มรสุมชีวิต

มรสุมชีวิต

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

เรื่อง : มรสุมชีวิต

ผู้ขียน : ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์

สำนักพิมพ์ : ผดุงศึกษา

ปีที่พิมพ์ : 2501

เล่มเดียวจบ

มรสุมชีวิต เป็นหนังสือที่รวมเรื่องไว้ทั้งหมด 5 เรื่อง โดย มรสุมชีวิต เป็นนิยายขนาดสั้นจำนวน 17 บท เป็นเรื่องเอกในหนังเล่มนี้ และที่เหลืออีกสี่เรื่องก็เป็นเรื่องขนาดสั้น อันประกอบด้วย ตุลาการบาปหนา โลกที่ข้าพเจ้าไม่รู้จักเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ถึงทีผมบางล่ะ และ สายเสียแล้ว สำหรับในโอกาสนี้ ผมขอเขียนถึงเรื่อง มรสุมชีวิต อันเป็นผลงานเรื่องเอกอีกเรื่องหนึ่งของศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ เอาไว้เพียงเรื่องเดียวครับ

ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ กล่าวไว้ในบทแรกของ มรสุมชีวิต ว่า

ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ขึ้น ด้วยเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตา สำหรับอุทิศให้เฉพาะผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อมโนธรรมของสัตว์เมืองทั้งปวง

 ศรีรัตน์ เปิดเรื่องของมรสุมชีวิต ผ่านการบอกเล่าของ ‘ข้าพเจ้า’ ที่เป็นชายหนุ่มเสเพล นักเที่ยวในอดีต และภายหลังได้กลับตัวกลับใจไปทำงานจนมีหลักมีฐาน ก่อนที่จะใช้ช่วงเวลาพักผ่อน ย้อนกลับมายังสถานเริงรมย์ คาบาเร่ต์ที่เคยมาเที่ยวในอดีต พร้อมเพื่อนๆ อีกครั้ง คราวนี้เขาได้เจอกับพาร์ตเนอร์สาว อรทัย และหล่อนก็พาเขาไปที่บ้านของตัวเอง ทำให้ ‘ข้าพเจ้า’ ได้มีโอกาสพบกับบุษบา พาร์ตเนอร์สาวอีกคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี แต่ทว่าบัดนี้บุษบากำลังล้มเจ็บลงด้วยวัณโรคระยะสุดท้าย

ก่อนที่หญิงสาวจะเสียชีวิตลงด้วยโรคร้ายนี้เอง หล่อนได้มอบบันทึกของตัวเองที่เขียนขึ้น ด้วยชีวิตจิตวิญญาณ ให้กับข้าพเจ้าเอาไว้ และในบันทึกเล่มนั้นเองที่ได้เขียนบอกเล่าเรื่องราว ตั้งแต่วัยเยาว์ของเด็กหญิงตัวน้อย บุษบา ในยามที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดอย่างมีความสุข ก่อนที่จะต้องเผชิญกับมรสุมแห่งชีวิตลูกแล้วลูกเล่า ตราบจนกระทั่งถึง มรสุมครั้งสุดท้ายในครั้งนี้!

ศรีรัตน์

ชีวิตอันแสนอบอุ่น โดยมีนายบุรี และนางหนอม เป็นพ่อแม่ ต้องแปรเปลี่ยนไปด้วยมรสุมชีวิตระลอกแรก เมื่อนายบุรีตัดสินใจที่จะไปช่วยนักการเมืองฝ่ายค้านหาเสียงในช่วงการเลือกตั้งครั้งใหม่ ขณะที่ฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเป็นนักการเมือง มีทั้งกำลังเงินและอิทธิพลมหาศาล แม้ว่านางหนอมจะพยายามคัดค้านผู้เป็นสามีอย่างเป็นห่วงก็ตาม แต่นายบุรีก็ไม่รับฟัง เขามีเหตุผลและอุดมการณ์ของตัวเอง

“เพราะเราละเลยกันมามาก ถือว่าธุระก็ไม่ใช่ เราจึงต้องทนให้นักการเมืองขี้ฉ้อนั่งทับอยู่บนบ่าเป็นเวลาสิบๆ ปี เราไม่เคยดิ้นรนที่จะขับเขาออกไปจากตำแหน่งทั้งๆ ที่เรามีสิทธิ์ทำได้”

“ถึงเขาจะอยู่ในตำแหน่งอย่างเก่า เราก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรนี่คะ” แม่แย้ง “เรายังทำมาหากินของเราอยู่อย่างเดิม”

