ถึงม้วยดินสิ้นฟ้า

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้า

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

กมล บุษปะเกศ เป็นน้องชายของเสนีย์ บุษปะเกศ นักเขียนนามอุโฆษ เจ้าของผลงานอย่าง ฟ้าเพียงดิน แก้วลืมคอน ตะวันยอแสง หรือ คมแฝก เป็นต้น สำหรับกมลผู้เป็นน้องชายของท่าน ก็ได้เจริญรอยตามบนเส้นทางสายบรรณพิภพ โดยมีผลงานออกมาจำนวนหนึ่ง

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้า จัดเป็นผลงานรวมเรื่องสั้นจำนวน 14 เรื่องที่มีรสชาติแตกต่างกัน แต่มีสไตล์เฉพาะตัวของผู้เขียน ประกอบด้วย ถึงม้วยดินสิ้นฟ้า กามเทพเล่นตลก นางนกพิราบรำไพ ทับทิมห่อและขนมจีบลอยแก้ว ลูกของพ่อ เกียรติศักดิ์รักของข้าฯ ดาบหัก รักชั่วนิรันดร์ จนกว่าจะสิ้นแสงเดือน พระของเขา เพลงรักวันปีใหม่ ระหว่างรักกับลิทธิแดง ความรักเหมือนบทเพลง และ รัก+เส้นขนานที่ 38

ในเกือบทุกเรื่องของ กมล บุษปะเกษ จะอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก และสำนวนภาษาที่เขียนขึ้นอย่างละเมียดละไม บางครั้งคล้ายการรำพึงผ่านเรื่องราวในความคิดคำนึงของตัวละคร บางครั้งก็เหมือนการอ่านลำนำแห่งบทกวี โดยมีพลอตเรื่องมาประกอบ นับว่าเป็นการอ่านที่ได้อรรถรสในอีกรูปแบบหนึ่ง

++++++++++++++++++++++++

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้า เป็นเรื่องราวบอกเล่าผ่านความคิดคำนึงของบุญทวี สาวน้อยที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับสมพงษ์ ชายหนุ่มคนรักของเธอ เรื่องราวดำเนินผ่านช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิต ตั้งแต่การเริ่มต้นใช้ชีวิตแต่งงาน การมีลูกคนแรก โดยบุญทวี เขียนจดหมายบอกเล่าความเป็นไปในชีวิตของเธอเองให้กับสายใจ เพื่อนรักที่กำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่เช่นเดียวกัน และผ่านกาลเวลาต่อมา ตราบจนถึง วันวัยที่เข้าสู่ช่วงแห่งสนธยา เมื่อลูกของเธอได้แต่งงานกับลูกของสายใจ จนมีทารกน้อยๆ ออกมาให้ชื่นชม ไม่ต่างกับวันเวลา ที่เธอและสมพงษ์เคยเผชิญกับมันมาแล้ว และได้มาร่วมสนทนาพูดคุยกัน ในบรรยากาศอันอบอุ่นรื่นรมย์ของชีวิต

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร

ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน…

ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน สุนัขสองตัวที่ลานบ้านชวนกันวิ่งไปในครัวสู่จานอาหาร ฝูงไก่ส่งเสียงสวัสดีให้แก่ทิวาเซ็งแซ่ก่อนจะกลับคืนรัง แม้เจ้านกน้อยซึ่งจับคู่คอนอยู่บนต้นชมพู่ก็ยังมองด้วยความอิจฉา แดดตอนอาทิตย์จะลับโลกสาดสีทองประดุจร่มรัก กามเทพนั้นยังภาคภูมิและพิศวงในพิษศรขององค์เอง เพลงแห่งความรักยังไม่จบ คงบรรเลงให้แก่ทุกชีวิตในครอบครัวนี้ ถึงแม้จะม้วยดินสิ้นฟ้า หรือมหาสมุทร…

สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ กมล บุษปะเกษ เขียนไว้ในคำนำว่า ท่านได้แรงบันดาลใจระหว่างการไปฮันนีมูนกับภรรยาที่ปีนัง

