หวางเหล่าซือ

หวางเหล่าซือ

โดย : คุณนายฮวง

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘(เรื่องเล่า) 6,200 วันในไต้หวัน’ โดย คุณนายฮวง สาวไทยสุดไฮเปอร์ที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ไทเปได้หลายปีดีดักกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับการใช้ชีวิตต่างแดนที่เต็มไปด้วยสีสันและมุมมองหลากหลาย เรื่องราวดีๆ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

***********************************

– หวางเหล่าซือ –

เมื่อถูกทาบทามให้ไปสอนภาษาไทยที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งแถวๆ ตึกไทเป 101 เมื่อตอนต้นเดือนสิงหาคม ปี 2017 ตอนนั้นฉันแค่คิดว่าช่วยทางโรงเรียนเขาหน่อยละกัน เพราะเหลืออีกแค่ประมาณสามสัปดาห์ก็จะเปิดเรียนแล้ว (ปีการศึกษาของไต้หวันเริ่มที่ต้นเดือนกันยายน) แล้วสอนแค่วันอังคารกับพุธ วันละคาบ(คาบหนึ่งมี 40 นาที) ตอน 8.00-8.40 น. แค่นั้นเอง และเป็นแค่โครงการทดลองของทางโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครไทเป เอ้า! ลองๆ กันไปทั้งสองฝ่ายดูซักตั้งละกัน

คาบของวันอังคารมีนักเรียนชั้น ป.4-ป.6 ปนกัน วันพุธเป็นเด็กชั้น ป.1-ป.3 ซึ่งแต่ละคาบมีนักเรียน 7 คน ห้องที่ใช้สอนเป็นห้องประชุมของทางโรงเรียนที่มีเก้าอี้แบบมีล้อเลื่อน วันอังคารนี่ไม่เท่าไรค่ะเพราะเด็กโตหน่อย แต่วันพุธนี่สิ เจ้าเจ็ดคนที่เป็นเด็ก ป.2 กับ ป.3 เนี่ยล่ะ เล่นเอา ‘หวางเหล่าซือ’ นับหนึ่งถึงล้านแทบทุกคาบ😆 มีทั้งเลื่อนเก้าอี้เล่นกันไปมา เล่นกันไม่ฟังครูสอน ป่วนหนักเข้าจนฉันทนไม่ไหว ลงโทษให้วันนั้นยืนเรียน ปรากฏว่าพวกนางยืนเล่นชกมวยกันต่อ!! คือฉันก็พยายามคิดนะคะว่าพ่อแม่เด็กลงชื่อให้เด็กเรียน ตัวเด็กไม่ได้สนใจรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองไทยหรอก แต่แหม เจอฤทธิ์เดชพวกลูกหลานผู้มีอันจะกินนี่ก็เล่นเอาฉันเหนื่อยเหมือนกันนะ แค่หาวิธีหลอกล่อให้สนใจบทเรียนนี่ เซลล์สมองทำงานกันหนักมากค่ะ สอนกันได้ปีนึงฉันเริ่มรู้วิธีรับมือ (มีการแจกรางวัลให้นักเรียนดีเด่นบ้าง😅) พอตอนปลายเดือนมิถุนายน ปี 2018 (จบเทอมสอง) ทางโรงเรียนถามว่าจะสอนต่อไหม (ถามแบบนำพยานมากว่า “หวางเหล่าซือเทอมหน้าสอนต่อใช่ไหม” 😊) ฉันก็คิดว่า เอาน่ะ ออกมารบกับเด็ก ได้ใช้สมองบ้าง สมองจะได้ไม่ตาย สอนก็สอนต่อวะ

