เก้าอี้ขาวในห้องแดง

เก้าอี้ขาวในห้องแดง

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

เก้าอี้ขาวในห้องแดง น่าจะเป็นนวนิยายในดวงใจของนักอ่านนิยายหลายท่าน รวมถึงแฟนคลับของ คุณสุวรรณี สุคนธา ที่น่าจะจัดเรื่องนี้เป็นลำดับต้นๆ ของนิยายรักเรื่องโปรดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับผมเองคุ้นเคยกับการชมละครโทรทัศน์ช่องสาม ในช่วงปี พ.ศ. 2542  ที่นำแสดงโดย คุณอุ้ม สิริยากร พุกกะเวส คุณพล ตัณฑเสถียร คุณจ๊อบ นิธิ สมุทรโคจร และ คุณคลาวเดีย จักรพันธ์ ในบทของ ละเวง อินทร บูรพา และ สาวิตรี ตามลำดับ รวมถึงเพลงประกอบละคร ‘เพียงความทรงจำ’ และ ‘เพื่อน’ ของวงพองพอง ที่สื่อความหมายของตัวละครในเรื่อง และยังจำได้ติดหูมาจนถึงทุกวันนี้

 อาจจะดูเหมือนไม่มี อะไรที่แปรผัน             อาจจะดูเหมือนทุกวันที่ผ่านมา
แต่ความจริงแล้วข้างใน เริ่มจะเกิดปัญหา           ให้เธอลองมองที่ตาแล้วจะเข้าใจ

ก็มันมีเรื่องราว เปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน         ความห่วงหาเอื้ออาทรไม่เหมือนเดิม
ใช่มันจะน้อยลง แปลกตรงที่มันดันเพิ่ม              ก่อตัวเกินกว่าเพื่อนจะคิดกัน

นิยาย เก้าอี้ขาวในห้องแดง ตีพิมพ์ครั้งแรก ในนิตยสาร ลลนา ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่ง คุณสุวรรณี สุคนธา เป็นบรรณาธิการในเวลานั้น เนื้อเรื่องที่กล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านชีวิตวัยเรียนจากนักศึกษามัณฑนศิลป์ ม.ศิลปากร สามคน มาสู่ ชีวิตวัยทำงานอันแตกต่าง รวมถึงความรัก ความผูกพัน และบททดสอบในมิตรภาพระหว่างกันของละเวง บูรพา และสาวิตรี… สามเพื่อนรักที่มีความรู้สึกพิเศษซ่อนเร้นเอาไว้

เมื่อละเวงต้องสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกะทันหัน ทันทีเมื่อเรียนจบ โลกทั้งโลกก็พลิกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากโลกอันแสนบริสุทธิ์ในรั้วมหาวิทยาลัย ที่มีมิตรภาพอันรื่นรมย์และความฝันแห่งวัยหนุ่มสาว มาสู่โลกของการทำงาน และชีวิตจริงอันเข้มข้น ในเวลาแห่งความเศร้าโศกเสียใจ มีบูรพาที่เข้ามาปลอบประโลมใจ สำหรับละเวงแล้วเขาคือเพื่อนคนหนึ่งที่สนิทสนมมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ เช่นเดียวกับสาวิตรีเพื่อนรัก แต่สำหรับบูรพาแล้วความรู้สึกที่มีต่อละเวงนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าเพื่อน!

ในขณะที่สาวิตรีเองแม้จะมีชีวิตที่ดีกว่าเพื่อนอีกสองคนที่ต้องหางานทำอย่างลำบาก แต่บิดาของสาวิตรีที่มีฐานะและเป็นเพื่อนกับท่านอธิบดีวิโรจน์ จึงได้ฝากให้เข้าทำงานในตำแหน่งข้าราชการของกรมแห่งหนึ่ง มันเป็นชีวิตราชการที่ทำให้เธอได้เห็นการทำงานในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากภาพสวยงามที่เคยคิดฝันเอาไว้

ที่นั่น เธอได้รู้จักกับภูเบศร์ ชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยานและหวังไต่เต้าในฐานะการงาน ที่เข้ามาตีสนิท แต่สาวิตรีไม่เล่นด้วย เพราะหญิงสาวเองก็คนในหัวใจของตัวเองอยู่แล้ว…

แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่เคยรู้เลยสักนิดเดียว

ในหัวใจของเด็กสาวก็อ้างว้างโดดเดี่ยว มีเพียงบูรพาเพื่อนรักที่เธอรู้ว่าหัวใจของตัวเองหวั่นไหวเกินกว่าคำว่าเพื่อน และยังรู้ด้วยความเจ็บปวดลึกๆ ว่าบูรพาไม่เคยมีหัวใจให้กับเธอเลย ลมหายใจเข้าออกของเขามีแต่เพียงละเวง เพื่อนรักเพียงคนเดียวเท่านั้น!

