Mommy and Uan (1) : How a stray dog has changed my life

Mommy and Uan (1) : How a stray dog has changed my life

โดย : คุณนายฮวง

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘(เรื่องเล่า) 6,200 วันในไต้หวัน’ โดย คุณนายฮวง สาวไทยสุดไฮเปอร์ที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ไทเปได้หลายปีดีดักกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในต่างแดนที่เต็มไปด้วยสีสันและมุมมองหลากหลาย เรื่องราวดีๆ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

***********************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ฉันเป็นคนกลัวหมามาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะตอนอายุน่าจะประมาณ 4-5 ขวบได้มั้งคะ โดนหมาแม่ลูกอ่อนกัด พวกพี่ๆ เขาชวนไปดูลูกหมาเพิ่งคลอดแถวๆ บ้าน ก็เฮละโลตามเค้าไป แม่หมาก็คงนึกว่าพวกเราจะไปทำร้ายลูกๆ เลยลุกขึ้นมาวิ่งไล่เห่าเสียงดัง ขบวนดูลูกหมาก็แตกกระเจิงไปกันคนละทิศละทาง ฉัน – อาหมวยเล็กที่ตัวเล็กสุด ขาสั้นกว่าใครเค้า วิ่งอยู่ท้ายขบวน เลยโดนคุณหมาแม่ลูกอ่อน งับเข้าที่ต้นขา เป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้ นับแต่นั้นมา ถ้าเห็นหมาที่ไหนก็ตาม เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง ยอมเดินอ้อมหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่ต้องเดินขาสั่นพั่บๆ ผ่านหมาเป็นพอ

แต่ก็นั่นล่ะนะ โชคชะตาพาให้มาประสบพบรักกับ “คุณชายแอนดรูว์ หวาง” จากเกาะไต้หวัน เมื่อครั้งไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา ตอนแรกไม่รู้หรอกว่า ฮีรักหมาเป็นชีวิตจิตใจ รักจริงๆ ค่ะ คือถ้ามีสาวสวยจูงหมาเดินสวนมา ฮีมองจนเหลียวหลังเลยนะคะ มองหมานะไม่ได้มองสาว เฮ้อ แต่เจ้าฮัสกี้ตัวนั้นมันก็สวยสง่าน่าเกรงขามดีอยู่หรอก พอฮีรู้ว่าฉันมีความหลังฝังใจที่ไม่ดีกับหมา ก็อธิบายให้ฉันฟังว่า “ยูต้องเข้าใจธรรมชาติของหมานะ ถ้ายูยิ่งแสดงความกลัว หมามันก็จะรู้สึกได้ แล้วบางทีหมาเห่าก็ไม่ได้แปลว่ามันจะกัด มันอาจจะแค่เห่าทักทายก็ได้ เจอหมาเห่า ก็แค่เดินต่อไปเฉยๆ อย่าวิ่ง เพราะวิ่งปุ๊ป หมามันก็วิ่งไล่ตามทันที” ฉันพยักหน้าหงึกๆ “เอาๆ แต่ถ้าเวลาเจอหมา ยูต้องเดินนำหน้าฉันก็แล้วกันนะ โอเค้?😁”

