วิญญาณพเนจร (ผู้พิชิตมัจจุราช ภาคสมบูรณ์)

วิญญาณพเนจร (ผู้พิชิตมัจจุราช ภาคสมบูรณ์)

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เรื่องราวของ วิญญาณพเนจร ดำเนินเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน ผู้พิชิตมัจจุราช เมื่อวิญญาณของชาคริตได้ออกจากร่างภิกษุอินทร์ และเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ทุกอย่าง รวมถึงเพ็ญจันทร์ อดีตภรรยาของเขา ที่หวังว่าจะออกไปใช้ชีวิตทางธรรม โดยฝากลูกทั้งสองไว้กับกัลยาณมิตรอย่างพันตำรวจตรีเกรียงไกร ที่ย้ายไปเป็นผู้กำกับที่ลำปาง แม้ว่าบ้านบางบ่อของเธอที่เคยตกเป็นสมบัติของร้อยตำรวจเอกสุจริตจะตกกลับมาเป็นสมบัติของเธออีกครั้งภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตก็ตาม

วิญญาณของชาคริตผ่านเข้าสู่ร่างต่างๆ ที่แตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่เมื่อวิญญาณของเขาร่อนเร่ไปถึงแผ่นดินชายแดน และพบชายหนุ่มชาวป่าคนหนึ่งถูกทำร้ายจากชายอีกเผ่าหนึ่ง จึงเข้าช่วยเหลือ แต่ช้าเกินไป เมื่อวิญญาณของดวงแสงหลุดออกจากร่าง ทำให้ชาคริตต้องผ่านเข้าสู่ร่างของดวงแสงซึ่งเป็นสมาชิกเผ่าสะกอ ในดินแดนภาคเหนือของประเทศ

ในเวลานั้นเผ่าสะกอกับเผ่าบะกะไฮไม่ถูกกัน และเผ่าสะกอเองก็มีสมาชิกจำนวนน้อยกว่า จึงถูกรุกราน และไอ้ปักกะ สมาชิกเผ่าบะกะไฮคนหนึ่งนั่นเองที่มีเรื่องกับดวงแสงจนสังหารดวงแสงเสียชีวิตลงก่อนหน้า ในเผ่าสะกอนั้นเองที่มีพรหมมินทร์ บิดาของดวงแสง เป็นหัวหน้าเผ่าที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง กล้าหาญ จนทำให้เผ่าบะกะไฮไม่กล้าลงมือผลีผลามใดๆ

พรหมมินทร์และทุกคนประหลาดใจกับท่าทีของดวงแสงคนใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าร่างนั้นมิใช่ดวงแสง แต่เป็นชาคริต แม้แต่แม่และแว่นปิ่ง คู่หมั้นของเขาเองก็ตาม ชาคริตในร่างของดวงแสงต้องพิสูจน์ตัวเอง ให้ได้รับการยอมรับ และด้วยคุณธรรมที่ใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับบททดสอบต่างๆ มากมาย รวมถึงแสนยอด รองหัวหน้าเผ่า ที่ต้องการจะก้าวขึ้นสู่อำนาจแทนที่พรหมมินทร์ จนชักนำให้เกิดการสู้รบขึ้นในที่สุด

การต่อสู้ของสองเผ่าเกิดขึ้น รวมถึงการทรยศกันเองในเผ่า ทำให้ต้องสูญเสียผู้คนไปในครั้งนี้ แต่ในท้ายที่สุดด้วยการตั้งมั่นในการทำความดีของดวงแสง ก็ทำให้ทั้งสองเผ่าสามารถเป็นไมตรีต่อกันได้สำเร็จ และดวงแสงก็ต้องเสียชีวิตไปในกองเพลิงครั้งนี้ด้วย เมื่อนั้นเอง วิญญาณ ของชายหนุ่มก็หลุดออกจากร่างอีกครั้ง พเนจรร่อนเร่เพื่อเสาะหาร่างใหม่ต่อไป

เพ็ญจันทร์เองได้เดินทางมายังสำนักปฏิบัติธรรมที่เพชรบุรี เธอตัดสินใจบวชชี ภายใต้การดูแลของแม่ชีมณฑา ในชื่อใหม่ว่า ‘นิทรา’ เหมือนกับในอดีตที่เคยคุยกับชาคริตว่าชื่อของเธอและเขา จะได้คู่กัน ชาคริตและนิทรา

กระนั้น จิตใจของเธอก็ยังหวนคิดไปถึงสามีที่จากไปตลอดเวลา ในห้วงเวลาเหล่านั้นเธอได้พบกับเขาในความฝัน และล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณเขาโดยตลอด

วิญญาณของชาคริตร่อนเร่มาจนได้มาถึงโรงพยาบาลเชียงใหม่ และพบว่าพ่อแม่เด็กทารกคนหนึ่งกำลังจะสูญเสียลูกตนเองไป เสียงผู้เป็นแม่ร้องคร่ำครวญอย่างน่าเวทนานัก

“ลูกต้องไม่ตาย ถ้าลูกตายแม่จะตายด้วยในวันนี้ แม่ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว ลูกจ๋า!”

