที่อยู่อีกตึกนึงในคอนโดโครงการเดียวกันนี่ล่ะค่ะ หาบ้านได้ซะที หลังจากเช่าอยู่มาหกปี ฉันยังบอกน้องอ้วนเลยว่า “นี่เป็นบ้านของเราแล้ว อ้วน หนูไม่ต้องระหกระเหินย้ายตามป๊ากะหม่ามี้แล้วนะ ลูก” ที่บ้านของเรา อ้วนนอนในห้องกับเราเหมือนเดิม โดยฉันวางเบาะของอ้วนไว้ที่กำแพงด้านปลายเตียง เวลาหน้าหนาว เราตั้งฮีทเตอร์ไว้ใกล้ๆ อ้วนก็จะหลับสบาย แล้วฉันเพิ่งสังเกตว่า อ้วนแทบไม่ได้ชักเลยในช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นึกดีใจว่า ยาถึงโดสที่ควบคุมการชักได้แล้ว แฮปปี้กันดีถ้วนหน้า เวลาเราไม่อยู่บ้านกัน ฉันก็ไม่ต้องห่วงว่าอ้วนจะชักมากนัก แต่ตั้งแต่ย้ายกลับมาไทเปอีกครั้ง ฉันก็แทบไม่ออกไปไหน ด้วยความที่ไม่อยากทิ้งอ้วนอยู่บ้านคนเดียว ถึงจะไปบ้านเพื่อนคนไทยสังสรรค์บ้าง ฉันก็จับอ้วนใส่กระเป๋าแล้วพาขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าไปด้วยทุกครั้ง (เหมือนสมัยก่อนที่จะย้ายไปอยู่ซินจู่นั่นแหละ) ซึ่งทุกครั้งที่เดินทางโดยระบบขนส่งมวลชน อ้วนก็ให้ความร่วมมืออย่างดี นอนหรือนั่งเฉยๆ อยู่ในถุง โดยเฉพาะเวลานั่งรถไฟฟ้า หรือไปภัตตาคารไหน อ้วนจะนอนเงียบๆ ไม่ส่งเสียง ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าในถุงนั้นคืออ้วน เวลานั่งรถเมล์ไปกับฉัน ก็มีบ้างที่บางครั้งอ้วนจะลุกขึ้นมานั่ง ชะเง้อคอออกมามองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถ ยังเคยมีว่า บางป้ายรถเมล์ขณะที่รถเมล์จอดรอรับ-ส่งผู้โดยสาร เด็กวัยรุ่นที่ยืนอยู่ที่บ้ายรถเมล์ จะชี้ชวนกันดูอ้วน พลางร้องกันว่า น่ารักจริงๆ อีหม่ามี้ก็จะแบบปลื้มที่คนชมลูกตัวเอง ก็จะจับขาหน้าอ้วนโบกทักทายเด็กวัยรุ่นพวกนั้น ฮ่าๆๆ

อ้วนเป็นหมาที่ชอบกินผลไม้มากๆๆๆๆ ฉันเกิดมาก็เพิ่งเจออ้วนนี่ล่ะที่เป็นหมาชอบกินผลไม้ (แหม แต่จะว่าไป อ้วนก็เป็นหมาตัวแรกและตัวเดียวที่ฉันเลี้ยงนิ😅) เวลาที่ฉันล้างปอกผลไม้อยู่ในครัวนี่ น้องอ้วนจะมานั่งรอตาแป๋ว ฉันว่าอ้วนน่าจะเป็นหมาน้อยตัวในโลกนี้ ที่ได้กินผลไม้ล้างปากหลังอาหารทุกมื้อนะ😋 (เราให้อ้วนกินข้าววันละ 2 มื้อ คือมื้อเช้ากับมื้อเย็น) ป่าปี๊หม่ามี้กินผลไม้อะไร อ้วนก็กินด้วยเหมือนกัน ถ้าเป็นเชอรี่ เราก็ต้องเอาเม็ดออกให้ก่อนใส่จานให้อ้วนกิน มีตรุษจีนอยู่ปีนึง เราสองคนกลับกรุงเทพฯ เพื่อมาฉลองปีใหม่จีนกับที่บ้านฉัน เลยต้องเอาอ้วนไปฝากไว้กับเพื่อนชื่อนา สามีของนาเป็นข้าราชการที่มาประจำ American Institute of Taipei ซึ่งฉันไม่กังวลมากนัก ด้วยความที่นาเป็นคนรักสัตว์ แล้วก็บ้านของนาที่ทาง AIT เช่าให้อยู่ก็กว้างขวาง แถมเปิดฮีทเตอร์ทั้งบ้านตลอดเวลา อีกทั้งอ้วนก็คุ้นกับนาและสามีอยู่แล้วด้วย แต่ก็ยังมีโทรทางไกลจากกรุงเทพฯ มาเช็กกับนาบ้างครั้งสองครั้ง ซึ่งนาก็บอกว่าอ้วนสบายดี ไม่มีชักเลย นาให้ยา พาไปฉี่ตามที่ฉันบอกไว้ แล้วก็แฮปปี้มากที่มีเชอรี่กินทุกวัน😆 พอเรากลับมาถึงไทเป ฉันก็รีบขับรถไปรับอ้วนทันที่ที่บ้านของนา ปรากฎว่า น้องอ้วนไม่ยอมกลับบ้านกับหม่ามี้ค่ะ! ฉันสะพายกระเป๋าของใช้ของอ้วนพะรุงพะรังเรียกให้เดินตามมาว่า อ้วน ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ตามมาเร็วๆ เรียกเท่าไรนางก็นั่งเฉยมองหม่ามี้เหมือนจะพูดว่า หม่ามี้บ๊ายบาย อ้วนจะอยู่กับป้านาต่อฮับ ประมาณนั้น! 😂