เมื่อเราเพิ่งอพยพกลับมาอยู่ไทเปกันได้ประมาณแค่ปีเศษๆ ในค่ำวันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 ขณะที่เราสองคนไปเอารถที่ที่จอดรถตรงสถานีรถไฟฟ้าซินผู่เพื่อขี่กลับบ้าน ฉันขึ้นนั่งซ้อนท้ายเรียบร้อย คุณชายกำลังจะออกรถก็พอดีมีเด็กสาวสองคนเดินผ่านหน้าสกูตเตอร์เราไป พร้อมกับมีหมาตัวน้อยกระปุกกระปุยเดินตามดุ๊กดิ๊กๆอยู่ข้างหลัง เราสองคนก็ยังว่า เออ ไอ้ตัวเล็กนี่มันเดินย้ายก้นน่าเอ็นดูดีจัง มองตามไป อ้าว ไหงแม่หนูสองคนนั่นเดินข้ามถนนไปลิ่วๆ อย่างไม่คิดหันกลับมาอุ้มเจ้าสี่ขาปุกปุยไปด้วยล่ะ พอดีมีสกูตเตอร์อีกคันแล่นออกมาโดยไม่ดูตาม้าตาหมาที่ไหนทั้งสิ้น เกือบจะเฉี่ยวเอาเจ้าตัวเล็ก มันก็รีบมุดเข้าไปหลบอยู่ใต้สกูตเตอร์อีกคันที่จอดอยู่ตรงนั้น เท่านั้นล่ะ คุณชายผู้พิทักษ์หมาก็ขี่รถตรงรี่ไปหาเลยค่ะ แล้วก็พยายามเรียกเจ้าสี่ขาที่ตัวสั่นพึ่บๆ ให้ออกมา เรียกให้มันขึ้นสกูตเตอร์ของเรา มันก็พยายามตะกายขึ้นมาค่ะ เลยมองตากันว่าจะเอาไงดีเนี่ย ฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ทางผ่านกลับบ้านของเรามีร้านสัตว์แพทย์นี่นา เราเอาไปถามเค้าดีมั้ยว่า ที่นี่มีไหม ประเภทสถานที่ของเทศบาลที่เราจะเอาไปฝากไว้เผื่อเจ้าของจะมาตามหา พอเราเอาไปที่ร้านหมอหมา เค้าก็บอกว่า มี แต่ถ้าไม่มีใครมารับไป ครบ 7 วันเขาก็กำจัดหมาซะ เฮ้ย! อะไรวะ!!! เล่นแบบนี้เลยเรอะ โหดไปหน่อยมั้ง คุณชายก็เลยหันมาปรึกษากับฉันว่า “เอาแบบนี้ดีไหม ให้หมอเขาช่วยตรวจดูแล้วก็อาบน้ำตัดขนให้เจ้าหมาน้อยตัวนี้ แล้วเราเอากลับไปไว้ที่บ้านก่อน พรุ่งนี้ไอจะไปถามเพื่อนๆ ในออฟฟิศว่ามีใครอยากได้ไหม” ฉันก็คิดว่า เอาเถอะ ดูแล้วเป็นหมามีตระกูล (พันธุ์ Yorkshjre Terrier) คงไม่ยากที่จะช่วยหาบ้านให้ ก็เลยตามใจสามี

หลังจากพาเจ้าหมาน้อยที่ได้รับการอาบน้ำตัดขน ที่ยาวรกรุงรังจนปิดลูกตามันกลับมาบ้าน คุณชายขอไปอาบน้ำก่อน ปล่อยให้ฉันนั่งดูทีวี โดยมีเจ้าหมาน้อยที่ตอนนี้เห็นตากลมโตใสแจ๋ว นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง มันนั่งเอียงคอทำหน้าตาน่ารัก ใช้ดวงตาใสซื่อจ้องมองฉัน ฉันก็เหลือบมองมันเป็นระยะ เพราะก็ยังรู้สึกแปลกๆ ที่มีหมาอยู่ในบ้าน แล้วก็เดาใจมันไม่ถูกว่ามันวางแผน คิดจะทำอะไรกับฉันรึเปล่า😅 จ้องกันไป จ้องกันมาแป๊ปเดียวเอง มันก็ล้มตึงลงไป ขาเหยียดตรง ตัวสั่นพั่บๆๆๆ แล้วน้ำมาจากไหนนองเต็มเก้าอี้เลย เฮ้ย! เป็นอะไรน่ะ ฉันตกใจลุกพรวด ถอยห่างออกมาตั้งหลัก จ้องมันแบบไม่คลาดสายตา ปากร้องเรียก “แอนดรูว์ๆ” แต่ฮีคงไม่ได้ยิน มันทำท่านั้นอยู่สักพัก ก็พยายามยันตัวลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับหอบแฮ่กๆๆๆๆ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิด จึงรีบส่งเสียง “แอนดรูว์ๆ มาเร็วๆ” ฮีก็รีบเดินมาหาฉัน ฉันก็รีบเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฮีฟัง พร้อมกับทำท่าทางของเจ้าหมาน้อยเมื่อสักครู่นี้ ประกอบการบรรยายไปด้วย คุณชายอุ้มมันขึ้นมา ถึงได้เห็นว่าตัวมันเปียกฉี่ไปข้างนึง ฮีรีบอุ้มมันเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำ เช็ดตัวให้ แล้วก็พูดว่า “พรุ่งนี้เราพามันไปหาหมอ ถามหมอดูดีกว่า” คืนนั้นฉันต้องเอาเบาะรองนั่งให้เจ้าหมาน้อยนอนในห้องนั่งเล่น รุ่งขึ้นเราก็รีบหอบหิ้วพามันไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้หมอตรวจแบบละเอียดกันเลย ได้ข้อสรุปว่า เจ้าหมาน้อยเป็นโรคลมบ้าหมูแถมโรคหัวใจอีกด้วย และแล้วจากหมาที่ถูกเจ้าของทิ้งเพราะทนเห็นมันชักบ่อยๆ ไม่ได้และอาจจะไม่มีเงินจ่ายค่ายา (อันนี้หมอเค้าสันนิษฐานนะคะ เพราะว่าตรวจดูแล้ว ไม่มีไมโครชิปฝัง) เจ้ายอร์กกี้ก็ได้กลายมาเป็น “หวาง เสี่ยว อ้วน” ลูกชายสี่ขาของ “ใต้เท้ากับฮูหยิน หวาง” ด้วยประการฉะนี้แล ^_^