เสียงของนางค่อยๆ เบาลงเหมือนจะสลบไป แต่ในทันใดนั้น วิญญาณของลูกน้อยซึ่งเหมือนจะรอคอยเพื่อบอกลาแม่ก่อนจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับได้ค่อยๆ เคลื่อนออกจากร่าง เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนปุยเมฆที่ได้รับแสงอ่อนๆ ในยามเช้า ลอยผ่านข้าพเจ้าไปอย่างเหลียวมอง และในบัดดลนั้นวิญญาณของข้าพเจ้าก็สวนควันเข้าไปครอบครองร่างน้อยๆ นั้นไว้ได้สมความปรารถนา

ด้วยความสงสารพ่อแม่เด็กน้อยและจิตอันเป็นกุศล นำพาให้วิญญาณของเขาผ่านเข้าสู่ร่างเด็กน้อยอันมีนามว่าชาลี และแล้วเด็กชายชาลีก็ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!

ทารกน้อยที่มีความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ค่อยๆ เติบโตขึ้น แม้จะสร้างความยินดีให้กับผู้เป็นแม่ แต่ก็สร้างความแคลงใจให้กับผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อครอบครัว และหวาดกลัวว่าเด็กชายไร้เดียงสาคนนี้กลับรู้เรื่องบางอย่างของตัวเองมากเกินไป จึงพยายามใส่ร้าย เพื่อกำจัดในช่วงที่มารดาของชาลีป่วยหนัก จนในที่สุดชาคริตก็จำต้องออกจากร่างของเด็กชายชาลีอีกครั้ง

เวลาผ่านไป คราวนี้ดวงวิญญาณของเขาล่องลอยมาถึงชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะถูกบิดามารดาบังคับให้แต่งงานกับชายที่ตนไม่รัก

ชาคริตถูกกระแสกรรมพัดพาให้ผ่านเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างนั้นโดยบังเอิญที่สุด และเขาก็ตื่นขึ้นมาในร่างของสตรีสาวสวยที่มีนามว่าชูศรี หรือซูซี่

ชูศรีถูกบังคับให้แต่งงานกับเสี่ยชาญ ซึ่งเธอไม่ได้รักใคร่ไยดีด้วย เพราะตนเองมีชายคนรักอยู่แล้วคือกำแหง เมื่อถูกบีบบังคับมากๆ หญิงสาวจึงตัดสินใจจบชีวิตลง การเข้าอาศัยในร่างที่ต่างเพศเช่นนี้ ทำให้ชาคริตต้องปรับตัวเองอย่างหนัก โดยเฉพาะนิตยา น้องสาวของเสี่ยชาญ ซึ่งเป็นสาวสวยไม่แพ้กัน และสนิทสนมกับชูศรีก่อนที่หล่อนจะจากไป นิตยาเองมีคนรักอยู่แล้ว เป็นนายแพทย์หนุ่มใหญ่ที่มีนามว่าหมอปรีชา!

หมอปรีชา อดีตเพื่อนสนิทของชาคริตที่เคยหลงรักเพ็ญจันทร์มาก่อนนั่นเอง บัดนี้ เมื่อเพ็ญจันทร์ไปบวชชี เป็นแม่ชีนิทราไปแล้ว หมอปรีชาก็มีโอกาสได้พบรักอีกครั้งกับนิตยา โดยไม่อาจทราบเลยว่าชูศรีนั้นก็คือชาคริตแฝงร่างอยู่ภายในนั่นเอง

ชูศรีพยายามสอบถามกับหมอปรีชาถึงเรื่องแม่ชีนิทรา และทราบข่าวว่าบัดนี้เธอกำลังป่วยหนัก ในขณะเดียวกัน ก็ทราบว่าพลตำรวจตรีเกรียงไกรได้เสียชีวิตลงแล้ว เหลือเพียงลูกชายของเขากับเพ็ญจันทร์ที่เติบโตขึ้น แต่กลายเป็นเด็กกำพร้า ความห่วงใยยิ่งทวีมากขึ้น จนทำให้เขาในร่างชูศรีพยายามขอร้องให้หมอปรีชากับนิตยาพาไปยังสถานปฏิบัติธรรมแห่งนั้น เขาได้พบกับแม่ชีหัวหน้าสำนัก ซึ่งมีญาณบารมีพอจะติดต่อกับเขาได้ทางโทรจิต แม่ชีอนุญาตให้เขาพบกับเพ็ญจันทร์ได้