หลังจากที่มีอ้วนมาเป็นลูกสี่ขา (มากกว่าลูกคนอื่นเค้าแค่สองขาเอ๊ง😆) ฉันรู้สึกว่า ฉันตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่มีลูก เพราะอะไรเหรอคะ ถ้ามีลูกเองจริงๆ ฉันคงเป็นแม่ที่ทำร้ายลูกโดยไม่ได้ตั้งใจแน่ๆเลย ต้อง over protective ลูกฉันแน่ๆ

มีอยู่ปีนึง เราพาอ้วนไปงานคริสต์มาสที่แถวตึกไทเป 101 เป็นงานที่จัดสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ มีพวกบูทออกร้านต่างๆ อาหารบ้าง โรงพยาบาลสำหรับสัตว์เลี้ยงบ้าง มีแม้กระทั่งสตูดิโอรับถ่ายรูปน้องๆ สี่ขา ฉันยังให้เขาถ่ายรูปน้องอ้วนทำเป็นพวงกุญแจเก็บไว้เลยค่ะ😊 หลังจากเดินดูงานกันเสร็จ เราก็พาน้องอ้วนมาเดินที่สวนหย่อมแถวนั้น เพื่อให้น้องอ้วนได้ฉี่บ้าง ขณะที่ปล่อยให้น้องอ้วนเดินสำรวจนู่นนี่ตามใจชอบ เราเดินคุยกันตามอยู่ห่างๆ ข้างหลัง ทันใดนั้นเอง ก็มีหมาพันธุ์ทางขนาดกลางอีกตัววิ่งห้อเข้าใส่น้องอ้วน พร้อมเห่าเสียงดังลั่น ราวกับจะเข้ามาขย้ำน้องอ้วน มีผลให้หมาอีกสองสามตัวบริเวณนั้น วิ่งกรูกันเข้ามาทางอ้วนด้วย เท้าไวเท่าความคิด ฉันวิ่งเต็มฝีเท้าถึงตัวน้องอ้วนก่อนหมาตัวนั้นแบบเฉียดฉิว คว้าตัวอ้วนขึ้นมากอดไว้ พร้อมกับยกเท้าขวาเตะกราดออกไปหมุนรอบตัวเป็นวงกลมเลย ราวกับจะประกาศให้เจ้าสี่ขาเหล่านั้นรู้ว่า “ลูกข้าใครอย่า(บังอาจ)แตะ!” คุณชายวิ่งตามมาทันพอดีกับ เจ้าของของเจ้าหมาพันธุ์ทางตัวนั้น ที่วิ่งมาดึงหมาตัวเองกลับไป พร้อมกับกล่าวคำขอโทษต่อฉัน ดีนะที่ขอโทษ ไม่งั้นล่ะ ฮึ่ม คงได้เจออิทธิฤทธิ์คุณนายฮวงยามแปลงกายเป็นลีหมกโช้วแน่ๆ (ลีหมกโช้วหรือหลี่มั่วโฉวในภาษาจีนกลางคือ นางมารร้าย ที่เป็นศิษย์ผู้พี่ของเซียวเหล่งนึ่งหรือเสี่ยวหลงนวี่)

 