 

How a stray dog has changed my life

ฉันไม่เคยคิดจะเลี้ยงหมาเลยค่ะชีวิตนี้ ถึงคุณชายจะรักหมาแค่ไหนก็ตาม เพราะหนึ่ง ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับหมาใดๆ ทั้งสิ้น สอง รู้สึกว่าหมาต้องทำบ้านสกปรกเลอะเทอะแน่ๆ และสาม ก็กลัวหมานี่คะ ต่อให้กลัวน้อยลงตั้งแต่มาเจอแอนดรูว์ก็เหอะ ยังไงๆ ก็ไม่เอาด้วยหรอก แต่ก็นะ คงเป็นเพราะเราผูกพันกันมาแต่ปางก่อน “น้องอ้วน” หรือ “อ้วน” หรือ “ไอ้อ้วน!” (อันนี้แล้วแต่อารมณ์ของหม่ามี้ขณะนั้นค่ะ😅) จึงกลายมาเป็นลูกรักของเราจนได้ ต้องขอสารภาพค่ะ ว่าจริงๆ แล้ว ช่วงเดือนแรกนั้น ฉันไม่เคยแม้แต่จะแตะตัวอ้วนเลยด้วยซ้ำ แล้วก็พยายามหาคนเลี้ยงใหม่ให้อ้วนอย่างมาก แต่คุณชายก็บอกว่า “คงยากน่ะ มันมีโรคแบบนี้” “โอ๊ย! ไม่เอานะ ก็เพราะมันไม่สบายนี่ล่ะ ฉันยิ่งไม่เอาหรอก งั้นเธอก็ดูแลมันเองแล้วกัน” ฉันยื่นคำขาดทันที ฮีก็พูดขึ้นมาแบบเรื่อยๆ ตามประสาฮีว่า “เรายังออกไปหาข้าวอร่อยๆ กินข้างนอก ไปช็อปปิ้ง ไปดูหนังได้ แต่หมาตัวนี้นะ โลกของมันมีแค่เราสองคนกับอพาร์ทเมนท์นี้ ยูจะเมตตามันสักนิดไม่ได้รึไง” โห! เจอประโยคนี้เข้าไป ฉันก็ใบ้สิคะ คืนนั้นได้แต่นอนคิดถึงประโยคนี้ แล้วก็เลยทำใจว่า เอาเถอะ มันมาหาเราเอง ก็เลี้ยงไปแล้วกัน