ในสภาพที่ป่วยนอนซมด้วยพิษไข้อยู่บนเตียง แต่แม่ชีนิทราหรือเพ็ญจันทร์มองเห็นดวงวิญญาณของชาคริตที่ซ่อนอยู่ในร่างของหญิงสาว เธอพร่ำเพ้อจนทำให้ทุกคนประหลาดใจ รวมถึง เสี่ยชาญที่มาพร้อมกับนิตยาด้วย

เสี่ยชาญเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ มีฐานะ เขาเองหลงรักชูศรีตั้งแต่แรกเห็น แม้ว่าชูศรีเองจะไม่ได้ชอบเขาก็ตาม แต่หลังจากที่เธอจมน้ำและรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ท่าทีของเธอที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไป จนทำให้เขาเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

ชาคริตในร่างชูศรียอมรับว่าเขากับเสี่ยชาญมีบุญกรรมร่วมกันมาก่อน เขานึกถึงคำสอนในพุทธศาสนาที่ได้รับฟังมา และในที่สุดเขาก็ยอมที่จะแต่งงานอยู่ร่วมกับเสี่ยชาญ เพื่อให้กรรมที่เคยมีต่อกันหมดสิ้นลงในชาติภพนี้ เขาได้ตอบคำถามกับเพ็ญจันทร์ที่ยังคงสงสัยในการตัดสินใจครั้งนี้

“ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้ว เราย่อมหนีไม่พ้น พี่จึงจะยอมทนทรมานเพื่อให้ผ่านหรือหมดสิ้นไปเอง การที่พี่มาได้ร่างของหญิง ซึ่งพี่ต้องสิงอยู่บัดนี้ ก็เป็นไปโดยกรรมที่นำพี่มาติดอยู่ ใช่ว่าพี่จะเลือกเอาด้วยใจสมัครก็หามิได้”

และต่อมา ชาคริตก็รับรู้จากแม่ชีหัวหน้าสำนักว่าเพ็ญจันทร์กำลังจะหมดอายุขัยในมิช้า เขามีโอกาสพบกับเธออีกครั้งในสภาพของวิญญาณ เพ็ญจันทร์กำลังเดินทางไปสู่สุคติภูมิ ในขณะที่เขายังต้องเป็นวิญญาณที่สิงสู่ในร่างของชูศรีต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาแห่งการสิ้นบุญ

นิตยาหมั้นกับหมอปรีชา และชูศรีก็ได้แต่งงานกับเสี่ยชาญ ทั้งคู่เดินทางไปฮันนีมูนที่เกาะฮ่องกง ด้วยความรักและห่วงใย โดยเฉพาะในเวลานอนที่ชูศรีจะหลับเป็นตาย โดยเสี่ยชาญไม่รู้ว่าความจริงแล้ว เขาสามารถถอดดวงจิตกลับไปยังสถานที่ต่างๆ ได้

ที่เกาะฮ่องกงนั้นควรจะเป็นสถานที่อันสวยงาม ที่เขาและเสี่ยชาญได้ท่องเที่ยวร่วมกันอย่างรื่นรมย์ ถ้าหากว่าทั้งคู่จะไม่ได้พบกับกำแหงอีกครั้ง

กำแหงจดจำชูศรีได้ ในขณะที่ชาคริตในร่างชูศรีไม่เคยรู้จักชายหนุ่มผู้นี้มาก่อนว่าเคยเป็นคนรักของร่างที่เขาอาศัยอยู่ กำแหงพยายามจะช่วงชิงชูศรีกลับคืนมา เขานำจดหมายรักที่ชูศรีเคยเขียนถึงเขามาประจานให้เสี่ยชาญรับรู้และเสียใจ จนทำให้ชาคริตต้องตัดสินใจบางอย่าง

เขาเดินทางไปพบกับกำแหง และแสดงให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของร่างชูศรีที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ในขณะที่ถอดร่างออกมา ทำให้กำแหงตกตะลึงเมื่อรับรู้ความจริงอันเหลือเชื่อนั้น ชาคริตในร่างชูศรีเดินทางกลับไปยังบ้านพักของเสี่ยชาญ ในจังหวะที่เสี่ยชาญขับรถด้วยความเร็วสูงย้อนทางมา เพื่อมาตามหาเธอเช่นกัน และรถก็ประสานงาเข้าอย่างจัง!