กามเทพเล่นตลก น่าจะเป็นเรื่องแนวเสียดเย้ยผสมหรรษา บอกเล่าครอบครัวของรุ้งทอง แม่บ้านสาวที่แต่งงานกับอรุโณทัย ชายหนุ่มผู้ทำงานนักข่าวในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไป ความเอาใจใส่ของสามีก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เขาไม่เคยมีเวลาให้กับเธอเลย ซ้ำยังกลับบ้านดึกดื่นทุกคืน ด้วยข้ออ้าง

“ประชุมบรรณาธิการที่สมาคม ต่อด้วยกินเลี้ยงอาหารเย็นที่รัตนโกสินทร์ ติดงานชมรมนักประพันธ์ต่อ แล้วไปรอบค่ำที่ศรีเยาวราช แถมคุณชลิตยังฉุดตัวไว้กินเหล้า จากศรีเยาวราชไปเต้นรำที่ศาลาไทย!”

และรุ้งทองก็สืบรู้มาว่า เขาพานักข่าวสาวน้อยคนใหม่ ไปด้วยเสมอ!!

จากนั้นแผนการดัดหลังสามีจอมเจ้าชู้มากข้ออ้างจึงเริ่มต้นขึ้น

สำหรับเรื่องนี้ ผู้เขียนเล่าไว้ในคำนำว่า ท่านได้แรงบันดาลใจในการเขียนจากความคิดคำนึงในยามคิดจะหนีเมียไปเที่ยว!

++++++++++++++++++++++++

นางนกพิราบรำไพ เป็นเรื่องราวบอกเล่าความคิดคำนึงของนางนกพิราบสาว กับนกพิราบหนุ่มที่ตามจีบพิราบสาวน้อย โดยต่างโบยบินไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อหารวงรังอันเหมาะสม สวยงาม หรือหรูหราอย่างความคิดฝัน ผ่านสถานที่ต่างๆ ที่มนุษย์พักอาศัย จนประจักษ์ถึงสัจธรรมของชีวิตครอบครัว ที่ความอบอุ่นแห่งรวงรังนั้นสำคัญสูงสุด แม้ว่าจะซอมซ่อหรือเก่าคร่ำคร่าเพียงใด แต่ย่อมมีความหมายเหนือกว่าความโอ่อ่าโอฬารของสถานที่พักอาศัย ที่ปราศจากความรัก!

สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ ผู้เขียนเล่าไว้ในคำนำว่า ท่านได้แรงบันดาลใจจากการฟังเพลง Home Sweet Home นั่นเอง

++++++++++++++++++++++++++

ทับทิมห่อและขนมจีบลอยแก้ว เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว บอกเล่าเรื่องราวความรักของนางสาววิรันดร์ วัฒยาการ กับไศลศักดิ์ มณเฑียร ชายหนุ่มกำพร้าพ่อแม่ ที่เกิดขึ้นในช่วงวันเวลาแห่งสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อไศลศักดิ์พยายามสร้างฐานะเพื่อมาสู่ขอเธอ โดยมาทำงานในสวนยางของลุงเขาที่สะเดา จังหวัดสงขลา แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกทางภาคใต้ และเดินทางเชื่อมต่อไปยังสิงคโปร์ ด้วยความรักชาติ ไศลศักดิ์ตัดสินใจเข้าร่วมสู้รบกับกองทัพอาทิตย์อุทัย และสูญหายไปในสงครามครั้งนั้น!

วิรันดร์รอคอยไศลศักดิ์ ด้วยความรักและซื่อสัตย์ ด้วยหวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เวลาผ่านไปจนถึงสิบปี ครอบครัวของเธอจึงตัดสินใจให้เธอแต่งงานกับเมฆ บัลลังก์รัตน์ ชายหนุ่มใหญ่ ที่เข้ามาติดพันวิรันดร์ และเธอก็จำต้องตกลง

แต่ในวันแต่งงานนั้นเอง วิรันดร์ก็ได้พบกับไศลศักดิ์อีกครั้ง เขาปรากฏตัวขึ้นในงานแต่งงานของเธอพอดี!

