บาดาลนคร

บาดาลนคร

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

บาดาลนคร นับเป็นนิยายภาคต่อจาก “พิภพสนธยา” ที่คุณจินตวีร์ วิวัธน์ ได้เขียนไว้ในนามปากกา ก่ำฟ้า เฟือนจันทร์ เช่นเดียวกับ เรื่อง บุปผาเพลิง และภวังค์ ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ ลงตีพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสารบางกอกรายสัปดาห์ ก่อนจะนำมารวมเล่มครั้งแรก โดยสำนักพิมพ์โชคชัยเทเวศร์ ซึ่งภาพประกอบที่นำมาจัดแสดง ก็มาจากนิตยสารบางกอกนั่นเองครับ

จากเนื้อหาใน พิภพสนธยา คณะสำรวจของพันเอกกรัณย์ นันทนเศรณี พร้อมกุฎาภาหรือกิ๋ว บุตรี รวมถึงวาทิตคนรัก และทีมงานเดินทางผ่านเข้าสู่เขตป่าทึบและเผชิญกับสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติต่างๆ ตั้งแต่เทือกวงเดือน ทุ่งคนธรรพ์ จนถึงหุบกาสิง และในที่สุดทั้งหมดก็เดินทางมาถึงผาหุบมาร เส้นทางที่ดิ่งลงสู่ใต้บาดาล

เพื่อจะเผชิญหน้ากับ ดินแดนลี้ลับเหนือการพิสูจน์ อันมีนามว่า บาดาลนคร!

++++++++++++++++++

หน้าผานั้นที่จริงมันคือ ผนังหุบกาสิง ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั่นเอง แต่แทนที่จะเป็นดินปนหินเหมือนผนังด้านอื่นๆ ส่วนนี้กลับแข็งแกร่งด้วยหน้าผาใหญ่ทั้งท่อน เอียงทำมุมลาดเทขึ้นไปยังระดับแนวป่าเบื้องบน

ต่ำใต้ลงมา ทุกคนมองเห็นร่องรอยของการเชื่อมต่อกับพื้นดินก้นหุบในอดีตชัดเจนเพราะมีชานหินเว้าแหว่งยื่นออกมาจากหน้าผาในระดับเดียวกับพื้นก้น แล้วจึงถึงรอยแยกซึ่งมีขนาดความกว้างประมาณ 10 เมตร ส่วนความยาวนั้นยังไม่ได้สำรวจแน่ชัด ผนังรอยแยกหรือผาหุบมารตามที่ชาวบ้านเรียกกันก็คือ หน้าผาหินแกร่งนั่นเอง มันตัดตรงแนวลงไปเบื้องล่าง ราวกับถูกฝานจากกันด้วยมีดมหายักษ์

“เราจะไต่ลงไปตามแนวเหวนี้!”

แต่แล้ว ก่อนการไต่ลงสู่บึ้งนรกบาดาลเบื้องล่าง คณะสำรวจพบซากโครงกระดูกมนุษย์โบราณอยู่บริเวณแคมป์เหนือหุบผา และคืนนั้นกุฎาภาก็ฝันถึงขุนพลในชุดโบราณที่อ้างว่าเป็นวิญญาณจากเจ้าของโครงกระดูก เพื่อมาเตือนเธอและคณะให้เดินทางกลับ ก่อนที่ทุกคนจะไม่มีโอกาสอีก แม้จะหวั่นกลัวด้วยสังหรณ์ประหลาด แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจลงไปเผชิญความลี้ลับมหัศจรรย์ใต้โลกพร้อมคณะสำรวจและบิดาของตัวเอง…

การผจญภัยในดินแดนลี้ลับใต้โลกเริ่มต้นขึ้น ด้วยจินตนาการอันสุดแสนมหัศจรรย์ ผสมผสานกับข้อมูลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดีของผู้เขียน ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญไข่ไดโนเสาร์ การถูกตามล่าจากแมงมุมประหลาด มนุษย์โบราณผิวขาวซีดไม่ต่างกับแป้ง ป่าเห็ดราสยองขวัญ หรือสิ่งมีชีวิตประหลาดในลำธารใต้พิภพ ที่ผู้เขียนบรรยายอย่างเห็นภาพ…