ทั้งคู่เสียชีวิต วิญญาณชาคริตหลุดพ้นออกจากร่างของชูศรีแล้ว แต่เมื่อเห็นร่างโชกเลือดของเสี่ยชาญที่นิตยากำลังร้องคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ทำให้เขาต้องผ่านเข้าไปสู่ร่างของเสี่ยชาญอีกครั้ง แม้จะอยู่ในสภาพร่างกายที่พิการจากอุบัติเหตุก็ตาม

 

สังขารจะมีประโยชน์อะไรสำหรับข้าพเจ้าเล่า ในเมื่อมันเป็นเสมือนเสื้อผ้าของเราชุดหนึ่ง ซึ่งใช้สำหรับสวมใส่ในการเดินทาง เพราะถึงใหม่มันก็จะต้องกลายเป็นเก่า และเมื่อเก่าแล้วก็ต้องผุพังไปอีก เป็นการหมุนเวียนและต้องเปลี่ยนกันเรื่อยไป จนกว่าเราจะได้บรรลุถึงที่อันพึงปรารถนา แต่อนิจจา! ที่นั่นมันช่างไกลเหลือเกิน

เรื่องเล่าของ ‘ข้าพเจ้า’ ใน วิญญาณพเนจรได้ดำเนินมาถึงบทอวสาน เมื่อชาคริตได้เล่าว่าหลังจากอาศัยอยู่ในร่างของชาญได้ประมาณ 6 ปี ก็ล้มเจ็บลง และต่อมาก็เสียชีวิตไปในที่สุด ตามสภาพสังขารที่เจ็บป่วยอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ศพของเขาได้นำไปฝังไว้เคียงข้างศพของชูศรี หญิงสาวที่เขาหลงรักมาตั้งแต่แรกนั่นเอง

จากนั้น วิญญาณของชาคริตได้ผ่านเข้าสู่ร่างของ ลุงสอน ชมบัว ซึ่งเป็นชายชราที่เขียนบันทึก เป็นจดหมายเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์เรื่องนี้ มาถึง คุณเทียน เหลียวรักวงศ์ ในเวลาสิบแปดปีต่อมา หลังจากชาคริต อมรบุตร ได้เสียชีวิตลงไปแล้วนั่นเอง

และแล้ว วิญญาณพเนจร อันเป็นภาคสมบูรณ์ของ ผู้พิชิตมัจจุราช ก็ดำเนินมาถึงบทอวสาน ณ บรรทัดนี้

สำหรับ ชื่อ ของ ‘เทียน เหลียวรักวงศ์’ นี้ ผมไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของท่านเลยครับ ทราบเพียงว่า นอกจากผลงาน ผู้พิชิตมัจจุราช และ วิญญาณพเนจร อันเป็นนวนิยายเรื่องเอกอันลือลั่นในชีวิตของท่านแล้ว ก็ยังมีสารคดี จดหมายรักในชีวิตจริงของยาขอบ อีกหนึ่งเรื่องด้วย

และจากข้อมูลของ คุณยูร เสรีรัตน์ ที่เขียนไว้สั้นๆ ว่า

คณะสุภาพบุรุษที่ออกมาจากหนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ได้ไปก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ชื่อ ‘ผู้นำ’ เป็นหนังสือพิมพ์เล็กๆ แต่ถือว่าพอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในยุคนั้น โดย ทองอิน บุณยเสนา นามปากกา ‘เวทางค์’ นักเขียนและนักประพันธ์เพลงชื่อดัง เป็นบรรณาธิการ ‘เวทางค์’ เป็นเพื่อนนักเขียนของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ตั้งแต่ครั้งสมัยทำหนังสือพิมพ์ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ ผู้ออกทุนคือ นายเทียน เหลียวรักวงศ์ เจ้าของโรงพิมพ์สยามพานิชการ จำกัด ซึ่งเป็นโรงพิมพ์เล็กๆ เช่นเดียวกัน เริ่มออกฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2475

และจากข้อมูลในหนังสือ นักเขียนในอดีต 2 ของ คริส สารคาม ก็ให้รายละเอียดเพียงว่า ท่านเป็นผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหศินีม่า (เฉลิมกรุง) ในเวลานั้น

ซึ่งถ้าหากท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ ของผู้ประพันธ์ ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเลยครับ

 

Don`t copy text!