โดยปกติช่วงแรกๆ ที่อ้วนมาอยู่นั้น ฉันยังต้องออกไปเรียนภาษาจีนทุกวันจันทร์-ศุกร์ กว่าเราสองคนจะกลับมาถึงบ้านก็จะเป็นเวลาค่ำๆ เวลาที่เรากลับมาถึง อ้วนก็จะวิ่งหางกระดิกมาหา ทันทีที่เราเปิดประตูเข้าบ้านมาทุกครั้ง มีอยู่ครั้งนึงเรากลับมาค่อนข้างดึก ฉันจึงรีบวิ่งขึ้นมาก่อน เพื่อจะได้เอาข้าวให้อ้วนกิน ปล่อยให้แอนดรูว์ไปหาที่จอดสกูตเตอร์ พอเปิดประตูเข้าบ้านมา อ้วนก็วิ่งเข้ามาเหมือนเคย แต่ยังไม่ทันถึงตัวฉัน อ้วนก็หยุดชะงักค้าง แล้วก็ล้มตึงลงไปชัก ฉันได้ยินเสียงหัวอ้วนฟาดพื้นอย่างแรง ตามมาด้วยการชักที่ทำให้หัวของอ้วนน็อกกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ณ เวลานั้น น้ำตาไหลออกมาโดยอัติโนมัติ รู้สึกเจ็บแทนอ้วน ในสมองมีแต่ความคิดที่ว่า ฉันไม่สามารถช่วยอ้วนได้เลย คุณชายเข้าบ้านมาเห็นภาพฉันที่พยายามจะเดินตามอ้วน ที่เพิ่งชักเสร็จ แล้วก็พยายามที่จะลุกขึ้นมาเดินสะเปะสะปะ ฉันพยายามจะอุ้มมันขึ้นมา ฉันร้องไห้ไปพลางเล่าให้เขาฟังว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น

รุ่งขึ้นฉันตัดสินใจโทรไปกรุงเทพฯ คุยกับสัตวแพทย์ที่เป็นสามีของรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกัน พี่เขาอธิบายให้ฟังถึงโรคของอ้วน และแนะนำว่า ถ้าอยากให้มันอยู่กับเรานานๆ ก็ควรให้กินยาคุมเรื่องชักให้ได้ พร้อมกับยาบำรุงหัวใจด้วย สำหรับฉัน ทุกชีวิตมีค่าค่ะ จะเป็นสัตว์หรือคนก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน จะอยากให้อ้วนอยู่กับเราไปนานๆ รึเปล่า ไม่ใช่ประเด็นสำหรับฉันในตอนนั้น จุดมุ่งหมายของฉันมีแค่อย่างเดียวก็คือ ไม่ต้องการเห็นอ้วนชัก อ้วนก็เลยกลายเป็นลูกค้าประจำขาใหญ่ของร้านหมอที่เราพาไปครั้งแรกนั่นเอง

ค่ายาเพื่อควบคุมการชักและยาบำรุงหัวใจของอ้วน ตกเดือนละประมาณ 2,500 หยวน แน่นอน ก็ต้องเป็นขาใหญ่ซิ😉 ฉันดูแลอ้วนอย่างชนิดเคร่งครัดตามคำแนะนำหมอ ถึงขั้นคอยจับเวลาแต่ละครั้งที่อ้วนชัก (ถ้าฉันอยู่ด้วยในขณะนั้น) ความถี่ในการชัก จดใส่ปฏิทินไว้เลย เวลาไปหาหมอก็จะรายงานให้หมอฟัง เพื่อที่หมอจะค่อยๆ เพิ่มโดสยาคุมชักให้ได้ ยาบำรุงหัวใจนั้นจะทำให้อ้วนมีฉี่ เพราะฉะนั้น ฉันก็ต้องคอยกะเวลาว่า หลังจากให้ยาแล้ว ประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง ก็ต้องพาอ้วนออกไปฉี่ เพราะเจ้าของเก่าคงฝึกอ้วนเอาไว้ ไม่ให้ฉี่ในบ้าน อ้วนจึงไม่เคยฉี่ในบ้าน เราต้องคอยพาอ้วนออกไปฉี่ ฉันกลัวว่าอั้นฉี่นานๆ จะยิ่งไม่ดีต่อไตของอ้วน เพราะไตของอ้วนก็ไม่ดีนักอยู่แล้ว อาหารเม็ดเราก็ซื้อชนิดสำหรับหมาที่ไตมีปัญหากิน