ฝูงปลาหายไปไม่นาน อะไรบางอย่างก็ลอยมาช้าๆ มันเหมือนดอกไม้น้ำที่ตายแล้วหลุดลอยมา ขนาดใหญ่เท่าดอกบานชื่น ลักษณะก็คล้ายคลึงกัน คือทั่วทั้งดอกประกอบไปด้วย “กลีบ”เล็กๆมากมาย ซับซ้อน แต่กลีบของมันกลมยาว ไม่แบนเรียบเหมือนกลีบดอกบานชื่น สีขาวขุ่นเช่นเดียวกับปลาและสัตว์อื่นในถ้ำที่ไม่กระทบแสงแดดเลย สิ่งที่แปลกประหลาดในตัวมันมีอยู่อย่างเดียว

นั่นคือตรงใจกลางดอกอันมีลักษณะเหมือนเกสรมากมายนั้น มันไม่ใช่เกสร แต่เหมือนปากขนาดจิ๋วมากมาย ยุ่บยั่บ หุบเข้าหุบออก เหมือนกระหายหิวตลอดเวลา
มันลอยมาด้วยกันสอง สาม ดอก กระจายห่างๆกัน แอบแฝงอยู่ข้างก้อนหินที่เรี่ยผิวน้ำ ท่าทางเหมือนรอคอยอาหารอยู่อย่างอดทนและเยือกเย็น…

+++++++++++++++++

นักสำรวจทั้งหมดต้องฝ่าปิรามิดผลึกเย็นอันแปลกประหลาด เข้าสู่อาณาบริเวณ ขุมทองใต้พิภพ และพานพบกับกุฎาภาในภายหลัง หญิงสาว จึงบอกความจริงอันลี้ลับยิ่งกว่า เมื่อเธอได้เผชิญหน้ากับชาวบาดาลนครคนแรก ที่มีชื่อว่า น็อกซ่า…

หญิงสาวผู้นั้นมีลักษณะเหมือนมนุษย์ชาวคอเคเซียนทุกประการ น็อกซ่าเป็นนักโทษหญิงที่ถูกส่งตัวผ่านออกมาลงโทษที่ด้านนอกอาณาจักรบาดาลนคร และโชคดีที่กุฎาภาด้วยชีวิตเอาไว้ได้ และเมื่อเธอรอดชีวิตจึงสามารถเดินทางกลับเข้าสู่บาดาลนครได้อีกครั้งหนึ่ง น็อกซ่าเล่าให้ทุกคนฟังว่า อาณาจักรบาดาลนครแท้จริงก็คือ ทวีปแอตแลนติสที่เคยจมหายลงไปใต้สมุทรในอดีตกาล และประชาชนชาวแอตแลนติสก็ได้สร้างอาณาจักรใต้บาดาลของตนเองขึ้นมาใหม่ในนามนครเฮดีเซีย เส้นทางเดียวที่จะนำลงไปสู่มหานครใต้พิภพ คือปล่องอุโมงค์เปลี่ยนมิติ ผ่านนายทวารของนครแห่งนี้

และคณะนักสำรวจทั้งหมด ก็มีโอกาสได้เห็นบาดาลนคร จากปากอุโมงค์เปลี่ยนมิติ อันเป็นเส้นทางลงสู่ใต้บาดาลแห่งนี้เป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้าย สู่ภาพเงาแห่งนครเฮดีเซีย ด้วยอานุภาพของนายทวารแห่งปล่องเปลี่ยนมิติ ผู้ดูแลอารักขาหนทางเดียวอันเข้าสู่ตัวเมือง