 

ละเวงพยายามสมัครเข้าทำงานที่ต่างๆ จนมาถึงบริษัทของจิตดี หนุ่มใหญ่ที่รู้สึกประทับใจในบุคลิกและนิสัยใจคอของเธอ โดยมีวิลาศพักตร์ เลขาสาวของจิตดี ที่นั่นเอง เมื่อละเวงได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังเชียงใหม่ เพื่อทำงานมัณฑนากรตกแต่งให้กับบ้านหลังใหม่ของพ่อเลี้ยงอินทร บุตรชายพ่อเลี้ยงอินสอน ทำให้เธอได้รู้จักชายหนุ่มในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากบูรพา เขาเป็นคนนิ่งขรึม เป็นผู้ใหญ่และเก็บงำความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงความลับเกี่ยวกับมารดาของเธอเอาไว้

ละเวงเคยเข้าใจว่า เมื่อสิ้นพ่อและแม่แล้ว เธอคงจะเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อความจริงปรากฏว่า แม่ของละเวงก็คือน้องสาวของพ่อเลี้ยงอินสอน และเธอกับอินทร ก็ไม่ต่างกับลูกพี่ลูกน้องกัน ที่สำคัญ อินสอนต้องการให้ลูกชายของเขา แต่งงานกับละเวง แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธ เมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้รักเขา

ตะวันฉายเป็นชายหนุ่มที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของสาวิตรี ที่เข้ามาติดพันละเวง แม้ว่าเขาจะอายุรุ่นน้องของเธอ เขาเป็นชายหนุ่มลูกครึ่งรูปงามราวกับเทพบุตร ที่มีบุคลิกอ่อนโยน อารมณ์รื่นเริง ทันทีเมื่อได้เห็นละเวง หนุ่มรูปงามก็มีท่าทีประทับใจ และแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกตัวเอง โดยไม่แคร์ใครทั้งสิ้น

ตะวันฉายถอนใจยาว ประสาทของเขาหวาดไหวสะทกสะเทือนอย่างบอกไม่ถูก แต่ละสถานที่ แต่ละแห่งที่เขาไปตามหาละเวง แล้วไม่ได้พบ ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เมื่อได้พบละเวงเข้าจริงๆ ตะวันฉายจึงถึงแก่อ้ำอึ้งพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ๆ

“คุณตะวัน”

ตะวันฉายถอดแว่นวางลงกับโต๊ะ แลดูละเวงเต็มตา ด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อไรกันหนอ เร็วจนเขาตั้งตัวไม่ติด เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางแดด แล้วอยู่ดีๆ ก็มีพายุฝนและฟ้าผ่า… จะให้เขาตั้งตัวทันได้อย่างไร…

บัดนี้โลกของละเวงเป็นสีสดใส ด้วยความสวยงามของความรัก โดยไม่รู้ว่าบูรพาที่แอบรักเธออยู่ ต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้สาหัสสักเพียงใด มีเพียงสาวิตรีที่เฝ้าปลอบประโลมใจเขาด้วยความห่วงใย และความรักที่มีให้กับเขาไม่ต่างกับละเวง

บูรพาก้มหน้า ยกมือขึ้นปิดนัยน์ตาไว้

“เราหลอกตัวเองไม่ได้ เรา… เรา…”

สาวิตรีลูบไหล่เบาๆ ราวกับจะปลอบโยน

“เรารักเขา” บูรพาระเบิดออกมา เขากุมนัยน์ตาไว้แน่น กลัวว่าน้ำตาจะเล็ดลอดออกมาให้สาวิตรีเห็น “ทนหลอกตัวเองว่าไม่แยแสเขาไม่ได้… ทนไม่ไหว”

สาวิตรีนิ่งอึ้ง ในหัวใจพลอยอาดูรตามบูรพาไปด้วย

และแล้ว ในห้วงเวลาอันขาดสตินั้นเอง หล่อนและบูรพาต่างก็เผลอตัวเผลอใจมีความสัมพันธ์กัน มันข้ามขอบเขตของมิตรภาพแห่งเพื่อนที่เคยมีมาไปสู่อีกฟากหนึ่งของความรู้สึก จนเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน

สาวิตรีตั้งครรภ์!