Unconditional love

จนถึงเดือนตุลาคมปี 2009 ฉันกลับมางานหมั้นและงานแต่งงานหลานสาวที่ห่างกันแค่สามอาทิตย์ ฉันเลยตัดสินใจว่า จะอยู่สักเดือนนึง รอรับไหว้เสร็จสรรพแล้วค่อยกลับมาไทเป พอเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียวที่ฉันอยู่กรุงเทพฯ คืนวันเสาร์คุณชายเล่าว่า วันนั้นฮีนั่งรถไฟฟ้าไปเอายามาอีกเดือนให้น้องอ้วน ฉันก็เม้งฮีว่า “แล้วทำไมไม่พาน้องอ้วนไปให้หมอเช็คสุขภาพเสียหน่อย นานแล้วที่ไม่ได้พาไป จริงๆ ยาก็ยังพอมีถึงตอนไอกลับไป แล้วค่อยขับรถพาอ้วนไปหาหมอด้วยกันก็ได้” ฮีก็แก้เกี้ยวด้วยการส่งเสียงเรียกให้มาคุยกับหม่ามี้ แต่อ้วนนอนอยู่ในครัว ข้างจานข้าว-น้ำของนาง ไม่ยอมลุกมาคุยด้วย ฉันก็เลยส่งเสียงบอกอ้วนว่า “เดี๋ยวอีกอาทิตย์เดียวหม่ามี้ก็กลับไปหาอ้วนแล้ว ลูก โอ๋นะๆ อย่างอนหม่ามี้อีกนะครับ”

พอรุ่งเช้าวันอาทิตย์ แอนดรูว์ก็โทรมาบอกฉันว่า พาอ้วนไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์แถวบ้านที่เปิด 24 ชั่วโมง (คือร้านหมอเจ้าประจำของอ้วน อยู่กันคนละฟากของเมืองไทเปกับบ้านของเรา) เพราะฮีตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนเช้ามืด แล้วเห็นอ้วนไปนอนอยู่ในครัวอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อคืนอุ้มเข้าไปนอนในห้องด้วยกัน แล้วหมอที่โรงพยาบาลก็เลยรับตัวอ้วนไว้เป็นคนไข้ คอยสังเกตอาการ พร้อมทั้งให้ยาระบายฉี่ เพราะดูเหมือนการทำงานของไตไม่ค่อยดีแล้ว ฉันก็เลยเอ็ดตะโรใส่ฮีว่า “แล้วยูกลับบ้านมาทำไม ปล่อยน้องอ้วนไว้กับคนแปลกหน้าแบบนั้น อ้วนกลัวแย่เลย” ฮีก็อธิบายว่า “หมอให้อ้วนอยู่ในห้องรักษาตัว ไอเข้าไปไม่ได้ ได้แต่ดูอ้วนผ่านกระจก” ฉันก็บอกว่า “นั่นล่ะ ยืนเกาะกระจกดูไปสิ อย่างน้อยให้อ้วนเห็นว่า ป่าปี๊อยู่ด้วย ไม่ได้อยู่คนเดียวกับคนแปลกหน้า” ฮีก็ตอบฉันว่า “เดี๋ยวสายๆ หน่อย ไอจะขับรถกลับไปดู” แล้วก็วางหูกันไป ฉันก็ออกมาธุระกับหลานชาย นั่งอยู่บนรถ ป.อ.1 แอนดรูว์โทรเข้ามือถือมาบอกว่า น้องอ้วนจากไปแล้ว หมอโทรไปเรียกฮีมา ตอนนี้ฮีอยู่กับน้องอ้วน จะเอาหูโทรศัพท์วางไว้ที่หูอ้วน ให้ฉันเซย์กู๊ดบายกับอ้วนนะ ฉันร้องไห้โฮกลางรถเมล์เลยค่ะ แต่ก็พยายามสะอึกสะอื้นพูดกับน้องอ้วนว่า “อ้วน หม่ามี้ขอโทษนะ ลูก ถ้าหม่ามี้อยู่ด้วย อ้วนก็ไม่ต้องจากไปอย่างเดียวดาย อ้วนรอหม่ามี้หน่อยนะ เดี๋ยวหม่ามี้จะรีบเปลี่ยนตั๋วกลับไปหานะครับ” 