 

ตอนที่เราเจออ้วน หมอคาดคะเนอายุจากฟันของอ้วนว่า คงจะอายุประมาณ 7-8 ขวบ นับว่าเริ่มเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่อ้วนเป็นหมาที่ขี้อ้อน ติดคนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ เวลาที่เรานั่งดูทีวีกัน อ้วนจะต้องขอขึ้นมานั่งบนตักเราคนใดคนหนึ่ง หรือเวลาที่อยู่บ้านกันแค่สองคน (คือฉันกับอ้วนนะคะ) อ้วนจะติดฉันแจ ฉันนั่งทำงานแปลอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ก็จะตะกายให้ฉันอุ้มขึ้นมาอยู่บนตัก แป๊ปนึงรู้สึกร้อน ก็ขอลงไปนอนเอาพุงแนบพื้นเย็นๆ พอหายร้อนก็จะตะกายให้อุ้มขึ้นมาขดอยู่บนตักใหม่ หม่ามี้ก็เลยต้องทำงานแปลแบบนี้กันไปล่ะนะ😄 จนเพื่อนฉันแซวว่า อ้วนเป็นหมาขาดความอบอุ่น😄

ฉันยังจำครั้งแรกที่อุ้มอ้วนได้ ตอนนั้นอ้วนเพิ่งมาอยู่กับเราได้สัก 2-3เดือนเอง เนื่องจากอพาร์ทเมนท์ของเราอยู่ชั้นห้า ไม่มีลิฟท์ ปกติคุณชายเป็นคนอุ้มอ้วนขึ้น-ลงบันไดเสมอ วันนั้นฮีต้องไปทำโอที ฉันจะพาอ้วนออกไปฉี่ ก็เลยต้องอุ้มเอง แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่า การอุ้มหมานั้น ต้องอุ้มให้ตัวหมาคว่ำลง หมาถึงจะรู้สึกปลอดภัย ฉันเคยแต่อุ้มหลานๆ แล้วอ้วนก็ตัวเล็กๆไม่ต่างอะไรกับเด็กอ่อนนัก ฉันก็เลยอุ้มอ้วนแบบเดียวกับที่อุ้มเด็กอ่อน คิดแค่ว่า พุงอ้วนป่องมาก อุ้มแบบนี้คงสบายพุงดี อ้วนก็เลยอยู่ในท่าหงายพุงป่องในอ้อมแขนของฉันที่กำลังมองอ้วนแบบงงๆ กับท่าทางเกร็งขาทั้งสี่เอาไว้แนบตัว หน้าตาแตกตื่น จ้องมองฉันอย่างกลัวๆ อ้วนคงคิดในใจว่า ยายคนนี้จะทำอะไรกับตูหว่า อยู่ด้วยมา 2-3 เดือนแล้ว ไม่เคยอุ้มตูเลยสักครั้ง แล้วอยู่ดีๆ มาอุ้มแบบนี้อีก พอคุณชายกลับมาถึงบ้าน ฉันเล่าให้ฟัง ฮีหัวเราะก๊าก แล้วอธิบายถึงวิธีอุ้มหมาที่ถูกต้อง แต่ฉันรู้สึกว่าอุ้มแบบวิธีของฉัน แขนฉันไม่เมื่อยดี ก็เลยอุ้มแบบเด็กอ่อนต่อไป ไปๆ มาๆ ฉันว่าอ้วนก็คงชอบเหมือนกัน เพราะสบายพุงดี มักจะโผมาหาฉันเสมอ เวลาแอนดรูว์อุ้มอยู่ เลยทำให้ป่าปี๊ออกจะน้อยใจที่อ้วนติดหม่ามี้มากกว่า