วิรันดร์อุทานชื่อของเขาออกมาด้วยความดีใจ ประหลาดใจ และตื่นเต้นจนหมดสติไป เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา จึงได้พบกับไศลศักดิ์อีกครั้ง เขาได้เล่าเรื่องราวอันไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เธอฟัง ในวันก่อนที่จะเดินทางกลับขึ้นมาเพื่อขอแต่งงานกับเธอ และเผชิญหน้ากับกองทหารจนเกิดการต่อสู้กัน และหมดสติไป

เรื่อง : ถึงม้วยดินสิ้นฟ้า

ผู้เขียน : กมล บุษปะเกศ

สำนักพิมพ์ : ผดุงศึกษา

ปีที่พิมพ์ : 2496

เล่มเดียวจบ

และเขารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งในอีกสิบปีต่อมา ที่นครเซี่ยงไฮ้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุกระทบศีรษะ เวลานั้นเอง ที่ไศลศักดิ์รู้ว่า สิบปีที่ผ่านมาเขาหลงลืมความทรงจำทุกอย่างไปจนหมดสิ้น และกลายเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจค้าขายที่ยิ่งใหญ่ของเอเชีย ในนามบริษัทเจษฎาจำกัด ในเวลานั้น เขาจดจำเพียงภาพของวิรันดร์ที่ติดตัวมา หากไม่อาจรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร แม้จะพยายามตามหาทั่วแผ่นดิน

จนสิบปีต่อมา อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั่นเอง ทำให้ความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา!

เขาเดินทางกลับมาเพื่อตามหาความรักจากวิรันดร์อีกครั้ง แม้ว่ามันจะสายเกินไปเสียแล้ว และเมฆ ก็คือสหายรุ่นพี่ของเขาที่ไม่อาจทรยศได้ เขาจากเธอมาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว แม้ว่าจะได้ความทรงจำกลับคืนมาก็ตาม

นิยายรักสุดอัศจรรย์เรื่องนี้จบลง เมื่อเมฆ ซึ่งเข้าใจในความรักของสองหนุ่มสาว ที่ต่างรอคอยกันและกันมาตลอด จนทำให้เขาประทับใจ และยอมเป็นฝ่ายหลีกทาง เพื่อให้รักของไศลศักดิ์ และวิรันดร์ได้สมความปรารถนาในที่สุด!

++++++++++++++++++++++++++

รักชั่วนิรันดร์ เป็นเรื่องราวความรักที่ประทับใจอีกเรื่องที่บอกเล่าผ่านมุมมองของคนสามคน ธานี ดวงดาว และราตรี

ดวงดาว หญิงสาวที่สวยและเพียบพร้อม รู้จักกับราตรี หนุ่มน้อยที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเองมาตั้งแต่เด็ก ความผูกพันที่ก่อตัวเป็นความรัก แม้ว่าดวงดาวจะอายุมากกว่าราตรีกว่าสามปีก็ตาม แต่อุปสรรคสำคัญคือปราการแห่งทิฐิที่ต่างไม่ยอมเปิดเผยความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ และบอกเล่าความรู้สึกผ่านบันทึกของแต่ละคน ผู้อ่านจะรับรู้ความอ่อนหวานในหัวใจของสองหนุ่มสาวที่ไม่เคยได้รับรู้ความรู้สึกแท้จริงนั้นเลย ผ่านตัวอักษรในบันทึกเหล่านั้น

และสองเมษายน ของวันหนึ่ง เมื่อดวงดาว จต้องแต่งงานกับธานี ส่วนราตรีก็จากไปด้วยหัวใจปวดร้าว โดยดวงดาวไม่อาจล่วงรู้ หล่อนซื่อสัตย์กับธานี สามีของตนมาตลอด ตราบจนถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต เมื่อดวงดาวป่วยหนักและรอคอยให้ราตรีมาเยี่ยมดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ธานีจึงได้รับบันทึกเล่มนั้นมาอ่านก่อนที่ดวงดาวจะเสียชีวิตลง