ปรากฎว่าต้นเดือนสิงหา หัวหน้าฝ่ายการศึกษาโทร. มาหาฉัน บอกว่า “หวางเหล่าซือ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น นักเรียนมาลงชื่อเรียนภาษาไทยตั้ง 34 คน ตอนนี้กำลังจัดตารางเรียนของเด็กกันอยู่ สงสัยเทอมหน้าเหล่าซือคงต้องสอนวันอังคารทั้งวัน (8.00-16.00 น. รวม 8 คาบ) วันพุธครึ่งวัน (8.00-12.00 น. รวม 5 คาบ) ไหวไหมเหล่าซือ” ฉันอึ้งไปแป๊บ ก่อนจะตอบแบบทีเล่นทีจริงว่า “ถ้าอั๊วตอบไม่ไหว ได้ปะล่ะ😜” เอ้า รับปากแล้วว่าจะสอนต่ออีกปี ก็ต้องลุยกันต่อไปอะเนอะ💪 พอถึงเวลาเปิดเทอมสอนสัปดาห์แรก โอ้ เจอทุกรูปแบบเลยค่ะ มีหลายคาบที่มีนักเรียนแค่คนเดียว บางคาบสองคน บางคาบสามคน บางคาบแปดคนชั้น ป.3 กับ ป.4 ผสมกัน มีคาบนึงเป็นนักเรียนชั้น ป.1 ทั้งหมดห้าคน คาบนี้นี่ทำเอาฉันหัวหมุนมาก มีเด็กผู้ชายตัวจิ๋วแต่แสบสุดๆ วันแรกนั้นมีคนนึงบอกปวดฉี่ ฉันอนุญาตให้ไปห้องน้ำได้ นางถามห้องน้ำอยู่ไหน (คือเด็ก ป.1 เพิ่งเข้าเรียน ยังไม่รู้จักทางในโรงเรียน) หวางเหล่าซือก็ต้องพานางวิ่งไปห้องน้ำ แล้วรีบวิ่งกลับมาดูนักเรียนที่เหลืออีกสี่คน เจอเจ้าจิ๋วแสบกำลังป่วนเพื่อน แล้ววันแรกนั้นฉันสอนให้ไหว้พร้อมพูดสวัสดีค่ะ/ครับ ฉันก็ให้พูดทีละคน แม่หนูคนนึงไม่ยอมพูด ฉันก็ อะ ไม่เป็นไร แล้วก็ผ่านเธอไปยังหนุ่มน้อยคนสุดท้าย หัดพูดครบแล้วฉันก็สอนต่อ แม่หนูคนนั้น (ชื่อ ‘ชิงฟัง’) เริ่มมีน้ำตาคลอ เล่นเอาฉันตกใจ เอ๊! ตูยังมิได้ทำไรเลยนะ ไหงเป่าปี่ซะแล้วลูกเอ๊ย! พอถามว่า “หนูไม่สบายรึเปล่าคะ” เท่านั้นล่ะ นางปล่อยโฮสะอื้นฮักๆ ตอบว่า “หนูคิดถึงหม่าม้าหนูค่ะ” เวรกรรม โถ ฉันเลยหาทิชชู่ในกระเป๋าเช็ดน้ำตาให้แล้วปลอบว่า “ไม่เป็นไรน้า เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วหม่าม้าหนูก็จะมารับ อีกแป๊บเดียวเองนะคะ” แค่สอนวันแรก กลับถึงบ้านนี่ฉันสลบเหมือดเลยค่ะ😅

แต่พอสอนๆไป ก็มีเรื่องน่ารักๆ ขำๆ ให้บันเทิงดี อย่างหนูชิงฟังในคลาสวันแรกร้องไห้คิดถึงหม่าม้า แต่หลังจากนั้นนางก็เป็นเด็กแฮปปี้ดี๊ด๊า มีอยู่หนนึงเจ้าหนูจอมเฮี้ยวประจำคลาสก็พูดขึ้นมาว่า “เหล่าซือ อั๊วอยากเล่นเกมส์ที่คราวที่แล้วเหล่าซือสอนน่ะ” ฉันก็งงว่าอะไรหว่า ฮีก็จัดการยกมือซ้ายขึ้นมา แล้วก็ใช้นิ้วชี้ขวาจิ้มไปทีละนิ้วพร้อมกับส่งเสียงร้องเป็นจังหวะ (แต่ภาษาอะไรของฮีนี่ เหล่าซือก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกันวุ้ย) ฉันเลยถึงบางอ้อว่า ฮีอยากเล่นจ้ำจี้มะเขือเปาะนั่นเอง ก็เลยบอกว่า “ได้ๆ เอ้า! วางมือกันลงมา เอานะ เหล่าซือเริ่มเล่นละนะ…จ้ำจี้มะเขือเปาะ …” ทันทีที่ฉันเริ่มร้องคำว่า จ้ำ ก็มีเสียงใสๆ ของชิงฟังร้องคลอขึ้นมาด้วย…จ้ำจี้มะเขือเปาะ… หวางเหล่าซือก็กรี๊ดสิคะ “อ๊าย! ชิงฟังเก่งมาก จำได้ด้วย!” แถมร้องคู่กะเหล่าซือต่อไปได้อีกว่า “กะเทาะหน้าแว่น พายเรือ อกแอ่น …บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง😀” นางก็ดำน้ำได้ความไปตลอดจนจบเพลงพร้อมกะฉัน โอ้โฮ! เหล่าซือดีใจและเซอร์ไพรส์สุดๆ จริงๆ ค่ะ ชิงฟังเป็นเด็กชอบร้องเพลง นางร้องได้หมดทั้งจ้ำจี้มะเขือเปาะ จ้ำจี้ผลไม้ เพลงช้างๆๆๆๆ หรือเพลงนับ 1-10 ในภาษาไทย อย่าไปถามความหมายนะ นางตอบไม่รู้ แต่ร้องออกเสียงได้ชัดเจนมาก จำเนื้อเพลงได้ทั้งที่ร้องให้ฟังแค่ครั้งสองครั้ง (ถึงจะมีบุ๋งๆ บ้าง แต่นางบุ๋งได้ใกล้เคียงมาก) แถมสำเนียงก็เป๊ะปานเด็กไทย เลิฟนางเลย 😘ฮิฮิ

