ตามล่าหา น้ำตาแสงไต้ (1)

ตามล่าหา น้ำตาแสงไต้ (1)

โดย : คุณนายฮวง

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘(เรื่องเล่า) 6,200 วันในไต้หวัน’ โดย คุณนายฮวง สาวไทยสุดไฮเปอร์ที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ไทเปได้หลายปีดีดักกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในต่างแดนที่เต็มไปด้วยสีสันและมุมมองหลากหลาย เรื่องราวดีๆ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

***********************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ เราสองคนมักจะดูทีวีพวกรายการสารคดีทางช่องข่าว ทำให้ฉันได้รู้จักไต้หวันในอีกหลายๆ แง่มุม เมื่อตอนเช้าวันแรงงานได้ดูสารคดีเกี่ยวกับ ‘梅花鹿 -เหมยฮวาลู่’ หรือกวางดาวที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Sika deer, Spotted deer, Japanese deer แหม มีหลายชื่อจังนะคะ😁 ในสารคดีพูดถึงการดูแลปกป้องไม่ให้เหมยฮวาลู่สูญพันธุ์ พาไปดูตามอุทยานแห่งชาติหรือแหล่งอนุรักษ์บ้าง มีที่นึงคือ เกาะต้าชิวที่เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ในเขตของหมู่เกาะหม่าจู่ – 馬祖 (Matsu Islands) ต้าชิวเป็นเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่อยู่บนเกาะนี้คือเหมยฮวาลู่ ดูสารคดีแล้วเลยทำให้ฉันนึกถึงทริปตามล่าหา ‘น้ำตาแสงไต้’ ที่หมู่เกาะหม่าจู่ของเราเมื่อสี่ปีที่แล้ว ให้เสียดายนักที่ตอนนั้นไม่ได้ซื้อตั๋วนั่งเรือข้ามมาดูเหมยฮวาลู่ ด้วยความที่ฉันนึกว่าจะเป็นเกาะป่ารกชัฏอะไรประมาณนั้น

Deers on Da Qiu island – 大邱 – เกาะต้าชิว

ตั้งแต่ได้เห็น ‘Blue Tears’ หรือ ‘藍眼淚 – หลันเอี่ยนเล่ย’ จากรายการทีวีพาเที่ยวชื่อดังของไต้หวันเมื่อหลายๆๆๆๆๆๆ ปีก่อนนู้น ฉันก็ตั้งใจว่าจะไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้ง จนต้นเดือนสิงหาปี 2017 จึงได้ฤกษ์ไปซะที ฉันหาข้อมูลจากเว็บไซต์การท่องเที่ยวของ 馬祖 – หม่าจู่ (Matsu Islands) โดยตรงบอกว่า ‘Blue Tears’ จะมีช่วงเมษายน-สิงหาคม เมื่อหาตั๋วเครื่องบินและที่พักได้ต้นสิงหาจึงออกจะดีใจที่ฝันจะเป็นจริงแล้ว เครื่องบินบินลงแค่สองเกาะคือ 北竿 – เป่ยกัน กับ 南竿 – หนันกัน ที่ใหญ่และมีเที่ยวบินมากกว่าเป่ยกัน

เราจอง boutique hotel เล็กๆ ที่หมายตาไว้ได้สองคืนชื่อ 日光海岸 (Coast of the Dawn) ที่นี่ห้องพักมีจำนวนไม่มาก ทางโรงแรมมีบริการรับส่งฟรีจากสนามบินด้วยนะ อ้อ เกือบลืม😅 โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่เจ้าของเป็นพวกสายกรีนค่ะ อย่างน้ำขวดในห้องไม่มีให้ ใช้เป็นเหยือกน้ำแทน ถ้าน้ำหมดเดินออกมาขอน้ำเติมได้ที่ล็อบบี้ พวกสบู่ แชมพูอะไรก็เป็นขวดใหญ่ติดผนัง อาหารที่นี่เป็นอาหารมังสวิรัติ อาหารเช้าทั้งสองวันที่เรากิน อร่อยใช้ได้เลยนะคะ ออกแนวสุขภาพเล็กๆ เช้าวันแรกได้กินเบเกิ้ลสไตล์หม่าจู่ เบเกิ้ลมังสวิรัตินี่กินแล้วไม่รู้สึกแตกต่างจากเบอร์เกอร์ปกติเลยล่ะค่ะ อาหารเช้าที่นี่ให้เป็นเซต ผักก็ปลูกเองในบริเวณโรงแรม สดของจริงเลยล่ะ ชาที่เสิร์ฟพร้อมอาหารเช้าก็เป็นพวกชาสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งในห้องพักก็มีจัดให้ แล้วถ้าแขกชอบก็มีวางขายอยู่ในบริเวณล็อบบี้ด้วย ถูกใจคุณนายฮวงที่เป็นสายกรีนเช่นกันมากๆ ค่ะ😍

