ชีวิตนี้มีความหมาย

ชีวิตนี้มีความหมาย

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

สุภาว์ เทวกุลฯ เป็นนักเขียนนวนิยายรุ่นครูผู้มีผลงานในอดีตเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีความโดดเด่น หลากสไตล์ หลายรสชาติ และสำหรับ ‘ชีวิตนี้มีความหมาย’ ก็นับเป็นอีกหนึ่งผลงานของท่าน ที่มีความโดดเด่นในการสร้างพลอตเรื่องอย่างน่าสนใจ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเหลือเกิน เพราะผลงานเรื่องนี้มีการตีพิมพ์เพียงแค่ครั้งเดียวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 และนับจากนั้นตราบจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่พบข้อมูลว่ามีการตีพิมพ์ครั้งใหม่ออกมาอีกเลย ทำให้ ชีวิตนี้มีความหมาย เป็นผลงานอีกเรื่องหนึ่งของ สุภาว์ เทวกุลฯ ที่หาอ่านได้ยากเลยทีเดียวครับ

++++++++++++++++++++++

แก่นหลักของนิยายเรื่องนี้บอกเล่าชีวิตของสาวน้อยนามสยุมพร เมื่อเธอตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองลงด้วยการกระโดดสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง แต่เดชะบุญ เมื่อเกียรติ ชายหนุ่มผู้ประสบเหตุได้เข้ามาขัดขวางเธอเอาไว้ได้ทัน เขาบอกกับเธอว่าชีวิตนี้มีความหมาย โดยยกเรื่องราวของชีวิตผู้คนต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา บอกเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้แก่เธอได้รับฟัง จนสาวน้อยเริ่มเปลี่ยนใจ

และภายหลังจากที่เกียรติเองก็ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของสยุมพร เขาจึงตัดสินใจพาเธอไปพำนักที่บ้านของเขาไปพลางๆ ก่อน ที่นั่นเธอจึงได้รู้จักว่าเขาเป็นนักข่าวหนุ่ม และมีเพื่อนร่วมชุมชนเดียวกัน ที่ต่างก็ประสบกับปัญหาชีวิตแตกต่างกันไป

 

“อยู่ไปทำไมในเมื่อชีวิตปราศจากความหมายเสียแล้ว” เสียงตอบกระแทกกระทั้นแกมสะอื้น

“เฮ้อ พูดแบบคนหนีโลกทั้งหลายทีเดียว นี่ ขอถามจริงๆ เถอะว่า อะไรคือความหมายของชีวิต เธอมีความเข้าใจกับมันลึกซึ้งแค่ไหนเทียว”

“ก็… ก็คนเราจะต้องสูญเสียความหวังทั้งมวลที่เคยนึกไว้ โดยไม่มีวันจะได้กลับคืนมานั่นน่ะ ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพออีกหรือที่จะตายไปเสียให้สิ้นจากโลกอันสกปรกนี้”

“เธอเอาความหวังมาปนกับความหมายเสียแล้วละเธอจ๋า สิ่งที่เธอสูญเสียไปนั้นเป็นเพียง ‘ความหวัง’ ในครั้งหนึ่ง เท่านั้นเอง ที่เธอคิดหุนหันถึงกับจะฆ่าตัวตายก็เนื่องด้วยความผิดหวังรวมกับความเจ็บแค้น แต่มิใช่ว่าชีวิตของเธอปราศจากความหมายเสียแล้วดังที่เธอว่า”

“ก็ถ้าเช่นนั้น ความหมายในชีวิตของคนคืออะไรเล่า?”

++++++++++++++++++++++

ในระหว่างที่สยุมพรยังพยายามทำใจกับเหตุการณ์ที่เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งเลวร้าย โศกเศร้าที่สุดของตัวเอง ประสบการณ์ที่เกียรติได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับผู้คนรอบข้าง และสิ่งที่เธอได้พบเห็นนั้นเอง ไม่ต่างกับเป็นกระจกบานใหญ่ สะท้อนให้สยุมพรได้ประจักษ์ว่า เรื่องราวชีวิตแสนเศร้าของเธอเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นเองเมื่อเทียบกับชีวิตของแต่ละคนที่ผ่านเข้ามา หากบรรดาผู้คนเหล่านั้น ต่างก็ยังยืนหยัดต่อสู้บนโลกใบนี้ต่อไปโดยไม่เคยคิดสั้น เพราะว่า… ชีวิตนี้มีความหมาย!

เกียรติได้รับรู้ว่าสยุมพรมีชายคนรักคือสารวัตรไพรัช ทั้งคู่ต่างก็คบหากันตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย แต่แล้วต่อมาเมื่อไพรัชได้พบกับโสภา พี่สาวของสยุมพร คนทั้งคู่ก็แอบมีความสัมพันธ์กัน จนภายหลังไพรัชแต่งงานกับโสภาแทน สร้างความเจ็บปวดเจ็บแค้นใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก และยิ่งเมื่อไพรัชเข้ามาอยู่ในบ้านร่วมกัน ยิ่งทำให้สยุมพรได้เห็นภาพบาดตาบาดใจมากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญ

การฆ่าตัวตายเพื่อหลีกหนีความผิดหวัง!