ในขณะที่ราตรีเองก็เดินทางจากเมืองเหนือ กลับมายังกรุงเทพฯ เพื่อหาหญิงสาวที่เขารักอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เหลือเพียงสมุดบันทึกของราตรีที่ทิ้งเอาไว้ในที่เกิดเหตุ และธานีก็ได้รับมันมาเช่นกัน

ในงานศพของคนทั้งคู่ ธานีตัดสินใจนำสมุดบันทึกของแต่ละฝ่ายใส่ลงในโลงศพ เพื่อให้รับรู้ถึงความรู้สึกแห่งรัก ที่แม้แต่ความตายก็ไม่พราก…

++++++++++++++++++++++++

เกียรติศักดิ์รักของข้า เป็นเรื่องราวแนวภพชาติ อิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสองยุคสองชั่วเวลา ยุคแรกคือเหตุการณ์ใน รศ. 112  หลวงราชนาวินฦๅชัย นายทหารผู้ดูแลป้อมพระจุล ในช่วงที่เกิดการสู้รบกับกองทัพฝรั่งเศส และพ่ายแพ้ จนตัดสินใจจบชีวิตตนเองลง

ท่านค่อยๆ ทรงตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กระชากลิ้นชักโต๊ะ หยิบปืนพกออกมาจ่อขมับ

“… เกียรติศักดิ์รักของข้า”

มันเป็นคำพูดสุดท้ายในชีวิตของท่าน หลวงราชนาวินฦๅชัย ผู้บังคับการป้อมพระจุลฯ ก่อนจะตัดสินใจลั่นไก!

ในห้วงเวลาสุดท้ายนั้นเอง เมื่อเขาได้หวนคิดถึงหญิงสาวผู้เป็นที่รักซึ่งมิอาจสมปรารถนาในรักนั้น ก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง

และจากนั้น เหตุการณ์ก็ดำเนินมาอีกครั้งในเหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้าง เรือเอกนาวิน ยศโยธิน แห่งเรือรบหลวงธนบุรี กำลังต่อสู้กับข้าศึกอย่างมิพรั่นพรึง ในเวลานั้นเขากำลังนึกถึงระตี หญิงคนรักที่ต้องจากมาด้วยหน้าที่แห่งเกียรติยศ

ที่รัก ฉันกำลังจะบอกเธอว่ากระสุนปืนใหญ่ “ลามอตปิเกต์” ลูกหนึ่งได้ถูกหอบังคับอย่างจัง ตัวของฉันลอยไปบนอากาศเหนือลูกกรงเหล็กกลิ้นหลุนๆ ตกลงมาตามขั้นบันไดเหล็ก…

ขณะที่เรือรบของเขาก็ถูกอาวุธทำลายจนน้ำไหลบ่าเข้ามา และเมื่อเป็นนายเรือแล้ว ก็ขอตายไปพร้อมกับลำเรือของตัวเอง

บาดแผลกระแทกบนพื้นเรือทำให้เลือดไหลลงมาอาบหน้า ยอดรักของฉันเอ๋ย นัยน์ตาของฉันกำลังดื่มเลือดจากหน้าผากถ่ายทอดไปสู่หัวใจและวิญญาณ น้ำทะเลไหลซึมเข้ามาตามรอยประตู ฉันรู้สึกว่าอีกไม่ช้าหรอกประตูจะทนทานกระแสน้ำไม่ไหว ฉันกระชากปืนพกออกมาจากซองจ่อเข้าที่ขมับ

“เกียรติศักดิ์รักของข้า”

มันเป็นคำพูดครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉัน แล้วก็ลั่นไก

เมื่อควันจาง ปรากฏร่างของนายเรือเอกนาวิน ยศโยธิน ล้มฟุบตาอยู่คาโต๊ะ ในลักษณาการเดียวกันกับหลวงราชนาวินฦๅชัย ผู้บังคับการป้อมพระจุล รศ. 112!

 

หมายเหตุ : สำหรับภาพปกนั้น ผมนำรูปมาจากเพจหนังสือปกสวย ซึ่งต้องขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

Don`t copy text!