ที่นั่น… อาคารบ้านเรือน เทวสถาน อนุสรณ์สถานและสภาพชีวิตของชาวเมืองล้วนเปิดเผยให้เห็นเหมือนมองภาพที่เกิดขึ้นจริงๆในอดีตกาลอันนานโพ้น ชาวเมืองหญิงชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวจัด ผมสีทอง แต่งกายห่มกรอมยาวคลุมถึงพื้น แบบชนชาวกรีกโบราณ เดินไปมาตามพื้นถนนหน้าเทวสถานมหึมา รูปทรงสถาปัตยกรรม ไม่เหมือนชนชาติใดในพื้นพิภพ เพราะมีทั้งอาคารทรงปิรามิดด้านเรียบ ปิรามิดแบบชั้นและแม้กระทั่งเทวสถานที่ละม้ายซิกกูรัตของชาวเมโสโปเตเมียโบราณ… ดูราวกับที่นี่เป็นแหล่งรวมหลอมของอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดทุกแห่งในโลกที่ล่มสลายดับสูญไปแสนนานแล้ว แต่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ที่นี่ในสภาพเหมือนเดิมที่สุด

ที่สำคัญที่สุดก็คืออารยธรรมนี้ล้วนยังไม่ตาย หากมีชีวิตชีวาพร้อมด้วยเจ้าของอารยธรรมซึ่งกำลังเดินไป เดินมา ประกอบธุรกิจประจำวันของตนด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส

“บาดาลนคร…อา…”

เรื่อง : บาดาลนคร

ผู้ประพันธ์ : ก่ำฟ้า เฟือนจันทร์

สำนักพิมพ์ : โชคชัยเทเวศร์

ปีที่พิมพ์ : 2528

สองเล่มเจบ

แม้จะเห็นเพียงเสี้ยววินาที อันเป็นโอกาสสำคัญของนักสำรวจ หลังจากนั้น ทวารแห่งมิติก็ดูดร่างน็อกซ่ากลับคืนลงสู่บาดาลนคร และปิดเส้นทางแห่งปล่องเปลี่ยนมิติไปตลอดกาล…
แรงสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหวเกิดขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันได้ส่งให้คณะสำรวจทั้งหมด ถูกส่งผ่านทวารแห่งมิติ มาทะลุออกสู่เส้นทางแห่งเทือกวงเดือน อันเป็นต้นทางเข้าสู่ป่าทะเยวา ดินแดนพิภพสนธยาแต่แรก ในชั่วพริบตา

ทุกคนเดินทางย้อนกลับมาสู่ปัจจุบันกาล โดยทิ้งความทรงจำและทุกอย่างเอาไว้ที่ใต้ผืนพิภพ นอกเหนือจากชีวิตของแต่ละคนเท่านั้น

แม้จะไม่เหลือข้อมูลใดๆสำหรับนำมาเปิดเผยแก่ชาวโลก แต่สำหรับวาทิต ทินลักษณ์ แล้ว เขากลับมีความสุขที่สุด ที่กุฎาภา คนรักของเขาปลอดภัย เขาขอเธอแต่งงาน ภายหลังการเผชิญภัยและฝ่าฟันอุปสรรคภยันตรายต่างๆมาด้วยกันจนแทบเอาชีวิตไม่รอด และรู้ดีว่าหัวใจของเธอและเขาตรงกันทุกประการ

++++++++++++++++++

กุฎาภาเบนหน้าหนีชายหนุ่ม เสียงใสหวานพลิ้วกล่าวตอบกึ่งยั่วเย้า กึ่งล้อเลียน อย่างชื่นฉ่ำ

“เมื่อไรก็ได้ค่ะ…แต่ต้องสัญญานะว่า คุณวา จะไม่พากิ๋วไปฮันนีมูนถึงที่บาดาลนคร!”

เสียงหัวเราะประสานเสียงกันในยามนั้น บ่งบอกถึงความสุขที่เปี่ยมล้นในหัวใจสองดวง ที่เชื่อมผสานกันสนิทแน่น หลังจากผ่านการผจญภัยอันเหลือเชื่อมาด้วยกันแล้วอย่างโชกโชน…

 และแล้ว การผจญภัยสู่บาดาลนคร ก็ดำเนินมาถึงบทอวสานอย่างสมบูรณ์

Don`t copy text!