สำหรับละเวง โลกที่เป็นสีชมพูสดใสด้วยความรักของเธอกับตะวันฉาย ก็หาได้มีความแน่นอนแต่อย่างใดไม่ ตะวันฉายประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต และโลกทั้งโลกของละเวงก็พลิกคว่ำอีกครั้ง

การแต่งงานของบูรพากับสาวิตรีเกิดขึ้นด้วยความรับผิดชอบของชายหนุ่ม แต่หัวใจของเขาก็ไม่เคยมีสาวิตรีอยู่เลย และในที่สุดมันก็ไม่อาจดำเนินไปสู่ปลายทางของความรักได้อย่าง ที่ สาวิตรีเคยวาดฝันเอาไว้ ชีวิตการแต่งงานที่สวยงามจึงเดินมาถึงจุดสิ้นสุดลง

เรื่อง : เก้าอี้ขาวในห้องแดง

ผู้เขียน : สุวรรณี สุคนธา

สำนักพิมพ์ : คลังวิทยา

ปีที่พิมพ์ : 2518

สองเล่มจบ

ในขณะที่ละเวง ซึ่งบอบช้ำกับชีวิตรักของเธอ ก็ได้หวนกลับมาพบกับอินทรอีกครั้ง ภายหลังจากอินสอนเสียชีวิตลง ผู้ชายเบื้องหน้าเธอคนนี้อาจจะไม่ใช่พระเอกในอุดมคติในความฝันแห่งวันวัยที่สดใสของเธอ แต่เขาก็คือความจริงแท้ของชีวิต

เคยมีผู้เปรียบเทียบความหมายของ เก้าอี้ขาวในห้องแดง เอาไว้ว่าเก้าอี้สีขาวเสมือนความบริสุทธิ์สดใสแห่งวัยเยาว์ ที่มีโลกแห่งความฝันอันสวยงาม แต่เมื่อต้องออกมาสู่โลกภายนอกของสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความฉูดฉาดร้อนแรง ไม่ต่างกับสภาพแวดล้อมรอบด้านของห้องสีแดงเจิดจ้านั้นเอง

และในตอนท้ายเรื่อง สุวรรณี สุคนธา ก็ได้เขียนฉากหนึ่ง เมื่อละเวงเดินทางมายังบ้านของอินทรที่เธอเคยรับตกแต่งเอาไว้ และมองดูเครื่องตกแต่งต่างๆ ภายในห้องนั้น…

เลือกแจกันเล็กๆ ได้ใบหนึ่ง ปักดอกไม้ลงไป หล่อนหาที่วางให้มันดูเข้าท่า สีสันที่ค่อนข้างจะจัดของกระดาษปิดผนังสีแดงตรงหลังบาร์เล็กๆ นั่นทำให้หล่อนและเห็นข้อบกพร่องของการใช้สีได้มาก

แต่อินทรหรือจะรู้ เขาคิดว่า อะไรก็ตามที่ละเวงทำ สิ่งนั้นย่อมจะดีและถูกต้องเสมอไป

เก้าอี้ขาวที่จัดไว้เป็นกลุ่มตรงห้องกระจกนั่นก็เช่นเดียวกัน มันดูจืดชืดอย่างไม่เข้าท่า ในทางกลับกัน ละเวงน่าจะใช้พื้นตรงหลังเคาน์เตอร์ หรือรอบๆ ห้องด้วยสีอ่อน และใช้เก้าอี้สีจัด อย่างแดง หรือน้ำเงิน… เขียว

ซึ่งประโยคตรงนี้ ผมไม่แน่ใจว่าจะต้องการสื่อ ถึง ‘เก้าอี้ขาว’ กับ ‘ห้องแดง’ อย่างไรด้วยหรือไม่ แต่สำหรับนิยายเรื่องนี้ เมื่ออ่านจบลง นอกจากความอิ่มเอมในสำนวนภาษาอันละเมียดละไมในสไตล์ของ สุวรรณี สุคนธา แล้ว ยังประทับใจในมิตรภาพและความรักของเพื่อน ที่มีความหมายที่ลึกซึ้งนั้นอีกด้วย!

สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างละครเรื่องนี้ พบว่านำไปสร้างเป็นละครถึงสามครั้ง คือปี พ.ศ. 2527, 2542 และ 2556 สำหรับเวอร์ชันแรกในปี พ.ศ. 2527 นั้น ผู้รับบทละเวง ก็คือ คุณมยุรา ธนะบุตร บทพ่อเลี้ยงอินทร โดย คุณ นพพล โกมารชุน บทบูรพา และสาวิตรี นำแสดงโดยคุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง และ คุณอุทุมพร ศิลาพันธ์ โดย คุณยุรนันท์ ภมรมนตรี รับบทตะวันฉาย ครับ

Don`t copy text!