คืนนั้นฉันก็นอนร้องไห้ไปจนหลับ ตื่นเช้ามาก็ร้องไห้อีก พี่สาวต้องลูบหัวปลอบใจ พอถึง 8 โมงเช้าฉันก็รีบโทรไปสายการบิน ซึ่งวันนั้นทั้งวันไฟลท์เต็มหมด ฉันเลยได้ตั๋วกลับวันอังคารเช้า เช้าวันอังคารพี่สาวขับรถไปส่งที่สนามบิน ก่อนขึ้นเครื่อง อาเตี่ยก็บอกฉันว่า อย่าไปพูดต่อว่า โทษแอนดรูว์ว่า ไม่ดูแลอ้วนให้ดีนะ ฉันก็รับคำสะอึกสะอื้น นั่งร้องไห้มันบนเครื่องตั้งแต่กรุงเทพฯ ยันไทเปนั่นแหละ ใครมองก็มองไปเหอะ ก็ลูกสี่ขาฉันจากไปโดยที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วยในนาทีสุดท้ายของชีวิตเขานี่นะ คุณชายมารับฉันที่สนามบิน แล้วพาตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อเจอน้องอ้วน น้องอ้วนนอนตัวแข็งลืมตาอยู่ในห้องเย็น ฉันก็ร้องไห้บอกว่า “หม่ามี้มาแล้ว ลูก หนูหลับให้สบายนะ ไม่ต้องทนกับโรคภัยไข้เจ็บใดๆ แล้ว” กลับมาถึงบ้าน คุณชายก็โทรติดต่อกับ funeral home สำหรับหมา แล้วก็นัดให้มารับเราที่คอนโดสายๆ วันรุ่งขึ้น พอเช้าวันพุธเราสองคนไปรับน้องอ้วนจากโรงพยาบาล แล้วพาอ้วนไปไหว้ลาพระที่วัดหลังบ้าน ซึ่งตอนอ้วนมีชีวิตอยู่ เราก็เคยพาไปอยู่เสมอๆ แล้วจึงกลับมารอรถมารับ ไปถึงที่ เขาก็ทำพิธีทางศาสนาพุทธแบบจีน ส่งน้องอ้วนเข้าเตาเผา โดยเราได้นำผ้ารองเบาะนอนผืนโปรดของอ้วน ให้อ้วนรองนอนเข้าเตาเผาไป ตลอดเวลาที่ทำพิธีนี้ เขาได้เปิดเทปเสียงพระจีนสวดอยู่ตลอดเวลา แล้วเราก็นำโถกระดูกของอ้วนกลับมาไว้ที่บ้าน เพราะถ้าฝังไว้ที่สุสาน แอนดรูว์บอกว่าเวลาฝนตกฟ้าคะนอง อ้วนอาจกลัวได้ เพราะตอนมีชีวิตอยู่เป็นแบบนั้น

คนจีนมีความเชื่อว่า ในวันที่เจ็ดหลังจากเสียชีวิต วิญญาณจะกลับมาบ้าน ตอนกลางคืนของวันที่เจ็ดที่อ้วนจากไป ฉันเข้านอนประมาณ 3-4 ทุ่มได้ ส่วนคุณชายก็นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานอยู่ ฉันพยายามข่มตาให้หลับ (ฉันเป็นคนนอนยากตั้งแต่เด็กๆแล้ว) พลิกไปพลิกมา ขณะที่กำลังเคลิ้มๆเกือบจะหลับ หรือหลับไปแล้วแต่ยังไม่หลับสนิทก็ไม่รู้นะคะ มารู้สึกตัวตื่น (แต่ยังงัวเงียอยู่นิดๆ) เพราะได้ยินเสียงกรนสนั่น นอนฟังอยู่ไม่ถึงห้าวินาทีถึงจับต้นเสียงได้ว่ามาจากทางปลายเตียง แล้วมันคือเสียงกรนของอ้วน เลยลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับร้องเรียกอ้วน ฉันว่าฉันตาไม่ฝาดนะ ฉันเห็นอ้วนนอนอยู่บนเบาะที่นอนของอ้วน ที่ฉันจัดไว้ให้เป็นที่นอนที่ปลายเตียงของเรา แค่พริบตานั้นเองก็เป็นเบาะว่างเปล่าเหมือนเดิม คุณชายได้ยินเสียงฉันเรียกอ้วน เลยวิ่งเข้ามาดู ฉันเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ฮีเลยบอกฉันถึงความเชื่อของคนจีน ฉันคิดว่าอ้วนคงมาลาหม่ามี้ ก็เลยนึกในใจบอกอ้วนว่า ขอบใจที่มาหาหม่ามี้นะ ลูก หนูขึ้นไปวิ่งเล่นบนสวรรค์ของน้องหมาให้สนุกนะ ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว

ฉันเชื่อค่ะว่า “พระท่านส่งอ้วนเข้ามาในชีวิตของฉัน เพื่อเปลี่ยนฉันให้เป็นคนรักหมา ให้รู้จัก Unconditional love

Don`t copy text!