แต่นับว่าโชคดีที่เกียรติได้พบกับเธอเสียก่อน และจากนั้นเมื่อได้มาพักอาศัยอยู่กับนักข่าวหนุ่มผู้นี้ ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับความเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ จากเรื่องราวต่างๆ ที่เกียรติได้เล่าให้เธอฟังด้วยเช่นกัน

++++++++++++++++++++++++

ต่อมาไพรัชตามมาจนพบสยุมพร และเกียรติก็สนับสนุนให้เธอได้กลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ในเวลานั้นเองเมื่อเกียรติได้ไปทำข่าวยังสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึงเดินทางไปยังเมืองพม่า แต่เขาก็ยังติดต่อพูดคุยกับเธออยู่เสมอผ่านทางจดหมายและเรื่องราวที่พานพบเป็นจำนวนมาก ตราบจนกระทั่งเขาได้กลับมายังแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเองอีกครั้ง

และครั้งนี้ ที่เขาและเธอต่างล่วงรู้หัวใจตัวเองและตัดสินใจที่ได้ร่วมชีวิตกัน ด้วยความรักและความเข้าใจที่มีต่อกันในที่สุด

++++++++++++++++++

พลอตเรื่องอันเป็นแกนหลักของ ชีวิตนี้มีความหมาย มีเพียงเท่านี้ แต่ทว่าภายในเส้นเรื่องเอกของนิยายจะแตกแขนงเป็นเส้นเรื่องราวย่อยๆ ของแต่ละบุคคลที่เป็นเสมือนสาธกนิทานให้กับผู้อ่านรับรู้ประกอบกันไปอีกนับสิบเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่อง แต่ละตอน และแต่ละตัวละครเหล่านั้น ล้วนทำให้ทั้งผู้อ่านและสยุมพรเองได้เข้าใจถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ได้อย่างน่าสนใจ ผ่านการบรรยายอย่างงดงามด้วยสำนวนภาษาของผู้เขียน จนดำเนินเรื่องมาถึงบทสุดท้ายในที่สุด

เรื่อง : ชีวิตนี้มีความหมาย

ผู้เขียน : สุภาว์ เทวกุลฯ

สำนักพิมพ์ : ผดุงศึกษา

ปีที่พิมพ์ : 2502

เล่มเดียวจบ

ผมขอยกตัวอย่างมาเพียงบางเรื่อง เช่น ชีวิตของครูชวน

ครูชวนประกอบอาชีพครูด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาหลายปี ส่งลูกศิษย์ให้ประสบความสำเร็จ มีเงินทองมีหน้าตาเกียรติยศมากมาย แต่ครูก็ยังเป็นครูที่ทำหน้าที่ไปวันๆ โดยไม่มีความก้าวหน้าแต่อย่างใดในอาชีพ จนในที่สุดวันหนึ่งครูชวนจึงตัดสินใจที่จะลาออกมาทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ให้เงินเดือนจำนวนมาก

เขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์ให้กับบริษัทแห่งนั้น

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อเงินในบริษัทที่เขารับผิดชอบตามเก็บจากลูกค้าเกิดหายไป ทำให้ครูชวนไม่สามารถหาเงินมาชดใช้ได้ กลายเป็นว่าเขาต้องถูกแจ้งความดำเนินคดี และส่งตัวเข้าห้องขัง

แต่แล้วเขาก็เจอกับพัฒน์ นายตำรวจที่เคยเป็นลูกศิษย์ของตัวเองมาก่อน พัฒน์รู้จักครูของเขาดี แม้ว่าจะถูกกล่าวหา แต่ในที่สุดแล้วนายตำรวจหนุ่มก็ช่วยเหลือ โดยระดมเงินจากศิษย์เก่าของครูชวน มาช่วยกันชดใช้ให้เขาจนหลุดพ้นคดีไปในที่สุด

“ครูไม่นึกเลยว่าพวกเราจะยังเห็นเรือจ้างอย่างครูนี้สำคัญอะไรนักอยู่อีก เมื่อเธอพากันถึงฝั่งได้อย่างเรียบร้อยหมดแล้ว”

“แต่ก็ไม่ใช่เพราะเรือจ้างดอกหรือครับ ที่ทำให้เราสามารถข้ามจากฟากหนึ่งมาสู่อีกฟากหนึ่งได้ โดยปลอดภัย ไม่ต้องจมน้ำตายเสียกลางทาง ถึงเดี๋ยวนี้ผมก็ยังยึดมั่นอยู่เสมอว่า นั่งเรือจ้างปลอดภัยกว่านั่งเรือติดท้ายปรูดปราดเป็นไหนๆ น้อยนักที่เรือจ้างจะพาเราไปคว่ำเสียกลางน้ำ นอกเสียจากว่าเราจะเกเรกระโดดออกไปจากเรือเองเท่านั้น”

+++++++++++++++++++++++++

อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของป้าแย้ม

ป้าแย้ม หรือบัวแย้ม เป็นหญิงชรานิสัยดีที่โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนบ้าน เสียแต่ว่านางเป็นหญิงชรานัยน์ตาบอด หากใครจะรู้บ้างว่าในอดีตก่อนที่นัยน์ตาจะบอดนั้นจิตใจของนางเคยมืดบอดด้วยโทสะและโมหะมาแล้ว!