“ถ้าเราปล่อยให้นักการเมืองโฉดครองเมืองอยู่ต่อไป เราก็คงจะมีชีวิตดักดานอยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้น คิดดูซิว่าที่เราค้าหมูอยู่นี่น่ะเราทำได้สะดวกไหม แทนที่จะขายได้ราคาดี ก็ต้องถูกทอน ถูกกลั่นแกล้งต่างๆ เพราะนักการเมืองยื่นมือเข้ามาเป็นคนกลางเสียเอง ที่เลวยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำเองไม่ได้ต้องอาศัยเจ๊ก เลยกลายเป็นตั้งคนกลางซ้อนขึ้นมาอีก คนกลางที่ตั้งซ้อนโดยนักการเมืองนี่ยิ่งกว่าผีปอบมาสูบเลือดกำไรที่เราควรจะได้…”

และการเข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ที่ควรจะได้ในครั้งนี้นั่นเอง ในที่สุดนายบุรีก็ถูกลอบฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่อาจหาตัวการลงมือได้ บุษบาต้องมาอาศัยอยู่เพียงลำพังกับมารดา ซ้ำต่อมานางหนอมก็เสียชีวิตลงด้วยความตรอมใจ

เด็กกำพร้าอย่างเธอจึงต้องไปอาศัยอยู่กับลุงพุดและป้าสังวาล ที่เป็นญาติห่างๆ ซ้ำยังต้องลาออกจากโรงเรียน ในวัยที่เริ่มแตกเนื้อสาวนั่นเอง บุษบาก็ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิต ระลอกต่อมา เมื่อลุงพุดซึ่งเมาเหล้าได้แอบเข้าหาเธอหวังจะให้บุษบาตกเป็นภรรยาของตน เด็กสาวขัดขืนสุดชีวิต จนพลั้งมือทำร้ายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บ และหนีเตลิดออกจากบ้าน ได้พบกับแตงอ่อน เพื่อนสาววัยเดียวกัน และชักชวนให้เธอมาทำงานเป็นคนใช้ที่บ้านในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง และอนาคตที่น่าจะสดใส แต่แล้ว…

ด้วยความคิดเช่นนี้เองที่ทำให้ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนแปลงไปอีก พ้นจาก ‘เมืองเถื่อน’ ที่เต็มไปด้วยความประพฤติอันโหดเหี้ยม อย่างป่าๆ ของคนที่นั่น ไปสู่นาครธรรม ซึ่งดิฉันได้พบว่าที่มนุษย์ที่อยู่ในเมืองเจริญนั้น มีน้ำใจอันโหดร้าย ทารุณและเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่า หลายสิบเท่านัก  มันเพียบพร้อมไปด้วยน้ำหวาน ที่เหยาะยาพิษเอาไว้อย่างแรง และมันเป็นยาพิษที่กัดกินชีวิตเสียจนผุกร่อนไม่มีชิ้นดี!

ในครอบครัวที่บุษบาเข้ามาอาศัยอยู่นี้เอง มีคุณโชติผู้เป็นสามี ทำงานเป็นครูสอนเต้นรำ และคุณติ๋มผู้เป็นภรรยา ทั้งคู่มีปากเสียงกันประจำด้วยความหึงหวง โชติก็มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาเป็นเครื่องเล่นของเขา ในขณะที่คุณติ๋มก็คบหากับชายคนอื่นที่มีฐานะ

 

ภายหลัง ด้วยความใกล้ชิดและความเจ้าชู้ของคุณโชติที่ให้ความหวังกับเธอ บุษบาจึงตกเป็นภรรยาน้อยของนายจ้างจนตั้งครรภ์ โดยที่คุณติ๋มฝ่ายภรรยามารู้เรื่องภายหลัง เธออาละวาด จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุ บุษบาแท้งลูก

หญิงสาวถูกขับไล่ออกมาจากบ้านจนมาพบกับอรทัยที่เคยรู้จักกันมาก่อน และอีกฝ่ายก็ชักชวนให้เธอมาทำอาชีพพาร์ตเนอร์ และอาศัยบ้านเช่าอยู่ด้วยกัน แต่ด้วยรายได้ที่แทบไม่พอกับค่ากินค่าอยู่ ในสังคมเมืองนี้เอง ทำให้สุดท้ายบุษบาจึงตัดสินใจขายตัว เช่นเดียวกับเพื่อนสาวของตัวเอง

ในชีวิตพาร์ตเนอร์ที่ใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนเงินทอง บุษบาคาดหวังว่าจะได้พบกับความรักที่แท้จริง แต่เมื่อเธอหลงปล่อยตัวจนตั้งครรภ์กับคุณวัฒนา เขาก็ไม่ได้รับผิดชอบใดๆ และในที่สุดเธอก็ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการไปทำแท้ง!

ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ ได้เขียนบรรยายฉาก ของการไป ‘รีดลูก’ และความคิดของบุษบาไว้อย่างน่าเศร้าและสะเทือนใจยิ่ง

เงินสามารถทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ป่ามามากต่อมากแล้ว บางทีที่บุษพูดอาจผิดที่ว่า มนุษย์เป็นผู้กำหนดบุญวาสนาของมนุษย์ ความจริงมันอาจเป็น ‘เงิน’ นี่เอง ที่สามารถบันดาลได้ทุกอย่าง ทำให้สัตว์เป็นมนุษย์ไปก็ได้ ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ไปได้เหมือนกัน!

 จะมีแม่คนไหนที่อยากจะฆ่าลูกในท้อง ความจำเป็นบีบบังคับที่เกิดจาก ‘กรอบสังคม’ และความจำเป็นในการครองชีพหรือความหวังในอนาคตของเด็กที่จะเกิดมามีอยู่น้อยนิดเดียว เป็นเครื่องกีดกั้น มิให้พ่อแม่ของเด็กยอมให้เด็กเกิดมาผจญกับความยากจนและชีวิตอันอับเฉาได้…

สภาพที่เห็นในคลินิกของหมอกระแจะจันทร์ที่รับจ้างทำแท้งเถื่อนนั่นเองที่ทำให้บุษบา มองเห็นว่าผู้มาใช้บริการมีทุกระดับ และด้วยความจำเป็นที่แตกต่างกัน ในเวลานั้นเองที่หญิงสาวตัดสินใจแจ้งตำรวจ และเธอเองพร้อมกับหมอและคนไข้ ก็ถูกจับไปพร้อมๆ กัน…

จำนวนเงินที่ประกันตัวนั้นสูงมาก จนทำให้บุษบาตัดสินใจยอมติดคุกอยู่หลายปี และในห้วงเวลานั้นที่บั่นทอนสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ จนทำให้เธอติดวัณโรคมาจากในสถานที่แห่งนั้นด้วย แม้ว่าเมื่อจะได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว บุษบาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่อาจจะทำงานพาร์ตเนอร์หารายได้อีก แต่ก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนอย่างอรทัยที่ช่วยอุปการะเธอเอาไว้ และได้เขียนบันทึกเล่มนี้ขึ้นก่อนที่ลมหายใจของเธอจะปลิดปลิวออกจากร่าง เมื่อระลอกสุดท้ายของมรสุมชีวิตได้มาถึง…

++++++++++++++++++++++++

จากข้อมูลในวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์นวนิยายของศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ โดย ปิยลักษณ์ เสียงก้อง เมื่อปี พ.ศ. 2528 ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับงานเขียนของท่านไว้อย่างน่าสนใจ ในด้านแนวคิด ตัวละคร และกลวิธีการประพันธ์ โดยตอนหนึ่งได้กล่าวว่า งานเขียนของศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ นั้นนิยมสร้างตัวละครฝ่ายชายให้มีบทบาทเด่น เป็นตัวละครเอก ตัวละครหญิงมักมีบทบาทไม่เด่นนัก (แต่สำหรับเรื่องนี้ บทของบุษบาตัวละครหญิง จะเป็นตัวดำเนินเรื่อง ที่โดดเด่นมาก)

นอกจากนี้ ในเรื่อง มรสุมชีวิต ยังสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทย ยังไม่มีแนวโน้มเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ โดยตัวเอกของเรื่อง รับรู้ปัญหาผ่านบิดา ที่เป็นหัวคะแนนให้ผู้สมัคร ส.ส. ฝ่ายค้าน และยังมีอิทธิพลทางสังคมต่อมนุษย์ คนในสังคมเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่มีส่วนผลักดันคนบางคนในสังคมให้ดำเนินชีวิตไปในวิถีทางที่เขาไม่ต้องการ เมื่อไม่อาจปฏิเสธแรงบีบคั้นได้เขาจึงต้องจำยอม สะท้อนถึงปัญหาความเสื่อมทรามของสังคมเมืองหลวงที่มีความเจริญทางวัตถุ แต่จิตใจกลับเสื่อมโทรมลง เช่นเดียวกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับบุษบา จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมสะเทือนใจในที่สุด

 

 

Don`t copy text!