แต่ที่เด็ดสุดคือ มีอยู่วันหนึ่งหนูชิงฟังบอกกะเหล่าซือว่า “เหล่าซือ เย็นนี้จะมีคนไทยมาที่บ้านหนูล่ะ” ก็เลยถามว่า “เขาเป็นใครล่ะ แล้วมาบ้านชิงฟังทำอะไร” ชิงฟังตอบว่า “หนูก็ไม่ค่อยแน่ใจ รู้สึกว่าจะรู้จักกะหม่าม้า เป็นผู้หญิงสาวๆ” เหล่าซือปิ๊งเห็นโอกาสให้ลูกศิษย์ได้ฝึกวิทยายุทธขึ้นมาทันที เลยบอกนางว่า “ถ้างั้นตอนเจอกัน ชิงฟังก็ต้องทักทายแบบไทยนะ ยกมือไหว้แล้วก็พูดว่า สวัส…” ชิงฟังก็พูดตามขึ้นมาทันทีตั้งแต่ที่ฉันเริ่มออกเสียง ว่า… สวัสดีค่ะ คุณครู!! (นึกถึงตอนนางร้องจ้ำจี้มะเขือเปาะตามเลยนะเนี่ย😅)

“ว๊าย! ไม่ใช่ค่ะ ชิงฟัง คุณครูอยู่นี่นะคะ คุณครูคือคนนี้นะคะ ลูกขา😁 หนูควรพูดว่า สวัสดีค่ะ พี่สาว (เจี่ยเจีย) นะลูกนะ เขาไม่ใช่คุณครูของหนูนะคะ” นางก็พูดตามชัดแจ๋ว “สวัสดีค่ะ พี่สาว” แล้วก็เลยสอนต่อว่า “แล้วถ้าเกิดพี่เขาชมหนูว่า หนูพูดภาษาไทยเก่งจัง หนูก็ต้องบอกเซี่ยเซี่ยะเป็นภาษาไทยนะ จำได้ไหมคะ ต้องพูดว่า ขอบ…” เช่นเคย ที่นางเริ่มพูดตามตั้งแต่เราเริ่มออกเสียง ว่า… ขอบคุณค่ะ คุณครู!! “เฮ้ย! 😅 ชิงฟัง ไม่ใช่สิลูกขา คุณครูคือเหล่าซือนะคะ คุณครูคือคนนี้นะคะ ลูก(พร้อมกับจิ้มหน้าอกตัวเองถี่ยิบ😂) เฮ้อ! ไอ้ที่หนูพูดทักทายเวลามาเข้าเรียน กับตอนเลิกเรียนนี่ ตกลงว่าหนูไม่รู้ความหมายใช่ม้ายยยยย โฮ่ย! ท่าทางเหล่าซือต้องหาทางแต่งบทเรียนเป็นเพลงเพื่อสอนนางโดยเฉพาะคนเดียวเลยมั้งเนี่ย😂😂😂😜

มีอีกรายนึงค่ะ เป็นลูกศิษย์เด็ก ป.6 คนหนึ่งที่ดูท่าทางแล้วนางน่าจะแสบพอควร (คือความรู้สึกของวันแรกที่สอนนางนะคะ) ปกติฉันจะถามความสมัครใจเด็กว่าอยากมีชื่อไทยไหม ถ้าเด็กโอเค ฉันจะเลือกชื่อไทยที่มีเสียงใกล้เคียงกับชื่อภาษาจีนของนักเรียน แล้วก็จะเขียนให้ดูด้วย สำหรับนักเรียนรายนี้ฉันตั้งชื่อให้นางว่า ‘เมตตา’ สอนกันมาเดือนนึง นางก็ถามว่าพิมพ์ไทยยังไงในมือถือ ก็สอนนางไป พอครั้งต่อมาขณะที่สอนกันอยู่ นางจะจดสิ่งที่สอนลงมือถือ นางใส่รหัสปลดล็อกมือถือเป็นชื่อ ‘เมตตา’ ฉันก็เลยถามนางว่า “อ้าว เปลี่ยนพาสเวิร์ดเป็นภาษาไทยแล้วเหรอ” นางตอบว่า “ใช่สิ แบบนี้แม่ก็ไม่สามารถเช็กมือถืออั๊วได้ เพราะแม่ไม่รู้จักภาษาไทย” คุณนายฮวงนี่น่าจะเป็นหมอดูโหงวเฮ้งได้อีกอาชีพนึงนะคะนี่ เพราะนางแสบจริง! 🤣