บัวแย้มในวัยสาวเป็นหญิงผู้งดงามและฐานะมั่งคั่ง แต่มากด้วยความอิจฉาริษยา โดยเฉพาะเมื่อต้องอุปการะบัวน้อย น้องสาวต่างมารดา ที่มาพร้อมกับไอ้บอด หมาตาบอดที่บัวน้อยเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ความริษยานั้นยิ่งทวีคูณเมื่อบัวน้อยมีความสาวความสวย จนทำให้มนัส ชายหนุ่มรูปงามมาติดพันและขอแต่งงานด้วย ทำให้บัวแย้มวางแผนทำลายความสาวของบัวน้อย โดยจ้างมิจฉาชีพมาฉุดคร่า แต่กรรมตามสนอง กลายเป็นหล่อนนั่นเองที่ถูกล่อลวงไปแทน

บัวแย้มต่อสู้จนเอาตัวรอด แต่เกิดอุบัติเหตุทำให้นัยน์ตาบอดสนิททั้งสองข้าง และไม่อาจขัดขวางความรักของบัวน้อยกับมนัสได้อีก ความรู้สึกดิ่งลึกลงสู่ความเศร้า ทำให้บัวแย้มตัดสินใจที่จะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่แล้วเมื่อร่างของเธอจมดิ่งลงสู่ใต้ผิวน้ำ ก็ถูกใครบางคนเข้ามาฉุดดึงเอาไว้ แล้วลากขึ้นสู่ฝั่งอย่างปลอดภัย

และผู้ที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ก็คือไอ้บอด!

ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงหมาตาพิการตัวหนึ่ง มันได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์จนเกินค่าข้าวที่เขาขุนมันมาตลอด มันช่วยเฝ้าบ้านดูแลระแวดระวังให้พ้นจากภัยของคนแปลกหน้าที่ผิดกลิ่น มันเคยช่วยไม่ให้ไฟต้องเผาผลาญบ้านลงเพราะความสะเพร่าเลินเล่อของหล่อนเอง และท้ายสุดมันยังได้ช่วยชีวิตของหล่อนเอาไว้อีกด้วย!

มันเป็นเพียงหมาพิการ ยังรู้จักใช้ชีวิตของมันเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นถึงเพียงนี้ ก็หล่อนเล่าเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐแท้ๆ จะปล่อยชีวิตให้สิ้นไปโดยปราศจากความหมายไร้ค่าประโยชน์เช่นนี้หรือ

++++++++++++++++++++++++++

แม้ว่าเรื่องราวใน ชีวิตนี้มีความหมาย จะเข้มข้นด้วยข้อคิดเตือนใจที่ดูเหมือนจะเคร่งเครียด แต่ด้วยกลวิธีการประพันธ์ของสุภาว์ เทวกุลฯ ทำให้เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาอ่านได้อย่างสนุกสนานไม่น่าเบื่อ และแฝงด้วยอารมณ์ขันปิดท้าย โดยเฉพาะ การเล่นกับคำ ‘ชีวิตนี้มีความหมาย’ ที่ในฉากสุดท้ายของเรื่องราว เมื่อสองหนุ่มสาวได้แต่งงานกัน และประโยคสนทนาตอนท้ายสุดของเกียรติและสยุมพร ระหว่างการเข้าหอคืนวีวาห์

“เกียรติล่ะคะ หึงเป็นมั้ย”

“หึงไม่เป็นหรอก เป็นแต่ห่วง โธ่ก็สยุมพรน่ะเป็นความหมายสำคัญยิ่งของชีวิตเกียรติเทียวนี่นะ”

สยุมพรยกมือขึ้นจับนิ้วที่จี้คางของเธออยู่ เกียรติเลยจับมือน้อยๆ นั้นกุมมั่นไว้ เธอยิ้มอย่างน่ารัก

“เกียรติรู้ไหมคะ ว่าชีวิตของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนั้น ความหมายที่สำคัญที่สุดก็คือได้รัก ได้ห่วงและคอยติดตามป้องกันสิทธิในสามีของหล่อนจนสุดกำลังความสามารถเท่านั้นเอง”

เกียรติยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหน้าผากทำท่าเหมือนเข่าอ่อนจะล้มลง ครางว่า

“งั้นหรอกหรือ แย่แล้ว นายเกียรติเอ๋ย”

สยุมพรหัวเราะเสียงใส “นี่แหละค่ะ ชีวิตนี้มีความหมายล่ะ”

 

Don`t copy text!