พูดถึงเรื่องอ้วนติดฉัน จำได้เลยว่าตอนกลางปี 2005 ฉันพาแม่ไปเยี่ยมพี่สาวที่อเมริกากับแคนาดา อยู่นานเกือบสี่เดือน ทุกวันที่โทร Skype คุยกับคุณชาย ฮีก็จะให้ฉันได้คุยกับอ้วนด้วย พอฉันกลับมาถึงบ้านที่ไทเป ป่าปี๊ส่งอ้วนให้หม่ามี้อุ้ม นางใช้ขาหน้าผลักฉันให้ออกห่างค่ะ!! แน้! มีงอนหม่ามี้ด้วย คุณชายลองส่งให้อีกสองสามรอบ ก็ยันเอาไว้เมินหน้าหนีตลอด เกิดมาก็เพิ่งเคยโดนหมาเมินก็หนนั้นแหละค่ะ😅 แต่วันรุ่งขึ้นนางก็ตามฉันแจเหมือนเดิม ติดแจหนักกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ คงกลัวหม่ามี้หนีไปเที่ยวอีกมั้ง ฮิฮิ

ปีต่อมา คุณชายได้งานใหม่ เราจึงย้ายไปอยู่ซินจู่ คืนแรกที่ย้ายเข้าไปบ้านใหม่ ฉันกับอ้วนต้องอยู่กันแค่สองคน เพราะเราย้ายของมาในรถส่วนนึงก่อน แล้วคุณชายต้องกลับไปนอนบ้านเดิม เพื่อที่รุ่งเช้าจะได้มาพร้อมกับรถบรรทุกของบริษัท ที่เราจ้างมาขนของย้ายบ้าน คืนนั้น ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแปลกที่ หรือเพราะป่าปี๊ไม่อยู่ด้วย อ้วนมีทีท่ากลัวๆ ส่งเสียงครางหงิงๆ แล้วก็ไม่ยอมนอนบนเบาะของตัวเอง แต่ปีนขึ้นมานั่งขดซุกตัวอยู่บนตักหม่ามี้ ฉันเองก็แปลกที่ นอนไม่หลับ จึงกลายเป็นว่า ฉันนั่งอุ้มอ้วนที่หลับอยู่บนตักฉันทั้งคืน จากนั้นเราก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ได้ในที่สุด

ก่อนจากไทเปมา เราได้ขอชื่อยาของอ้วน เพราะคิดว่าจะได้มาหาหมอคนใหม่ให้อ้วนที่ซินจู่นี่ แต่ปรากฎว่าหมอคนใหม่ไม่เวิร์คเลย ไม่รู้ให้ยาตัวเดียวกันรึเปล่า อ้วนชัก 7-8 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ชักจนกระทั่งหมดแรง เราสองคนเห็นอ้วนเป็นแบบนี้แล้วก็เครียด ฉันนั้นถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสารลูกสี่ขาของเรา เราเลยต้องกลับไปใช้บริการหมอคนเดิมที่ไทเป ขับรถพาอ้วนเข้าไปหาหมอเดือนละครั้ง ส่วนร้านอาบน้ำตัดขนใหม่ พอเราไปรับอ้วนกลับมาทุกครั้ง คืนนั้นอ้วนจะชักตลอด เราเลยถามหมอประจำของอ้วน หมอสันนิษฐานว่า ที่นั่นเป็นโรงแรมหมาด้วย เป็นไปได้ว่า อ้วนคงเครียดที่ต้องเจอหมาแปลกหน้าตัวอื่นๆ จากนั้นมาป่าปี๊เลยต้องรับหน้าที่อาบน้ำให้อ้วน แล้วก็ซื้อปัตตาเลี่ยนตัดขนหมามาตัดเอง อะไรที่ไม่เคยทำกัน ก็ต้องมาหัดทำเพื่อลูกสี่ขาของเรานี่ล่ะค่ะ😍

(เรื่องของอ้วนยังไม่จบ ครั้งหน้ามาเล่าให้อ่านต่อนะคะ)

Don`t copy text!