เล่าๆ ให้ฟังแล้วก็คิดถึงอีหนูชิงฟังเหมือนกันนะคะนี่ เพราะปีการศึกษานี้ฉันไม่ได้สอนที่โรงเรียนนั้นแล้วค่ะ ที่บอกเลิกสอนไป เนื่องจากฉันต้องออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่ง เพื่อไปให้ทันสอนตอนแปดโมง คือแถวบ้านฉันเป็น residental area ไม่ถึงเจ็ดโมงดีนี่รถติดกระหน่ำแล้ว จริงๆ นั่งรถไฟฟ้าแค่ 20 นาที เพียงแต่ฉันต้องนั่งรถเมล์ออกไปต่อรถไฟฟ้า ปัญหาอยู่ตรงนี้ล่ะ เลยบอกลา พอดีว่าเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการของไต้หวันได้บรรจุภาษาของประเทศอาเซียนเป็นวิชาให้เลือกเรียนได้ในโรงเรียนประถมทั่วประเทศ โรงเรียนที่แถวบ้านฉันเลยโทร.มาทาบทามให้ฉันไปสอนกันหลายแห่ง แต่ฉันรับแค่สองแห่งที่สังกัดเทศบาลนครไทเป อยู่ไม่ไกลจากบ้านมาก สอนแค่โรงเรียนละคาบต่อสัปดาห์ ค่อยกลับมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ได้หน่อย อิอิ ปีนี้เลยมีนักเรียนให้สอนแค่สองคน โรงเรียนละหนึ่งคน คือตามกฎของกระทรวงศึกษาฯ ถ้ามีนักเรียนสมัครเรียนภาษาไหน แม้ว่าจะแค่คนเดียวก็ตาม ทางโรงเรียนก็ต้องหาครูมาสอน ฟังแล้วอิจฉาเด็กไต้หวันไหมคะ ค่าเทอมก็ไม่ต้องจ่าย มีภาษาทั้งของอาเซียนและภาษาจีนท้องถิ่น (จีนแคะ ไถอวี่) ให้เลือกเรียนได้ตามใจชอบอีก แล้วยังมีภาษาอังกฤษที่บังคับเรียนอยู่ในหลักสูตรอยู่แล้วด้วยนะ

รัฐบาลไต้หวันทุ่มงบทางการศึกษาจริงจังมากค่ะ อย่างน้องคนไทยที่ฉันสนิทด้วยบางคนรับงานช่วยเป็นล่ามให้กับเด็กนักเรียนที่มีพ่อหรือแม่เป็นคนไทย แต่เพิ่งมาเข้าโรงเรียนที่ไต้หวันตอนโตหน่อย เลยพูดภาษาจีนไม่ได้ น้องเขาต้องไปนั่งประกบเป็นล่ามแปลให้เด็กเวลาครูสอนในชั้นเรียน ดูสิคะเกาะนี้ให้ความสำคัญกับการศึกษาขนาดนี้เลยนะ ฉันไม่แปลกใจเลยที่ประเทศนี้มีประชาชนที่ทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักเบสบอลที่ถูกซื้อตัวไปเล่นให้เมเจอร์ลีกของอเมริกาหรือญี่ปุ่น นักไวโอลินตัวน้อยที่ก้าวไปแข่งในเวทีระดับโลก โดยได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีชาวไต้หวันให้ยืมไวโอลินที่เขาสะสมไว้เอาไปแข่ง ตัวนึงราคาเป็นล้านเชียวนะ หรือแม้แต่นักวิชาการที่เคยได้รางวัลโนเบลก็มีค่ะ เท่าที่สังเกตมาตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ถ้าเด็กมีความสนใจและพรสวรรค์จริงๆ จะได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐหรือภาคเอกชน ให้มีโอกาสเรียนรู้ฝึกฝนในสิ่งที่รัก เพื่อทำชื่อเสียงให้กับประเทศ ไม่ใช่แค่ภาครัฐที่ให้การสนับสนุน ภาคเอกชนก็ให้ด้วย ตรงนี้ล่ะค่ะที่ถูกใจฉัน😊

Don`t copy text!