ที่โรงแรมนี้ ไม่ว่าจะเป็นล็อบบี้ (เป็นห้องอาหารด้วย) หรือห้องพัก เราสามารถมองเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกได้สบายๆ พอฝากกระเป๋าและเช่ารถสกูตเตอร์จากทางโรงแรมเรียบร้อย เราก็ขี่ออกมาสำรวจเกาะกันเลย ซึ่งขี่ไม่ยากค่ะ เพราะจะมีถนนเส้นหลักที่วิ่งได้รอบเกาะอยู่เส้นเดียว แล้วป้ายบอกถนนเล็กที่แยกออกไปก็เห็นได้ง่ายๆ จุดหมายแรกที่เราไปคือ วัดมาจู่ (媽祖廟 – มาจู่เมี่ยว) เพื่อสักการะเจ้าแม่มาจู่ก่อน (ตามธรรมเนียมของทุกชาตินะคะ ‘ไปลา มาไหว้’) อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเราด้วย ขี่ไปนิดเดียวเราก็มองเห็นรูปปั้นเจ้าแม่จากถนนสายหลัก เลยจอดรถถ่ายรูปจากระยะไกลกันก่อนจะขี่ต่อไปถึงวัด ว่ากันว่าเป็นรูปปั้นของเจ้าแม่ที่องค์ใหญ่สุดในเอเชีย

โฮมสเตย์ที่หมู่บ้านจินซาจวี้ลั่ว

จากวัดสามารถขี่รถไปตามถนนที่ผ่านร้านขายของอ้อมไปขึ้นถึงองค์เจ้าแม่ได้ แต่เราไม่รู้ใช้วิธีเดินไป ไต่บันไดกันขึ้นไป เล่นเอาหอบเหมือนกัน ฮ่าฮ่า แต่ก็ดีค่ะ ได้เห็นวิวทะเลสวยๆ ไหว้พระและเจ้าแม่เสร็จ คุณชายเธอบอกว่าเราขี่รถตามหาร้านอาหารชื่อดัง ‘อีม่าเตอเตี้ยน – 依嬤的店’ กินกลางวันกันก่อนเถอะ เพราะน่าจะอยู่ไกล ไว้มื้อเย็นค่อยมากินแถวนี้ ยังไงก็อยู่ใกล้ที่พักอยู่แล้ว  ร้านนี้ออกจะหายากสักนิด อยู่บนถนนสายเล็กๆ ที่ป้ายถนนเขียนไม่กระจ่างนัก เราหลงขี่เลยไปหน่อยนึง แต่ก็วกกลับมาหาเจอจนได้ เราสั่งเซตที่เป็นอาหารอย่างละนิดอย่างล่ะหน่อย จะได้ชิมทุกอย่างเลย มาพร้อมข้าวหนึ่งชามราคาชุดละ 330 หยวน ออกจะแพงไปนิด แต่ถือว่าได้ชิมหลายจานของทางร้านก็รับได้นะคะ พอดีช่วงสิงหาคมเป็นฤดูของหอยแมลงภู่ เราเลยได้กินหอยแมลงภู่ตัวเบ้งที่สดอร่อย กุ้งก็สด (มาเกาะทั้งทีอะนะ ต้องกินของทะเลสดกันหน่อย อิอิ) ปลาทอดก็อร่อยใช้ได้ เกี๊ยวน้ำก็แจ่ม โอเคละ อิ่มแล้วไปต่อได้ ฮ่าฮ่าฮ่า😂

ทางเข้า ปาปาเคิงเต้า
อุโมงค์ที่ใช้เก็บเหล้าเกาเหลียง

ขี่รถกลับออกมาเห็นป้ายชี้บอกทางไป Stronghold No.12 คุณชายบอกน่าจะเป็นป้อมทหารเก่าที่กลายเป็นร้านกาแฟที่เธออ่านเจอบนเน็ต เลยขี่ขึ้นเนินต่อไป ใช่จริงๆ ด้วย เลยไปนั่งจิบกาแฟชมวิว แถมเซอร์ไพรส์มุดอุโมงค์กันสนุกไปเลย ซดโกปี๊กันเสร็จเราก็ขี่รถสำรวจต่อ ดูจากแผนที่ เราอยู่ใกล้โรงงานผลิตเหล้าเกาเหลียงของหม่าจู่ แวะชมซะหน่อยก่อนไปชมอุโมงค์เก่า (八八坑道 – ปาปาเคิงเต้า) ที่ตอนนี้ใช้เก็บเหล้าเกาเหลียงที่กำลังอยู่ระหว่างการหมักบ่ม ซึ่งอยู่ละแวกใกล้ๆ กับโรงงานนั่นล่ะ อากาศข้างนอกร้อนมากๆ แต่พอเราเดินเข้าอุโมงค์ปุ๊บ เจออากาศเย็นสบาย มิน่าล่ะ ถึงใช้อุโมงค์เป็นที่เก็บเหล้า เดินไปก็สูดดมความหอมของเหล้าเกาเหลียงที่อยู่ในไหหมัก กลิ่นตลบอบอวลหอมดีจัง

ต้องเล่านิดนึงว่าในช่วงสงครามเย็น หม่าจู่เป็นฐานทัพทหารที่ใช้สอดส่องความเคลื่อนไหวของจีนแผ่นดินใหญ่ ตอนนี้ทางรัฐบาลได้เปลี่ยนหม่าจู่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมี ‘หลันเอี่ยนเล่ย’ เป็นตัวดึงดูด อุโมงค์ที่เคยใช้เป็นที่สะสมเสบียง อาวุธ เรือสอดแนม ฯลฯ จึงถูกดัดแปลงมาใช้ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่ออีกที่หนึ่งของเกาะหนันกันก็คือ ‘北海坑道 – เป๋ยไห่เคิงเต้า’ ซึ่งการท่องเที่ยวของหม่าจู่โปรโมตว่าเป็นจุดนั่งเรือชมหลันเอี่ยนเล่ยได้ดีที่สุด เพราะในอุโมงค์ (ที่ใช้ทหารนับหมื่นคนขุดเป็นเวลาหลายปี) ตอนกลางคืนจะมืด และหลันเอี่ยนเล่ยจะเรืองแสงสีฟ้าสะท้อนผนังถ้ำสวยงาม

นั่งเรือชมอุโมงค์

พอดีว่าโรงแรมที่พักของเราอยู่ข้างบนเหนือเป๋ยไห่เคิงเต้า หลังจากที่เรากลับมาล้างหน้า พักเหนื่อยจากการขี่รถกลางแดดเปรี้ยงพอแล้ว จึงตัดสินใจมาดูลาดเลาสักนิดว่าจะนั่งเรือชมอุโมงค์ตอนกลางวันหรือกลางคืนดี คือในอุโมงค์มีทำทางเดินแคบๆ อยู่ด้านข้างด้วย จะเข้าไปเดินชมก็ฟรี ถ้านั่งเรือเสียเงินคนละ 150 หยวน แต่กลางคืนคนละ 300 หยวน ตอนเราเดินเข้าไปถึงประตูทางเข้า เหลือที่นั่งสองที่ในเรือพอดีที่เขาจะออกเรือ เอ้า ลงก็ลง เราพยายามถ่ายรูปด้านใน แต่ด้วยความที่เรือพายโคลงไปมาเล็กน้อย รูปส่วนใหญ่ออกมาเบลอๆ เกือบทั้งนั้น คุณชายเลยบอกว่าไว้กลางคืนเราค่อยมาอีกที แล้วเดินเข้าไปถ่ายรูปหลันเอี่ยนเล่ยน่าจะดีกว่า

หัวอินเดียนแดง

ใกล้ๆ กับอุโมงค์นี้ มองไปริมทะเล เห็นภูเขาเป็นรูปคล้ายๆ หัวอินเดียนแดง เลยเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ แหม! ใครจะนึกคะว่าหัวอินเดียนแดงเป็นอุโมงค์ ที่ด้านในมีจุดตั้งปืนใหญ่ตั้ง 2-3 จุดแน่ะ ชักเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่าทั้งเกาะนี่มีอุโมงค์ทั้งหมดกี่แห่งกันนะ แถมป้อมสังเกตุการณ์อีก ขี่รถสำรวจเกาะต่อไป ก็ยังไปเจอป้อมทหารเก่าอีกแห่ง (鐵保 – เถียเป่า) ก่อนที่จะไปเจอหมู่บ้านเล็กๆ (津沙聚落 – จินซาจวี้ลั่ว) ที่มีบ้านเก่าๆ แต่ตอนนี้ทางรัฐบาลให้เงินช่วยปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้ดีขึ้น บางบ้านก็เปิดเป็นโฮมสเตย์รับนักท่องเที่ยวด้วย ตอนกลางคืนเรากลับมาที่อุโมงค์อีกที เขาบอกว่าตอนกลางคืนไม่ให้เดินข้างใน ให้นั่งเรือชมได้อย่างเดียว เดินไม่ได้อันตราย เพราะปิดไฟเพื่อที่จะให้เห็นหลันเอี่ยนเล่ย เราเลยถอยออกมา เพราะไม่รู้ว่าจะมีหลันเอี่ยนเล่ยให้ดูหรือเปล่า แล้วก็รู้สึกว่านั่งเรือก็ถ่ายรูปไม่ง่าย ออกมาเดินหาเอาที่ทะเลตรงด้านนอกก็ได้😕 เราเลยกลับออกมาขี่รถตามล่าหาหลันเอี่ยนเล่ย แต่คว้าน้ำเหลวทุกจุดที่ไป😢

วิวตอนกลางคืนของหินหัวอินเดียนแดง

ยังไม่จบนะคะ ทริปนี้คือสามวันสองคืน To be continue next week… นั่นแน่! มีทีเซอร์เสียด้วย😜😂

Don`t copy text!